เห็นได้ชัดว่านอกจากหยางเจี้ยนจะทรงอิทธิพลแล้ว บรรดาน้องสาวของเขาที่แต่งออกไปก็มีอำนาจใช่ย่อย
กระทั่งจักรพรรดิยังเริ่มส่งสัญญาณเตือนแล้ว
หากแต่สกุลหยางกลับมีบุรุษน้อยมาแต่ไหนแต่ไร รุ่นของหยางจงเองยังเหลือแค่สองคนพี่น้องกับหยางเจ๋อ การเป็นแม่ทัพแม้ตำแหน่งสูงส่งแต่อย่างไรก็เสี่ยงอายุสั้น จำต้องมีทายาทสืบทอดไว้รองรับให้มากพอเท่านั้น
หยางจงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้รั้งรอมิได้อีกต่อไป
หยางเจี้ยนควรมีบุตรชายด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะดี หากเขาไม่มีจริงๆ จะแย่ การยกบุตรชายของอนุหรือหลานชายสายรองขึ้นมาสืบทอดสกุลแทนหยางเจี้ยนคงเป็นที่ขบขันแน่
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็เห็นสมควรรับอนุมาให้เจี้ยนเอ๋อร์”
ว่าแล้วก็หันไปทางฮูหยินใหญ่มารดาของหยางเจี้ยน กำชับเสียงเครียด
“ในเมื่อเจี้ยนเอ๋อร์ไม่ชอบภรรยาพระราชทาน โอกาสมีหลานชายคงมองไม่เห็น เช่นนั้นข้าก็รบกวนฮูหยินเฟ้นหาให้เจี้ยนเอ๋อร์สักคนเป็นไร ก่อนแต่งงานมิอาจกระทำ แต่แต่งงานแล้วหลายเดือนเช่นนี้ ทั้งสามีภรรยามิรักใคร่กันย่อมรับเข้ามาได้ ระมัดระวังเรื่องขั้วอำนาจเส้นสายสกุลด้วย อย่าพลั้งเผลอทำให้ฝ่าบาททรงเคืองพระทัยหรือนึกระแวงสกุลหยางของพวกเราจนหาความสงบสุขมิได้เป็นพอ ขอแค่ได้หลานชายเป็นสำคัญ”
ฮูหยินใหญ่พยักหน้า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะท่านพี่”
เจียวหั่วรีบเอ่ยเสริม “หากอนุคนแรกยังไม่มีหลานชายให้บ้านใหญ่ พี่เขยก็เพิ่มอนุให้อาเจี้ยนเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จนะเจ้าคะ”
อย่ามายุ่งกับนายท่านรองของข้าเชียว!
นายท่านรองหยางเจ๋อ ลอบมองฮูหยินของตนก็ให้รู้สึกอึดอัดเหลือเกิน เขาเป็นบัณฑิต ไหนเลยจะห้าวหาญเฉกเช่นบิดากับพี่ใหญ่และหลานชาย
เมื่อครั้งบิดายังหนุ่มแน่นก็มีอนุหลายคน แม้จะตายไปบางส่วนแล้วก็ยังเหลืออีกหลายคนถือว่ากร้าวแกร่งไม่เบา
ส่วนพี่ใหญ่ที่แม้ยามนี้จะเดินเหินไม่สะดวกคล้ายพิการกว่าครึ่ง สุขภาพทรุดโทรมไปมาก หากแต่อนุของเขาก็ยังเดินนวยนาดเต็มหลังเรือน
