นางที่เป็นเพียงบ่าวไพร่ไหนเลยจะทำสิ่งใดได้มากกว่าการร่ำไห้พร้อมเจ้านาย
แต่คุณหนูของนางยามนี้ นอกจากไม่แสดงด้านอ่อนแอตรอมตรมเหมือนก่อน ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง แม้ดูวางเฉยต่อความเลวร้ายที่ถาโถม แต่กลับพร้อมพุ่งชนยิ่ง
จิ่นซินย่อมไม่รู้ว่าหมิงเยว่คือคนที่ตายแล้วได้เกิดใหม่ รอยยิ้มของนางล้วนไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางได้มีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะเหตุใด
บุพเพวาสนาแห่งรักรอวันได้ประจักษ์ถึงจะแจ้งแก่ใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่หมิงเยว่ปรากฏชัดในห้วงความคิดก็คือการกลับมามีชีวิตใหม่ในครั้งนี้คงเป็นเพราะสวรรค์ให้นางได้แก้ตัวใหม่
ชาติที่แล้วเพราะนางก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากโข พาพี่น้องล้มตายอย่างไร้ค่าก็หลายร้อยคน เช่นนั้นชาตินี้ นางที่สิงร่างคุณหนูใหญ่ไป๋ผู้อ่อนแอบอบบาง ไร้ใครใส่ใจ ปราศจากที่พึ่งพา คงเป็นเพราะว่าสวรรค์ต้องการให้นางได้เริ่มต้นทุกสิ่งขึ้นใหม่ทั้งหมดนั่นล่ะ
เห็นได้ชัดจากการให้นางกลายมาเป็นฮูหยินของบุรุษซึ่งยึดมั่นในคุณธรรมอย่างหยางเจี้ยนปะไร
อธรรมต่ำช้าจึงจำต้องอยู่เคียงข้างธรรมะอันสูงส่ง
เฮ้อ!
หมิงเยว่ถอนหายใจนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงนุ่ม ถามคำซ้ำๆ ว่าไม่จริงใช่ไหม? รอบที่ร้อยครั้งที่พันแล้ว
แต่เมื่อคิดไปคิดมา คิดย้ำๆ จนเกินไปก็ไม่เห็นจะมีดีอันใดตรงไหน มิสู้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่นฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งดุจเดิม
นางกำลังต้องการกลับไปยิ่งใหญ่เฉกเช่นกาลก่อน
ทว่าการกลายมาเป็นสตรีอ่อนแอราวบุปผากลีบบาง พร้อมหลุดร่วงตลอดเวลาแค่ต้องลมเยี่ยงนี้ จะทำอันใดได้ นอกจากรั้งรอเวลาอันเหมาะสมเท่านั้น
โอกาสที่จะกลับมาผงาดกล้าในวันหน้าย่อมเกิดขึ้น!
อันดับแรกต้องนางฟื้นฟูสุขภาพร่างกายของตนก่อน แล้วค่อยๆ ฝึกวิชาปลดผนึกความทรงจำหลังถอดหน้ากากให้เหล่าพวกพ้องที่ยังเหลือชีวิตรอดในวันนั้น พวกเขาจะได้กลับมารวมตัวกับนางเพื่อสร้างอาณาจักรด้วยกันอีก
คนแรกคือซิงเยว่ น้องสาวสุดที่รักของนาง...
หมิงเยว่เริ่มจากฝึกนั่งสมาธิเพ่งจิตกำหนดลมหายใจเพียงลำพังในห้องหับส่วนตัว
หญิงสาวย่อมจำจดกระบวนท่าเงาดาบจันทราได้อย่างละเอียดแม่นยำ มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้เคล็ดวิชานี้
การแอบฝึกหนักจึงเกิดขึ้นในทุกวัน โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้สักคน แม้แต่จิ่นซินสาวใช้คนสนิทของหมิงเยว่
และแน่นอนว่าหยางเจี้ยนยิ่งไม่รู้เรื่องนี้
เพราะเขาไม่เคยย่างกรายเฉียดใกล้เรือนหออีกเลย นับแต่วันที่ถูกหยามเกียรติขั้นรุนแรง
ทุกวัน แม่ทัพหยางมักจะอยู่ประจำที่ค่ายทหาร หากกลับเข้าจวนก็มักจะขลุกอยู่ในห้องหนังสือ หารือกับลูกน้องเสร็จก็กินนอนอยู่ในนั้น ทำตัวเฉยชาห่างเหินกับภรรยาพระราชทานอย่างยิ่ง
ส่วนแม่นางน้อยผู้เป็นภรรยาอย่างไป๋หมิงเยว่ นอกจากไปคารวะน้ำชาต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าและแม่สามีอย่างฮูหยินใหญ่รวมถึงญาติผู้ใหญ่สายรองที่มักจะรวมตัวยามเช้าที่เรือนใหญ่แล้ว นางก็กลับเรือนปิดประตูสนิทแน่น แม้แต่หน้าต่างก็ไม่แง้มเปิดให้ลมผ่าน
หมิงเยว่ทำตัวสงบเสงี่ยมเงียบสงัดอยู่ในเรือนตนเอง ไม่ออกไปไหน ไม่สุงสิงกับญาติพี่น้องของสามีคนใดทั้งสิ้น
แม้แต่การกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมนางยังไม่ทำ
ที่จวนไป๋แห่งนั้น ไป๋หมิงเยว่ตัวจริงได้ตายไปแล้ว ส่วนนางคือหมิงเยว่อดีตจอมโจรเงาดาบจันทราผู้ยิ่งใหญ่ นางจำเป็นต้องลดตัวกลับไปเยี่ยมคนสกุลไป๋หรือไร? เฮอะ!
