บรรยากาศจวนสกุลหยางหลังผ่านพ้นงานมงคลกลับเต็มไปด้วยความอึมครึมแลดูอัปมงคลอย่างไม่น่าเชื่อ
ภายในเรือนใหญ่ การคารวะน้ำชาเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนจะมืดครึ้ม ไร้การไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ ปราศจากการพูดคุยอันเปี่ยมมิตรไมตรีตามประสาคนในครอบครัวดังที่ควร
เมื่อการปฏิบัติตามธรรมเนียมอย่างเย็นชานี้จบลง หมิงเยว่ก็ขอตัวกลับเรือนตนทันทีเฉกเช่นทุกวัน
นางมักจะพกพาความเย็นยะเยือกมาต่อกรกับความเย็นเยียบของเหล่าผู้อาวุโสสกุลหยางอย่างสม่ำเสมอ กระทั่งบรรดาสาวใช้ที่แอบมองยังต้องรู้สึกเหน็บหนาวกันถ้วนหน้า
คล้อยหลังสะใภ้จากสกุลไป๋ เหล่าผู้อาวุโสกำลังนั่งปรึกษาหารือถึงเรื่องของหยางเจี้ยนกับไป๋หมิงเยว่กันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด
“ข้าได้ข่าวว่าคุณหนูใหญ่สกุลไป๋แม้ต่ำศักดิ์แต่ก็เป็นสตรีเรียบร้อยสงบเสงี่ยมเจียมตน ประพฤติตัวอยู่ในโอวาท กิริยามารยายิ่งอ่อนโยนค่อนไปทางอ่อนแอ หัวอ่อนคุมง่าย แล้วที่เจอหน้ากันทุกวันคือผู้ใดกัน?”
ฮูหยินเอกสายรองเอ่ยปากบ่นขึ้นก่อนใคร นางแต่งเข้าจวนหยางตั้งแต่วัยแรกรุ่นกระทั่งกลายเป็นวัยรุ่นแรก ยังไม่เคยเห็นสตรีนางใดทำตัวน่ารังเกียจเยี่ยงนี้มาก่อนเลย
“ไป๋หมิงเยว่ผู้นี้ นอกจากต่ำศักดิ์ยังจะทำตัวต่ำตม ไร้มารยาทยิ่งนัก ทั้งเย่อหยิ่งจองหองลำพองตนไม่สนใคร กระทั่งบ้านเดิมก็มิยอมกลับไปเยี่ยม ดูเถิดมาคารวะผู้เฒ่าแค่ชั่วครู่ชั่วยามก็รีบกลับเรือนเสียแล้ว วาจาปราศรัย คำพูดจาแม้แต่น้อยนิดก็ไม่มีให้ใคร ทั้งท่านป้าท่านน้าก็ยังนั่งกันอยู่ก็หลายคน ไม่มีความเคารพกันบ้างเลย หึ!”
