ตั้งแต่เช้าจนหมดวัน หยางเจี้ยนก็คล้ายอันตรธานอย่างไร้ร่องรอย เขาหายตัวไปเลยอย่างไม่หวนกลับมา
พิธียกน้ำชายังปล่อยภรรยาให้รับหน้าเพียงผู้เดียว การกระทำของหยางเจี้ยนส่งผลให้นายท่านผู้เฒ่าติ้งอานโหว ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านใหญ่ ฮูหยินใหญ่ และญาติผู้ใหญ่ รวมถึงพี่น้องสายรองล้วนมองไป๋หมิงเยว่ด้วยสายตาดูแคลน
แม้เป็นสมรสพระราชทาน แต่ใครต่อใครต่างก็ดูออกถึงพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ การจำกัดอำนาจบารมีของตระกูลหยางเอาไว้ด้วยสตรีผู้นี้เป็นเรื่องที่จำต้องทำใจจริงๆ แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีวันยอมรับสะใภ้ต่ำศักดิ์แน่นอน
พิธียกน้ำชาเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมเย็นชา แล้วก็ผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่ายเงียบสงบดุจกำลังไหว้สุสาน
หมิงเยว่รู้สึกประหนึ่งว่ากำลังคำนับหลุมศพพวกพ้องที่ตายไปหลายชีวิตในหุบเขามรณะบนเกาะลึกลับกลางทะเลของตนก็มิปาน
เฮ้อ! เกิดเป็นคุณหนูไป๋ผู้นี้คงต้องทำใจอย่างสุดซึ้ง ยังมีอันใดย่ำแย่กว่านี้อีกไหมเล่า?
หมิงเยว่เดินกลับเรือนของตนอย่างหงุดหงิด โดยมีสาวใช้คนสนิทนามจิ่นซินเดินปาดน้ำตาด้วยความโมโหอยู่ด้านหลัง หญิงสาวหันหน้ามอง “เจ้าเป็นอะไร?”
จิ่นซินสะอึกสะอื้นอย่างคับแค้นใจพลางกล่าว
“บ่าวไม่คิดเลยว่าวิธีแก้ปัญหาของพระสนมเว่ยผู้นั้นจะลงเอยเยี่ยงนี้ แรกเริ่มคิดว่าได้สมรสพระราชทานกับบุรุษอย่างแม่ทัพหยางผู้เก่งกาจเกรียงไกร คุณหนูของบ่าวคงได้เชิดหน้าชูตาเป็นหงส์แล้วพำนักอยู่อย่างปลอดภัยไม่ต้องกังวลหรือเป็นทุกข์ใจอะไรอีก แต่บ่าวคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคนของจวนหยางจะดูแคลนคุณหนูขนาดนี้”
พร่ำบ่นยาวเหยียดก็ปาดน้ำตาที่กำลังไหลพรากจนดวงหน้าเปรอะเปื้อนไปหมด จิ่นซินยังตัดพ้ออีกว่า
“ยังมีแม่ทัพหยางอีกคน เหตุใดต้องเย็นชาขนาดนั้น ไร้น้ำใจเกินไปแล้ว”
ตั้งแต่ตื่นลืมตาขึ้นมาในร่างนี้ หมิงเยว่ชอบที่สุดก็คือจิ่นซิน นางเป็นบ่าวผู้ภักดี แม้อ่อนแอไร้กำลังวังชาทว่ากลับเป็นคนที่มีความอดทนสูงยิ่ง ใบหน้ากลมแก้มป่องตาหรี่หยี เวลาโมโหเดือดดาลยังน่ารักมาก
จิ่นซินสมควรได้รับการดูแลอย่างทะนุถนอมที่สุด
หมิงเยว่เอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้สาวใช้ตัวน้อยของตน ตบไหล่เล็กบางอย่างอ่อนโยนพลางปลอบใจอย่างห้าวหาญ
“จิ่นซินเอ๋ย ข้าไม่เป็นไรเลย เรื่องเช่นนี้เล็กน้อยมาก อีกอย่างแม่ทัพหยางเขาเป็นคนเช่นนั้น เราจะเปลี่ยนแปลงผู้อื่นให้เป็นดั่งใจเราย่อมทำไม่ได้ เข้าใจไหม?”