ซิงเยว่ยิ้มเอ่ยเสียงหวานอีกว่า“แต่ท่านในฐานะบุตรชายคนสำคัญของสกุลหลิว ท่านคือคนกลางระหว่างข้ากับราชสำนัก ท่านไม่ควรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก่อนเกิดเรื่องล้มล้างค่ายโจรจันทราแดง ข้าไม่ปรารถนาสิ่งใด แค่อยากเข้าหอกับท่าน หวังเพียงว่าหากข้ารอดชีวิตจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านติดกายข้าไปเริ่มต้นใหม่ด้วยกันสองแม่ลูก หลังจากนั้นหากท่านยังไม่แต่งหญิงอื่นเป็นภรรยา ข้าจะกลับมาหาท่านพร้อมลูกของเรา นี่คือแผนการของข้า”นั่นหมายความว่าหากหลิวไท่หยางแต่งงานกับใครไปแล้วจะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง ชาตินี้ทั้งชาติย่อมไม่อาจได้เจอซิงเยว่กับลูกอีกเลยช่างเป็นแผนการที่ชั่วร้ายที่สุดในใต้หล้าหลิวไท่หยางให้รู้สึกปวดใจ “เจ้าควรบอกข้าสักคำ” “ข้าไม่กล้าบอก เพราะข้าไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดหรือไม่ หากข้าตาย ท่านจะได้ไม่โศกเศร้าเสียใจ ข้าแค่อยากให้ท่านคิดว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ การจากกันแบบเลิกราต่อให้เกลียดกันก็ยังดีว่าจากกันไปคนละภพ ตายจากทั้งที่ยังรัก ย่อมทุกข์สาหัสนัก ข้าไม่อยากให้ท่านจมปลักกับข้า การสะบั้นสัมพันธ์เลิกรา ท่านจะได้มีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ต่อให้ข้าต้องตาย ย่อมตายตาหลับ”“ซิงเอ๋อร์ เจ้าทำเพื่อข้าถึงเพียงนี
นางถลึงตามอง “ข้าไม่มีทางขัดขวางการค้าของสามีอยู่แล้ว แค่ฝากซีฮวาบอกตามเวลาก็พอ ท่านจะได้ไม่กลับดึกเกินไป แต่นี่ซีฮวาคงอยากอยู่กับจิ้นสิงเต็มทีกระมัง ถึงบอกท่านเร็วนัก ข้ายังทำอาหารไม่เสร็จเลย”ทำอาหาร? หลิวไท่หยางแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองยังไม่ทันเปิดปากถามอย่างสงสัย ซิงเยว่ก็จับมือให้เขาเดินมาที่ริมระเบียง จับไหล่กว้างให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม่นานอาหารน่ากินพลันถูกยกเข้ามาวางเรียงราย อาหารหลายจานยังเป็นของโปรดของหลิวไท่หยางทั้งสิ้น“ข้าใช้เวลาห้าวันเพื่อฝึกฝนฝีมือจนมั่นใจรสชาติ” ซิงเยว่โอ้อวดอย่างภาคภูมิ พลางหย่อนกายนั่งลงบนตักอุ่น ซุกซบอกแกร่งอย่างต้องการออดอ้อนหลิวไท่หยางรีบกระชับเอวคอดกิ่วเอาไว้“อย่าบอกนะว่าที่เจ้ายืดเวลาเรื่องมีระดูเกินจริงถึงเจ็ดวัน ให้ข้าต้องอดกลั้นแทบตายเพื่อคืนนี้ของเรา”ซิงเยว่เงยหน้า ส่งแววตากระเง้ากระงอด“อือ... เหลืออาหารอีกอย่าง ข้ายังทำไม่เสร็จเลย”หลิวไท่หยางให้รู้สึกอดใจไม่ไหว เขาก้มหน้าจุมพิตซิงเยว่หนักๆ หนึ่งที“เจ้าอย่าเหน็ดเหนื่อยเลย แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”ซิงเยว่ยกมือลูบไล้แผงอกหนา “ข้าไม่เหนื่อยสักนิด เพราะคืนเข้าหอครั้งแรกของเรา ต้องดีที่สุด แต่หลังจ