มีเพียงเขาที่มิกล้าขัดใจภรรยา
การรับอนุสักคนจึงไม่เคยเกิดขึ้นสักครา
เจียวหั่วนั้น นางเป็นบุตรหลานของขุนนางขั้นสาม รอบรู้กว้างขวาง หูตากว้างไกล ทั้งยังกระตือรือร้นเรื่องผู้อื่นอยู่แล้ว จึงร่วมด้วยช่วยกันเฟ้นหาหญิงงามกับฮูหยินใหญ่อย่างขะมักเขม้น
ใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน สาวน้อยวัยสะพรั่งก็ปรากฏกาย
นางผู้นี้มีสกุลพอเหมาะพอควรกำลังดี ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป เป็นหลานสาวอนุสายหลักของขุนนางขั้นสี่สกุลซู่ กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามอย่างที่สุด มองมุมใดก็ให้รู้สึกเจริญหูเจริญตายิ่งยวด
สัดส่วนระหงอรชรแลดูบอบบางอ้อนแอ้นแต่กลับอวบอิ่มซ่อนโนมเนื้ออันสมบูรณ์ไว้ภายใต้ชุดสีชมพู
อันบ่งบอกได้ว่าเหมาะแก่การให้กำเนิดบุตรเพียงใด
นางมีนามว่าซู่หลิน
ดวงหน้าคิ้วตาหวานละมุนชวนพิศ มองแล้วให้รู้สึกรักใคร่เอ็นดู ยิ่งพินิจยิ่งควรค่าแก่การทะนุถนอมอย่างมาก
เพราะต้องเข้ามาเป็นเพียงอนุภรรยา เหล่าผู้อาวุโสสกุลหยางจึงมองสตรีสกุลซู่ด้วยสายตาเปี่ยมเมตตาปรานีต่างจากมองสตรีสกุลไป๋โดยสิ้นเชิง โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าในสายตาของซู่หลินมองพวกเขาอย่างหมายมาดเช่นใด
เดิมทีสตรีสกุลซู่ที่ถูกเลือกมิใช่นาง หากแต่เป็นพี่สาวนามว่าซู่เหยาต่างหาก
ซู่หลินเพียงทำให้พี่สาวคนงามเจ็บป่วยปางตายกระทั่งนอนซมลุกไม่ขึ้น จากนั้นนางก็เสนอตัวเองเต็มที่
ราตรีนั้นพลันวุ่นวายอย่างมาก ทว่ากลับสงบลงอย่างรวดเร็วเรียบง่าย เพราะสกุลซู่ย่อมไม่มีทางบ่ายเบี่ยงโอกาสอันดีในการเชื่อมสัมพันธ์กับผู้ทรงอิทธิพลที่สุดเช่นสกุลหยาง จึงไม่คิดรั้งรอให้ซู่เหยาหายป่วย
การส่งซู่หลินมาแทนล้วนมิใช่เรื่องเกินคาด
เป็นเพียงอนุแล้วอย่างไร? ผู้ใดให้บุรุษผู้นั้นเป็นถึงแม่ทัพหยางผู้หล่อเหลาเกรียงไกรเล่า ทั้งชาติตระกูลของเขาที่สูงศักดิ์อีก ใครจะไม่ตื่นเต้น
หากนางเป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานแล้วให้กำเนิดบุตรชายได้ ภรรยาพระราชทานอย่างสะใภ้สกุลไป๋ ยังจะมีค่าให้เอ่ยถึงกระนั้นหรือ?