นางผู้นี้มีนามว่าเจียวหั่ว เป็นสตรีปากไวใจเร็วผู้หนึ่ง คิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น ทว่าทุกคำที่กล่าวมาคล้ายกำลังต่อว่าคนกันเองทั้งสิ้น
ทั้งคำว่าเย่อหยิ่งจองหอง มิใช่หยางเจี้ยนหรือไร ตั้งแต่เข้าหอวันแรกกระทั่งล่วงมาหลายเดือนแล้วขนาดนี้ เขาไม่เคยสนใจไยดีฮูหยินของตนเองเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยกระทั่งพาภรรยามาคารวะน้ำชาด้วยกันแล้วชี้นำเพื่อสร้างสัมพันธ์กับครอบครัวตน หรือพานางกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมเพื่อเสริมบารมีให้อีกฝ่ายอย่างที่ควรทำ
ส่วนคำว่าไม่ยอมเสนวนาปราศรัย มิใช่ว่าผู้อาวุโสในจวนทุกคนต่างหากรึ ที่เป็นฝ่ายเลือกปฏิบัติกับสะใภ้ไป๋ก่อน
ติ้งอานโหวกับฮูหยินผู้เฒ่าลอบกระแอมไอเบาๆ เริ่มรู้สึกกระดากใจขึ้นมาเล็กน้อย
แม้แต่นายท่านใหญ่และฮูหยินใหญ่ บิดามารดาของหยางเจี้ยนเองยังเริ่มกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว
ทว่าเจียวหั่วยังคงไม่รู้ตัว นางเพียรพร่ำบ่นต่ออีกว่า “เฮ้อ! อาเจี้ยนของพวกเราช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน เป็นถึงคุณชายสูงศักดิ์ เป็นผู้สืบทอดที่มีทั้งชาติตระกูลเปี่ยมบารมี กลับต้องแต่งภรรยาที่เป็นแค่บุตรขุนนางขั้นเจ็ด ศักดิ์สูงกว่าบุตรสาวชาวบ้านเล็กน้อย ข้ายังรู้มาว่านางเป็นแค่บุตรสาวของอดีตภรรยาเอกผู้ล่วงลับ อำนาจต่อรองในจวนไป๋ก็ไม่มี บุตรสาวของภรรยาเอกคนใหม่หรือก็น่ารักน่าชัง น่าเอ็นดูกว่านางผู้นี้มาก สะใภ้รู้สึกเป็นห่วงเจี้ยนเอ๋อร์จริงๆ เจ้าค่ะ ช่างไม่ยุติธรรมนัก อายุก็ไม่น้อยแล้ว ทายาทสืบทอดสกุลกลับไม่มีสักคน ข้าเองก็มีแต่บุตรสาว”
นางไม่ยอมให้นายท่านรองรับอนุ ดังนั้นหน้าที่สำคัญเรื่องมีทายาทชายต้องเป็นหยางเจี้ยนเท่านั้น
นายท่านใหญ่หยางจงผู้เป็นบิดาของหยางเจี้ยนเองก็มีปัญหาสุขภาพมานานหลังจากปลดระวางจากการศึก บุตรอนุที่มีอยู่หลังเรือนก็ไม่อาจยกคนใดขึ้นมาแทนบุตรชายสายหลักอย่างหยางเจี้ยนได้
ยิ่งคิดหยางจงก็รู้สึกร้อนใจเรื่องทายาทสายตรงขึ้นมาเช่นกัน
แม้นหลายปีที่ผ่านมาหยางจงล้วนสนับสนุนบุตรชายคนสำคัญเพียงเรื่องการศึก จนอีกฝ่ายใส่ใจแค่เรื่องทหาร มองบ้านเมืองเป็นหลัก ปราศจากเรื่องรักใคร่กับสตรีนางใด ทว่ายามนี้อำนาจและบารมีของหยางเจี้ยนมีมากเกินไป บุตรสาวสายตรงสองคนของหยางจงซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆของหยางเจี้ยนก็แต่งเข้าวังเป็นพระชายาให้องค์ชายรองกับองค์ชายสี่อย่างละคน บุตรสาวคนโตของอนุคนหนึ่งยังได้เป็นถึงฮูหยินรองขุนนางขั้นสอง บุตรสาวของอนุสามอีกคนยังได้เป็นอนุคนโปรดของขุนนางขั้นหนึ่ง