เวลาไม่ถึงชั่วก้านธูปบุรุษหนุ่มร่างสูงเดินตัวปลิวเข้าจวนหลิวราวพายุ กระทั่งบ่าวรับใช้ยังเปิดประตูแทบไม่ทันหลิวไท่หยางเดินอาดๆ ด้วยความเร็วปานสายฟ้า เข้าเรือนหลักซึ่งบัดนี้มิใช่แค่ใช้พำนักพักผ่อนหลับนอน หากแต่เป็นสถานที่สำหรับร่วมเรียงเคียงหมอนกับภรรยาเสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน รอบกายแผ่ซ่านไอเย็นหนาวจัด ควันสีขาวพวยพุ่งยามหายใจหอบ ทว่ากลิ่นอายจากอากัปกิริยากลับฉายชัดถึงความร้อนรุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาขาวกระจ่างยิ่งกว่าแสงตะวันยามคิมหันต์ครั้นเข้ามาถึงหน้าห้อง พลันเห็นสาวใช้ยืนยอบกายรออยู่สองคน พวกนางทำสีหน้าเลิ่กลั่กหลิวไท่หยางมุ่นคิ้ว “มีอะไร?”สาวใช้คนหนึ่งอ้ำอึ้งตอบอึกอัก “เอ่อ...ฮูหยินบอกว่าหากนางไม่อนุญาต ผู้ใดก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาดเจ้าค่ะ”ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “แม้แต่ข้าหรือ?”สาวใช้อีกคนพยักหน้าคอแทบหัก “ฮูหยินย้ำว่า โดยเฉพาะนายน้อยหลิวเจ้าค่ะ”ยามนี้ใบหน้าหล่อเหลาปานหยกเนื้อละเอียดของหลิวไท่หยางซีดขาวสลับแดงคล้ำ ฉายแววประหลาดชวนหวาดหวั่นอย่างยิ่ง สาวใช้ทั้งสองมองอย่างลนลาน ยังไม่ทันกล่าวอะไร พลันเห็นผู้เป็นนายโบกมือไล่ “พวกเจ้าออกไป”ประหนึ่งฟ้าพิโรธเปลี่ยนเป็นสวรรค์โปรด
ฤดูเหมันต์เวียนบรรจบ หิมะโปรยปราย สองข้างทางขาวโพลนอีกครา เกิดประกายระยิบระยับยามกระทบโคมไฟยามราตรีอีกครั้งในรอบหลายปี แม้ต่างเวลา ทว่าความตระการตากลับไม่แตกต่างจากปีนั้นปีที่ชายหญิงคู่หนึ่งพบพานและประชันกันที่ลู่หยุน จวบจนความรักลอยวนรอบกายพวกเขาทั้งสองกลายเป็นคู่รักร่วมฝ่าฟันอุปสรรคกระทั่งได้แต่งงานกันในที่สุดวันนี้ซิงเยว่กลายเป็นภรรยาของหลิวไท่หยางแล้วสตรีผู้หนึ่งหยุดการเดินทางโลดโผนในยุทธภพกลายเป็นฮูหยินของคหบดีหนุ่มอย่างเต็มตัวเต็มใจนางยินดีอยู่เหย้าเฝ้าเรือนอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ให้สามีทำงานนอกบ้านหาเลี้ยงเฉกสตรีทั่วไปชั้นห้าภายในโรงเตี๊ยมเก้าชั้นค่ำคืนนี้ได้รับเกียรติต้อนรับคณะเดินทางของกลุ่มพ่อค้าต่างเมืองหลายกิจการ หลิวไท่หยางจึงอยู่ร่วมวงสังสรรค์โดยปล่อยภรรยาอยู่บ้านงานเลี้ยงวันนี้มีพ่อค้าหลายคน ข้างกายแต่ละคนล้วนมีสาวงามนั่งขนาบด้านซ้าย คอยดูแลปรนนิบัติอย่างดีไม่ต่างจากภรรยาไม่เว้นแม้แต่หลิวไท่หยางข้างกายของเขาก็มีสาวงามรูปโฉมเป็นเลิศเช่นกันสตรีผู้นี้ใบหน้าสะสวยอย่างยิ่ง ความสะคราญโฉมรวมกับรูปร่างอรชรแลดูเย้ายวนทุกส่วนของนางเป็นสิ่งที่บุรุษมิอาจเพิกเฉยมองเมินได้เ