จิ่นซินกะพริบตาเปียกชื้นพยักหน้าหงึกหงัก
หมิงเยว่กล่าวอีกว่า “เรื่องระหว่างข้ากับแม่ทัพหยาง ล้วนเป็นข้าที่ผิดเองทั้งสิ้น เจ้าอย่าได้กล่าวโทษเขาเชียว”
สาวใช้ตัวน้อยพยักหน้าอีก แต่กลับงุนงงอยู่มาก “อะไรกันเจ้าคะ? คุณหนูทำอะไรผิดหรือ?”
หมิงเยว่ส่ายหน้า แววตาฉายแววละอายใจ
เฮ้อ! การถีบสามีตกเตียงในเช้าหลังเข้าหอเยี่ยงนั้น นางลำบากใจที่จะเล่าจริงๆ
“เอาเป็นว่าต่อไปเจ้าไม่ต้องทำอะไรเพื่อข้า แต่เจ้าต้องเป็นฝ่ายให้ข้าดูแลอย่างดี ตกลงไหม?”
จิ่นซินรู้สึกตกใจนัก “คุณหนูกล่าวสิ่งใดกันเจ้าคะ ต้องให้บ่าวดูแลถึงจะถูกเจ้าค่ะ”
“ข้าต่างหากต้องดูแลเจ้า จะเลี้ยงดูเจ้าให้เหมือนน้องสาวแท้ๆ เลยเชียว”
“คุณหนู!”
จิ่นซินโอดครวญเสียงดัง นางได้แต่นึกแปลกใจว่าเหตุใดคุณหนูใหญ่คล้ายเปลี่ยนแปลงไปราวกับคนละคน หากเป็นเมื่อก่อนคุณหนูของนางเจอเรื่องชวนช้ำใจเยี่ยงนี้ ต้องร้องไห้อย่างหนักจนสลบไสลแน่นอน
ทว่านอกจากนางมิได้เห็นน้ำตาของนายสาว ยังเห็นเพียงรอยยิ้มพร่างพราวสว่างสดใสเยี่ยงคนไร้เรื่องทุกข์ใจ กิริยาวาจาหรือก็ห้าวหาญชาญชัยไม่ต่างจากบุรุษ
แท้ที่จริงจิ่นซินมีนิสัยร้ายกาจพอตัว ครั้นต้องมาคอยรับใช้ไป๋หมิงเยว่ที่อ่อนหวานนุ่มนวล กิริยาวาจาอ่อนโยนดุจสายน้ำเย็นฉ่ำ นางจึงไม่สะดวกทำตัวโผงผางหรือเผยกิริยาวาจาไม่เหมาะสมออกมา จำต้องเก็บงำด้านมืดของตนเอาไว้ เพราะต่อให้อยากชี้แนะอันใดแก่นายสาวผู้อ่อนไหวออกไป เกรงว่าคงเป็นการยุยงส่งเสริมคุณหนูดีๆ ราวผ้าขาวคนหนึ่งให้กลายเป็นคุณหนูผิดแผกจนกลายเป็นสีสันบาดตา จนถูกเกลียดชังยิ่งกว่าเก่า อาจถูกรังแกหนักกว่าเดิมหลายเท่า
กู้ซือหมิงยิ้มแต่ไม่ตอบ เขาพาสตรีทั้งสองเดินมาจนถึงสวนดอกไม้ที่ว่า และเมื่อมาถึงโม่เหลียนพลันเบิกตา เพราะในสวนแห่งนี้นอกจากจะเต็มไปด้วยดอกเบจมาศแล้ว ทุกดอกยังมีสีชมพูตรงกลางล้อมรอบด้วยสีขาวละลานตา ซึ่งล้วนแต่เป็นแบบที่นางชอบทั้งสิ้น หญิงสาวตกตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ เหลือบตามองญาติผู้พี่ของกู้ซิน นางเห็นใบหน้าหล่อเหลาและอ่อนโยนของเขา คล้ายมีภาพบุรุษอีกคนลอยทับเข้ามา...แต่จะเป็นไปได้อย่างไร?สายตากลมที่ซ่อนความเคลือบแคลงเอาไว้ไม่มิดหลุบลงทันทีเมื่ออีกฝ่ายหันหน้ามาทางกู้ซินที่ยืนอยู่ตรงด้านหน้าของโม่เหลียนแล้วถามว่า“ชอบหรือไม่?”