ซิงเยว่ยิ้มเอ่ยเสียงหวานอีกว่า“แต่ท่านในฐานะบุตรชายคนสำคัญของสกุลหลิว ท่านคือคนกลางระหว่างข้ากับราชสำนัก ท่านไม่ควรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก่อนเกิดเรื่องล้มล้างค่ายโจรจันทราแดง ข้าไม่ปรารถนาสิ่งใด แค่อยากเข้าหอกับท่าน หวังเพียงว่าหากข้ารอดชีวิตจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านติดกายข้าไปเริ่มต้นใหม่ด้วยกันสองแม่ลูก หลังจากนั้นหากท่านยังไม่แต่งหญิงอื่นเป็นภรรยา ข้าจะกลับมาหาท่านพร้อมลูกของเรา นี่คือแผนการของข้า”นั่นหมายความว่าหากหลิวไท่หยางแต่งงานกับใครไปแล้วจะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง ชาตินี้ทั้งชาติย่อมไม่อาจได้เจอซิงเยว่กับลูกอีกเลยช่างเป็นแผนการที่ชั่วร้ายที่สุดในใต้หล้าหลิวไท่หยางให้รู้สึกปวดใจ “เจ้าควรบอกข้าสักคำ” “ข้าไม่กล้าบอก เพราะข้าไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดหรือไม่ หากข้าตาย ท่านจะได้ไม่โศกเศร้าเสียใจ ข้าแค่อยากให้ท่านคิดว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ การจากกันแบบเลิกราต่อให้เกลียดกันก็ยังดีว่าจากกันไปคนละภพ ตายจากทั้งที่ยังรัก ย่อมทุกข์สาหัสนัก ข้าไม่อยากให้ท่านจมปลักกับข้า การสะบั้นสัมพันธ์เลิกรา ท่านจะได้มีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ต่อให้ข้าต้องตาย ย่อมตายตาหลับ”“ซิงเอ๋อร์ เจ้าทำเพื่อข้าถึงเพียงนี
นางถลึงตามอง “ข้าไม่มีทางขัดขวางการค้าของสามีอยู่แล้ว แค่ฝากซีฮวาบอกตามเวลาก็พอ ท่านจะได้ไม่กลับดึกเกินไป แต่นี่ซีฮวาคงอยากอยู่กับจิ้นสิงเต็มทีกระมัง ถึงบอกท่านเร็วนัก ข้ายังทำอาหารไม่เสร็จเลย”ทำอาหาร? หลิวไท่หยางแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองยังไม่ทันเปิดปากถามอย่างสงสัย ซิงเยว่ก็จับมือให้เขาเดินมาที่ริมระเบียง จับไหล่กว้างให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม่นานอาหารน่ากินพลันถูกยกเข้ามาวางเรียงราย อาหารหลายจานยังเป็นของโปรดของหลิวไท่หยางทั้งสิ้น“ข้าใช้เวลาห้าวันเพื่อฝึกฝนฝีมือจนมั่นใจรสชาติ” ซิงเยว่โอ้อวดอย่างภาคภูมิ พลางหย่อนกายนั่งลงบนตักอุ่น ซุกซบอกแกร่งอย่างต้องการออดอ้อนหลิวไท่หยางรีบกระชับเอวคอดกิ่วเอาไว้“อย่าบอกนะว่าที่เจ้ายืดเวลาเรื่องมีระดูเกินจริงถึงเจ็ดวัน ให้ข้าต้องอดกลั้นแทบตายเพื่อคืนนี้ของเรา”ซิงเยว่เงยหน้า ส่งแววตากระเง้ากระงอด“อือ... เหลืออาหารอีกอย่าง ข้ายังทำไม่เสร็จเลย”หลิวไท่หยางให้รู้สึกอดใจไม่ไหว เขาก้มหน้าจุมพิตซิงเยว่หนักๆ หนึ่งที“เจ้าอย่าเหน็ดเหนื่อยเลย แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”ซิงเยว่ยกมือลูบไล้แผงอกหนา “ข้าไม่เหนื่อยสักนิด เพราะคืนเข้าหอครั้งแรกของเรา ต้องดีที่สุด แต่หลังจ