การประลองคู่แรกเริ่มต้นยามเฉิน[1]ซิงเยว่เป็นผู้ชมที่ดี ยืนรอลำดับการแข่งขันของตนอยู่ที่มุมเล็กหลังสุดเงียบๆ โดยมีซีฮวาคอยดูแลผ้าโปร่งสีขาวปิดหน้าให้อย่างระมัดระวังและพิถีพิถันการแข่งขันดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างครึกครื้น มีผู้แพ้และผู้ชนะในแต่ละรอบที่เรียกได้ว่าฝีมือเท่าเทียมสูสีเมื่อได้เวลาของซิงเยว่ หญิงสาวก็เดินขึ้นบันไดไปยืนกลางลานประลอง โค้งกายคำนับรอบทิศอย่างนอบน้อม เพื่อมิให้ตนเองดูผิดแผกจากผู้อื่นมากนักผู้คุมการประลองประกาศถาม “จอมยุทธ์หญิงผู้นี้ เจ้ามีนามว่าอะไร?”สตรีร่างระหงหนึ่งเดียวยืนตระหง่านบนเวทีประลอง ท่าทางสุขุมลุ่มลึกสงบเยือกเย็นแต่แฝงเร้นซึ่งอันตราย“เรียกข้าว่าบุปผารัตติกาล...”“เป็นนามที่ดี” ผู้คุมการประลองกล่าวอย่างขึงขัง “เชิญแม่นางเลือกป้ายชื่อท้าประชัน”นางกวาดดวงตาหงส์ทรงเสน่ห์มองนิ่งประกาศท้าชิงอย่างเย็นชา “ข้าขอท้าประลองศิษย์อันดับหนึ่งลู่หยุน”เสียงฮือฮาเกิดขึ้นทันที ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสตรีใจกล้าถึงขั้นท้าประชันกับบุคคลผู้นี้ซิงเยว่ไม่รู้ว่าทุกคนจะส่งเสียงเอิกเกริกทำไมและยิ่งไม่รู้ว่าบุคคลที่นางท้าชิงเป็นใครหน้าตาเป็นเช่นไร นางเพียงยืนรออย่างสงบเสงี่ยมท่า
ฤดูเหมันต์ หิมะโปรยปราย สองข้างทางขาวโพลน เกิดประกายระยิบระยับยามดวงตะวันส่องกระทบลงมาหลังจากเสร็จสิ้นงานปล้นชิงเศรษฐีหน้าเลือดผู้หนึ่งด้วยความสะใจ นายหญิงรองซิงเยว่ก็พาสมุนสองสามคนเดินทางมายังบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหานโจวหญิงสาวมิได้มาเพื่อใช้เงินถลุงกับบ่อนพนันแห่งนี้ หากแต่นางมาเก็บเงินจากรายได้ทั้งหมดของบ่อนต่างหากเมื่อซิงเยว่ปรากฏกายภายใต้หน้ากากเงินเย็นเยียบ นายใหญ่ของโรงพนันแห่งนี้ก็โค้งคำนับอย่างกล้าๆ กลัวๆ พร้อมมอบเงินก้อนทองให้สองหีบใหญ่อย่างไม่อิดเอื้อนซิงเยว่มองนิ่งๆ ไม่กล่าวสิ่งใดเพียงโบกมือสั่งการสมุนสองคนให้นำเงินทั้งหมดกลับไป“ข้ากับซีฮวาจะอยู่เที่ยวเล่นสักสองสามวัน พวกเจ้ากลับไปรายงานพี่ใหญ่ตามนี้”“ขอรับนายหญิง”สมุนร่างสูงตัวโตสองคนประสานหมัด จากไปทันทีซิงเยว่จึงพาสมุนที่เหลืออีกคนนามว่าซีฮวาเดินทางไปยังสำนักลู่หยุนแคว้นเยี่ยนแบ่งแยกบุ๋นบู๊ชัดเจน สำนักศึกษาจึงมีสำนักบัณฑิตและสำนักฝึกยุทธ์หลายแห่ง หญิงสาวได้ข่าวว่าจะมีการท้าประลองระหว่างสำนักบู๊เพื่อเชิดชูอาจารย์และประกาศศักดาแต่ละสำนักให้ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือขจรไกล ทั้งนี้ยังมีเงินรางวัลล่อตาล่อใจสำหร