แวบหนึ่งที่สายตาคมมองมาโม่เหลียนรู้สึกได้ว่าเขามองนาง และคำถามนั้นเหมือนถามนาง ทั้งหมดทั้งมวลเสมือนจงใจให้รู้ว่าดอกเบญจมาศทั้งสวนแห่งนี้ เขาปลูกไว้เพื่อใคร คงไม่หรอกกระมัง...นี่นางเป็นคนหลงตัวเองตั้งแต่เมื่อใดโม่เหลียนยอมรับว่าตัวเองรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ หากแต่ก็ยังปฏิเสธว่าไม่น่าใช่หญิงสาวส่ายหน้า ปรับสีหน้าและแววตาให้เป็นปกติก่อนเหลือบมองกู้ซือหมิงกับกู้ซินคุยกันตามประสาพี่น้อง“ชอบมาก ข้าชอบมากเลย” กู้ซินยิ้มกว้างไร้เดียงสา “พี่ซือหมิง ข้ามาเ
ฐานะของกู้ซินในจวนเสนาบดีกู้คือญาติผู้น้องของกู้ซือหมิง บุรุษหนุ่มที่วันนี้มีสตรีหลายคนเริ่มให้ความสนใจเมื่อแรกเจอตอนเข้างาน สาวน้อยกับสหายของนางนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มของธิดาขุนนางที่งดงามดุจนางสวรรค์ ประหนึ่งบุปผาแข่งขันกันผลิกลีบแย้มบานยวนตาหมู่ภมร กู้ซินกับจื่อหรานจึงโดดเด่นอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เสมือนจุดสีดำเล็กๆ บนกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ก็มิปาน สตรีหลายคนพากันลุกขึ้นเข้ามาทักทายผูกมิตรอย่างคึกคัก กู้ซินไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธจึงพูดคุยด้วยรอยยิ้มโม่เหลียนก็เช่นกัน นางแย้มยิ้มให้สหายใหม่รวมถึงกู้ซือหมิงที่เพิ่งได้พูดคุยเป็นวันแรกหลังจากได้ยินชื่อมานานในงานเลี้ยงวันนี้พิเศษตรงที่กู้เจิ้งจัดสวนดอกไม้เพื่อเอาใจหลินเพ่ย และแขกเหรื่อสามารถเดินชมความงามได้ตามอัธยาศัย อันเป็นการประกาศศักดาชนิดหนึ่งของคนเป็นภรรยาที่ได้รับความโปรดปรานจากสามีอย่างล้นเหลือ คุณหนูผู้หนึ่งกล่าวอย่างใจกล้าว่าปรารถนาเดินชมทิวทัศน์ในจวนเสนาบดี ให้กู้ซินแจ้งแก่ญาติผู้พี่ได้หรือไม่ ให้เขาพาเดินชมได้หรือเปล่า ร่วมวงสนทนากันดีหรือไม่ เมื่อคนหนึ่งจบคำถาม อีกสองสามคนจึงพยักหน้าคล้อยตาม เห็นด้วยอย่างยิ่ง พวกนางปรารถนาใ
งานเลี้ยงวันนี้ ผู้ตรวจการหานย่อมได้รับเทียบเชิญ เขาไม่มีฮูหยินจึงมากับธิดาหนึ่งเดียวของตนเมื่อเข้างานมาก็พาหานจื่อหรานกล่าวทักทายกู้เจิ้งและอวยพรหลินเพ่ย หลังจากนั้นก็แยกไปคนละฝั่งที่ถูกจัดแยกชายหญิง ก่อนหมุนตัวไปยังไม่ลืมหันมาทำตาดุ“ห้ามเจ้าซุกซน” หานเซิงกำชับบุตรสาวเสียงขรึม ตอนนี้นางเรียบร้อยสงบเสงี่ยมขึ้นมากก็จริง ทว่าเมื่อก่อนดื้อรั้นเอาแต่ใจอย่างยิ่ง เขาจึงยังไม่อาจไว้ใจได้เต็มส่วนโม่เหลียนย่อมเข้าใจความห่วงใยนี้ บิดาผู้นี้เป็นคนดียิ่งนัก นางรักเคารพไม่ต่างจากบิดาแท้ๆ จึงรีบออดอ้อนว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าจะไปอยู่กับกู้ซินและเหยาฮูหยิน อยู่ใกล้ผู้อาวุโสเช่นนั้น ตัวข้าย่อมไม่สะดวกซุกซนแล้ว จะทำตัวดีๆ เพื่อท่านพ่อไม่ต้องเครียด ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ”ได้ยินคำยืนยันหนักแน่นยาวเหยียด หานเซิงจึงวางใจพยักหน้าให้นางไปได้งานเลี้ยงนี้ ทางฝั่งบุรุษมีคณะดนตรีมีสาวงามร่ายรำ ทางฝั่งสตรี มีคณะละครเลื่องชื่อ แขกเหรื่อบ้างเดินออกไปชมดอกไม้ในสวน บ้างนั่งดูการแสดง บ้างหันไปชื่นชมทิวทัศน์ บ้างก็จับกลุ่มคุยกัน กู้ซินนั่งอยู่กับเหยาจิน โม่เหลียนเดินตรงเข้าไปทำความเคารพทักทายแล้วนั่งลง
วันที่เก้าเดือนสิบเป็นวันคล้ายวันเกิดของหลินเพ่ยเสนาบดีกู้ผู้หลงใหลในตัวภรรยาสาวผู้อ่อนเยาว์จึงจัดงานเลี้ยงให้อย่างสมเกียรติไร้ที่ติ ส่งเทียบเชื้อเชิญครอบครัวของสหายขุนนางมามากหน้าหลายตาท่ามกลางบุปผาแพรพรรณประดับประดาตระการตา ผู้คนเดินเข้ามาร่วมงานครึกครื้น หลินเพ่ยสวมใส่ชุดสีแดงสมตำแหน่งฮูหยินใหญ่เสนาบดียืนยิ้มสูงส่งอยู่ข้างๆ กู้เจิ้ง โดยมีกู้ซือหมิงและเด็กชายกู้ซูเย่ยืนร่วมการแสดงความรักเอาใจใส่ในตัวภรรยาสาวถึงขั้นที่ผู้คนเคยบรรยายว่าลุ่มหลงสาวงามของกู้เจิ้งเรียกสายตาของแขกเหรื่อได้ไม่น้อยเช่นเดิม ทว่านั่นกลับไม่อาจมากกว่าร่างสูงโปร่งงามสง่าของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีคนหนึ่ง พวกเขาต่างจ้องมองกู้ซือหมิงไม่วางตา ไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่ในจวนกู้เองหลังจากบุตรชายคนโตของเสนาบดีกู้หายป่วย เหล่าบ่าวไพร่พลันรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง บุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ไม่ว่าการแต่งกาย ท่วงท่ากิริยา สีหน้าท่าทาง แม้แต่การเดินการนั่ง เมื่อก่อนกู้ซือหมิงมักมีลักษณะคนที่ขาดความมั่นใจ ตั้งแต่สูญเสียมารดาไปในวัยเยาว์ก็ใช้ชีวิตเรียบเรื่อยสืบมา ไม่กระตือรือร้น เพียงเชื่อ