เวลาไม่ถึงชั่วก้านธูปบุรุษหนุ่มร่างสูงเดินตัวปลิวเข้าจวนหลิวราวพายุ กระทั่งบ่าวรับใช้ยังเปิดประตูแทบไม่ทันหลิวไท่หยางเดินอาดๆ ด้วยความเร็วปานสายฟ้า เข้าเรือนหลักซึ่งบัดนี้มิใช่แค่ใช้พำนักพักผ่อนหลับนอน หากแต่เป็นสถานที่สำหรับร่วมเรียงเคียงหมอนกับภรรยาเสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน รอบกายแผ่ซ่านไอเย็นหนาวจัด ควันสีขาวพวยพุ่งยามหายใจหอบ ทว่ากลิ่นอายจากอากัปกิริยากลับฉายชัดถึงความร้อนรุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาขาวกระจ่างยิ่งกว่าแสงตะวันยามคิมหันต์ครั้นเข้ามาถึงหน้าห้อง พลันเห็นสาวใช้ยืนยอบกายรออยู่สองคน พวกนางทำสีหน้าเลิ่กลั่กหลิวไท่หยางมุ่นคิ้ว “มีอะไร?”สาวใช้คนหนึ่งอ้ำอึ้งตอบอึกอัก “เอ่อ...ฮูหยินบอกว่าหากนางไม่อนุญาต ผู้ใดก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาดเจ้าค่ะ”ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “แม้แต่ข้าหรือ?”สาวใช้อีกคนพยักหน้าคอแทบหัก “ฮูหยินย้ำว่า โดยเฉพาะนายน้อยหลิวเจ้าค่ะ”ยามนี้ใบหน้าหล่อเหลาปานหยกเนื้อละเอียดของหลิวไท่หยางซีดขาวสลับแดงคล้ำ ฉายแววประหลาดชวนหวาดหวั่นอย่างยิ่ง สาวใช้ทั้งสองมองอย่างลนลาน ยังไม่ทันกล่าวอะไร พลันเห็นผู้เป็นนายโบกมือไล่ “พวกเจ้าออกไป”ประหนึ่งฟ้าพิโรธเปลี่ยนเป็นสวรรค์โปรด
ฤดูเหมันต์เวียนบรรจบ หิมะโปรยปราย สองข้างทางขาวโพลนอีกครา เกิดประกายระยิบระยับยามกระทบโคมไฟยามราตรีอีกครั้งในรอบหลายปี แม้ต่างเวลา ทว่าความตระการตากลับไม่แตกต่างจากปีนั้นปีที่ชายหญิงคู่หนึ่งพบพานและประชันกันที่ลู่หยุน จวบจนความรักลอยวนรอบกายพวกเขาทั้งสองกลายเป็นคู่รักร่วมฝ่าฟันอุปสรรคกระทั่งได้แต่งงานกันในที่สุดวันนี้ซิงเยว่กลายเป็นภรรยาของหลิวไท่หยางแล้วสตรีผู้หนึ่งหยุดการเดินทางโลดโผนในยุทธภพกลายเป็นฮูหยินของคหบดีหนุ่มอย่างเต็มตัวเต็มใจนางยินดีอยู่เหย้าเฝ้าเรือนอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ให้สามีทำงานนอกบ้านหาเลี้ยงเฉกสตรีทั่วไปชั้นห้าภายในโรงเตี๊ยมเก้าชั้นค่ำคืนนี้ได้รับเกียรติต้อนรับคณะเดินทางของกลุ่มพ่อค้าต่างเมืองหลายกิจการ หลิวไท่หยางจึงอยู่ร่วมวงสังสรรค์โดยปล่อยภรรยาอยู่บ้านงานเลี้ยงวันนี้มีพ่อค้าหลายคน ข้างกายแต่ละคนล้วนมีสาวงามนั่งขนาบด้านซ้าย คอยดูแลปรนนิบัติอย่างดีไม่ต่างจากภรรยาไม่เว้นแม้แต่หลิวไท่หยางข้างกายของเขาก็มีสาวงามรูปโฉมเป็นเลิศเช่นกันสตรีผู้นี้ใบหน้าสะสวยอย่างยิ่ง ความสะคราญโฉมรวมกับรูปร่างอรชรแลดูเย้ายวนทุกส่วนของนางเป็นสิ่งที่บุรุษมิอาจเพิกเฉยมองเมินได้เ