รุ่งอรุณมาเยือนหลิวไท่หยางทำทีกวาดใบไม้ที่เกลื่อนลาน หมายรอให้ซิงเยว่จัดการธุระส่วนตัวในยามเช้าเสร็จสิ้น กระทั่งเดินออกมานั่งรับแสงแดดริมระเบียง เขาจึงรีบเดินมาชักชวน“คุณหนู วันนี้อากาศดียิ่งนัก ไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดีหรือไม่?”การออกกำลังแขนขาย่อมผ่อนคลายความตึงเครียด บรรเทาอาการอึดอัดกระสับกระส่ายจากการนอนไม่หลับ หลังจากนั้นค่อยกลับมาหลับยามกลางวันให้สบายตัวชายหนุ่มคิดในใจมิได้เอ่ยออกไป ทว่าซิงเยว่กลับเข้าใจได้โดยง่ายน่าแปลกนักที่บุรุษผู้หนึ่งจะเข้าใจผู้อื่นได้ดีปานนี้ หากเสี่ยวชางมีภรรยา นางผู้นั้นย่อมต้องเป็นสตรีที่มีโชค การได้บุรุษแสนดีมาครองย่อมเปรียบเสมือนได้ครองใต้หล้าซิงเยว่เริ่มคิดเรื่อยเปื่อยไปไกลเมื่อหลุดจากภวังค์เลื่อนเปื้อน นางก็พยักหน้ายิ้มๆ ให้กับบุรุษแสนดีที่จะมีภรรยาเป็นสตรีครองใต้หล้าหญิงสาวลุกขึ้นยืน “ไปกันเถิด เสี่ยวชาง”นางหันมาพยักหน้าอีกทาง “ตงอิง เจ้าเฝ้าเรือนเตรียมอาหารเช้าแล้วกัน”ตงอิงยอบกายรับคำไม่อิดเอื้อน “เจ้าค่ะ”หลิวไท่หยางปรารถนาเข้าไปโอบกระชับบ่าเล็กๆ แล้วจับมือนางเดินเล่นด้วยกันอย่างปลอบประโลมเหลือเกินแต่จนใจที่ทำไม่ได้เพราะยามนี้เขาเป็นเพ
จูซิ่วตวัดแขโอบลำคอซ่งเสวียนชิงเพื่อมิให้เขาผละจากไป ดวงตาของนางเว้าวอน แอ่นอกชิดอกของเขาอย่างเย้ายวนชวนหวาบหวิว โน้มใบหน้าประทับจุมพิต รำพันยามแนบกลีบปากคลอเคลีย“แม้ข้ามิใช่พี่โม่เหลียน แต่ข้าไม่เคยโกรธท่าน ไม่เลย ...ข้ารักท่าน ขอแค่ท่านรักข้า รักเพียงข้า...”ดวงตาคมเข้มทอประกายวูบไหว หัวใจในโพรงอกด้านซ้ายเต้นในจังหวะไม่ช้า ทั้งสั่นไหวอย่างรุนแรง ประหนึ่งหนุ่มน้อยได้เจอปีศาจสาวจอมล่อลวงให้ตกบ่วงห้วงมายาแบบกะทันหัน ทั้งกิริยาหวิวซ่านและคำพร่ำรำพันแว่วหวาน และยามนี้สองร่างเปล่าเปลือยกำลังกอดเกยอยู่ในท่วงท่าหมิ่นเหม่หวามไหว ไหนเลยยังต้องคิดยั้งใจอันใด ซ่งเสวียนชิงจึงก้มหน้าพรมจูบจูซิ่วอย่างดุดัน จับอีกฝ่ายแยกขาพร้อมเคลื่อนกายขยับเป็นจังหวะวสันต์ ก่อนจะตอกตรึงลึกซึ้งถึงอารมณ์อันเร่าร้อนม่านเตียงพลิ้วไหว เคล้าเสียงกระเส่าครวญคราง เปลวเทียนวูบไว สาดส่องภาพวาดสตรีบนโต๊ะเนิ่นนาน...เรือนหนึ่งเสพสมสุขสันต์ ทว่าอีกเรือนหนึ่งนั้นกลับเห็นเงาร่างเลือนรางของคู่รักในม่านฝันแม้เป็นเพียงภาพฝันและเลือนรางปานนั้น หากแต่กลับทุกข์ระทมเด่นชัดในห้วงคะนึงนิทรานางทำราตรีนี้ยังคงทรมาน.