“เจ้าหึงก็บอกว่าหึง หวงก็บอกว่าหวง ได้ไหม?”วงแขนอุ่นซ่านยิ่งกระชับแน่นขึ้น สุ้มเสียงหัวเราะของบุรุษยังทุ้มแผ่วเอาแต่ใจ ทำเอาโม่เหลียนขนลุกตั้งชัน สองแก้มสุกปลั่ง ใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง นึกอยากตามใจเขา ท้ายที่สุดก็แสร้งฉุนเฉียวไม่ไหว จำต้องยอมรับแต่โดยดี“อือ...ข้าชอบหึงหวงไม่รู้หรือไร ว่าที่สามีต้องทำตัวดีๆ เข้าใจหรือไม่? ห้ามพาหญิงอื่นกลับมาด้วย แล้วค่อยทำเรื่องของเราให้ถูกต้อง ตกลงไหม?”เยี่ยนเต๋อให้นึกเอ็นดูเหลือเกิน จมูกโด่งจึงกดลงตรงกระหม่อมนางเบาๆ อย่างรักใคร่ทะนุถนอม “โอกาสในชาตินี้ที่จะได้มีเจ้าเคียงข้างเป็นภรรยา ข้าไม่มีทางปล่อยไปให้เสียชาติเกิดอย่างโง่เขลาแน่นอน”“สัญญานะ”“อืม...” สุ้มเสียงตอบรับแม้แผ่วเบาแสนสั้น ทว่ากลับให้ความรู้สึกหนักแน่นมั่นคงอย่างที่สุด โม่เหลียนผลิยิ้มหลับตา ซุกใบหน้าฝังอกเขาเงียบงัน สองแขนกอดเอวสอบแน่นขึ้น ไม่ให้เขาเห็นน้ำตาเด็ดขาดกิริยาของนางในอ้อมแขนทำเยี่ยนเต๋อเกินห้ามใจ ใบหน้าหล่อเหลาจึงก้มลงต่ำมอบจุมพิตหวานละมุนเนิ่นนานแม้ตรงนี้จะเป็นมุมห่างไกลจากผู้คนหน้าประตูเมือง ไม่มีใครเดินผ่านเท่าใด หากแต่กู้ซินก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดี นางกางพัดยกร่ม
หลังจากฝึกฝนจนคนผู้หนึ่งฟื้นฟูฝีมือได้มากพอ จำต้องตัดสินใจลาจากเพื่อไปต่อที่ค่ายทหารอย่างที่ตั้งใจวันที่สี่เดือนสิบโม่เหลียนมายืนรอเพื่อส่งเยี่ยนเต๋อเดินทางไกลที่หน้าประตูเมืองตั้งแต่ฟ้าสาง เมื่อสว่างเต็มที่จึงได้เห็นรถม้าจวนกู้เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเยี่ยนเต๋อในชุดสีดำรัดกุมควบม้าย่างเยาะอยู่ข้างๆ รถม้าของครอบครัวที่เดินทางมาส่งอย่างอบอุ่นไม่นานชายหนุ่มก็มาหยุดเบื้องหน้าของโม่เหลียนหญิงสาวแหงนหน้ามอง จับจ้องนิ่ง กู้ฉีรุ่ยยามนี้ที่อายุเพียงสิบแปดปีก็จริงทว่าท่วงท่าองอาจผึ่งผายสมชายชาตรีของเขาเหมือนเยี่ยนเต๋อที่อายุยี่สิบกว่าปีในชาติก่อนไม่ผิดเพี้ยน แตกต่างตรงใบหน้าซึ่งควรคมเข้มเคร่งขรึม ชาตินี้กลับงดงามละมุนละไมยิ่งกว่าและมีดวงตาดอกท้อคู่นั้นเพิ่มขึ้นมา ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ดวงตาดอกท้อที่มองดูแล้วเหมือนคนเจ้าชู้หลายใจ โม่เหลียนกลับสัมผัสได้ดีถึงความหยิ่งทะนงและเย็นชาของคนตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้นที่มียิ่งสวมชุดนี้ก็ยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขาม เมื่อมองแล้วทำให้ไม่สามารถละสายตาไปทางอื่นได้เลย“จ้องข้าเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าตกหลุมรักข้ามากขึ้น”ชายหนุ่มส่งเสียงทุ้มต่ำหยอกเอินเบาๆ พลางลงจา