การประลองคู่แรกเริ่มต้นยามเฉิน[1]ซิงเยว่เป็นผู้ชมที่ดี ยืนรอลำดับการแข่งขันของตนอยู่ที่มุมเล็กหลังสุดเงียบๆ โดยมีซีฮวาคอยดูแลผ้าโปร่งสีขาวปิดหน้าให้อย่างระมัดระวังและพิถีพิถันการแข่งขันดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างครึกครื้น มีผู้แพ้และผู้ชนะในแต่ละรอบที่เรียกได้ว่าฝีมือเท่าเทียมสูสีเมื่อได้เวลาของซิงเยว่ หญิงสาวก็เดินขึ้นบันไดไปยืนกลางลานประลอง โค้งกายคำนับรอบทิศอย่างนอบน้อม เพื่อมิให้ตนเองดูผิดแผกจากผู้อื่นมากนักผู้คุมการประลองประกาศถาม “จอมยุทธ์หญิงผู้นี้ เจ้ามีนามว่าอะไร?”สตรีร่างระหงหนึ่งเดียวยืนตระหง่านบนเวทีประลอง ท่าทางสุขุมลุ่มลึกสงบเยือกเย็นแต่แฝงเร้นซึ่งอันตราย“เรียกข้าว่าบุปผารัตติกาล...”“เป็นนามที่ดี” ผู้คุมการประลองกล่าวอย่างขึงขัง “เชิญแม่นางเลือกป้ายชื่อท้าประชัน”นางกวาดดวงตาหงส์ทรงเสน่ห์มองนิ่งประกาศท้าชิงอย่างเย็นชา “ข้าขอท้าประลองศิษย์อันดับหนึ่งลู่หยุน”เสียงฮือฮาเกิดขึ้นทันที ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสตรีใจกล้าถึงขั้นท้าประชันกับบุคคลผู้นี้ซิงเยว่ไม่รู้ว่าทุกคนจะส่งเสียงเอิกเกริกทำไมและยิ่งไม่รู้ว่าบุคคลที่นางท้าชิงเป็นใครหน้าตาเป็นเช่นไร นางเพียงยืนรออย่างสงบเสงี่ยมท่า
ฤดูเหมันต์ หิมะโปรยปราย สองข้างทางขาวโพลน เกิดประกายระยิบระยับยามดวงตะวันส่องกระทบลงมาหลังจากเสร็จสิ้นงานปล้นชิงเศรษฐีหน้าเลือดผู้หนึ่งด้วยความสะใจ นายหญิงรองซิงเยว่ก็พาสมุนสองสามคนเดินทางมายังบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหานโจวหญิงสาวมิได้มาเพื่อใช้เงินถลุงกับบ่อนพนันแห่งนี้ หากแต่นางมาเก็บเงินจากรายได้ทั้งหมดของบ่อนต่างหากเมื่อซิงเยว่ปรากฏกายภายใต้หน้ากากเงินเย็นเยียบ นายใหญ่ของโรงพนันแห่งนี้ก็โค้งคำนับอย่างกล้าๆ กลัวๆ พร้อมมอบเงินก้อนทองให้สองหีบใหญ่อย่างไม่อิดเอื้อนซิงเยว่มองนิ่งๆ ไม่กล่าวสิ่งใดเพียงโบกมือสั่งการสมุนสองคนให้นำเงินทั้งหมดกลับไป“ข้ากับซีฮวาจะอยู่เที่ยวเล่นสักสองสามวัน พวกเจ้ากลับไปรายงานพี่ใหญ่ตามนี้”“ขอรับนายหญิง”สมุนร่างสูงตัวโตสองคนประสานหมัด จากไปทันทีซิงเยว่จึงพาสมุนที่เหลืออีกคนนามว่าซีฮวาเดินทางไปยังสำนักลู่หยุนแคว้นเยี่ยนแบ่งแยกบุ๋นบู๊ชัดเจน สำนักศึกษาจึงมีสำนักบัณฑิตและสำนักฝึกยุทธ์หลายแห่ง หญิงสาวได้ข่าวว่าจะมีการท้าประลองระหว่างสำนักบู๊เพื่อเชิดชูอาจารย์และประกาศศักดาแต่ละสำนักให้ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือขจรไกล ทั้งนี้ยังมีเงินรางวัลล่อตาล่อใจสำหร