ค่ำคืนอากาศเย็นเยียบ บุรุษร่างใหญ่นั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียวเงียบๆ แววตาจับจ้องเพียงสิ่งหนึ่งเนิ่นนานภายในห้องหนังสือ มีแสงเทียนนวลลออส่องสะท้อนภาพวาดของสตรีงดงามวางอยู่บนโต๊ะ ฝ่ามือหยาบกร้านของซ่งเสวียนชิงลูบไล้อย่างคิดถึง หวนคะนึงโหยหามิสร่างซา“โม่เหลียน ในที่สุดข้าก็ได้บุตรสาวของเรากลับมา ข้าดูแลนางอย่างดี” เขาแค่นยิ้ม “เจ้าอย่าโกรธข้าอีกเลย เลิกโกรธข้าเสียที...ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้...โม่เหลียน...”เปลือกตาหนักอึ้งของบุรุษค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า นานครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครา จอกเหล้าถูกยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด เป็นอยู่เช่นนี้หลายครั้งหลายครา“ท่านพี่...” สุ้มเสียงอ่อนหวานดังขึ้นข้างกาย ซ่งเสวียนชิงจึงปรายตามองแต่แล้วเขาพลันชะงักวูบหนึ่ง เท้ามือกับพนักเก้าอี้เพื่อพยุงตัวลุกขึ้น สองตาเหม่อมองเจ้าของเสียงหวานนิ่งงัน“เหลียนเอ๋อร์”รอยยิ้มสตรีแข็งค้าง ทว่าชั่วแวบเดียวเท่านั้นกลับปรับให้ริมฝีปากสีแดงเรื่อแย้มยิ้มเฉิดฉันอ่อนโยนดุจเดิมส่งผลให้ผู้มองรับรู้ได้ว่ากลีบปากภายใต้รอยยิ้มนี้ นุ่มหวานปานใด “เหลียนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว...”ซ่งเสวียนชิงตวัดแขนโอบรัดเจ้าของรอย
ซิงเยว่ยังไม่เดินเข้าไป เพียงยืนมองภาพเบื้องหน้าด้วยกิริยานิ่งเงียบภาพที่สะท้อนเข้าสู่ม่านตาคือบิดานั่งยิ้มในหน้า แววตาอบอุ่นมากล้น เขาก้มมองบุตรสาวผู้น่ารักน่าชังอย่างเอื้อเอ็นดูสุดหัวใจ ส่วนมารดานั่งพะเน้าพะนอลูบหลังเบาๆ กล่าวสนับสนุนบุตรสาวทุกวาจาเป็นภาพของครอบครัวรักใคร่ปรองดองอย่างแท้จริงซ่งหลันจวิ้นยังไม่มา คงกำลังอาบน้ำผลัดอาภรณ์ทว่าเพียงสามคนพ่อแม่ลูกนี้ก็เพียงพอแล้วถึงกระแสความรักที่ท่วมท้น“ท่านพ่อ นี่คือหยกพกที่พี่หย่งปินมอบให้ข้าเจ้าค่ะ”ซ่งหลันอวี้ส่งเสียงกังวานใสไม่ขาดสายพร้อมล้วงเอาหยกเนื้อดีขึ้นมาโอ้อวดแก่สายตาบิดาเป็นหยกพกพาประจำกายของหย่งปินจริงๆหญิงสาวกล่าวอีกว่า “พี่หย่งปินบอกว่าภายหน้าจะมีข้าเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว พวกท่านเป็นพยานนะ หากมีสตรีใดกล้าสานสัมพันธ์กับเขา ต้องช่วยกันขับไล่ไปให้ไกล”จูซิ่วเห็นเช่นนั้นรีบส่งเสริม “สองคนนี้สนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก เผยท่าทีต่อกันชัดเจน เห็นทีคงต้องหมั้นหมายกันเสียแล้วกระมัง ท่านพี่คิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ?”ซ่งเสวียนชิงพยักหน้ายิ้ม กล่าวคำว่าดีๆ ติดกันซ่งหลันอวี้เปลี่ยนท่าทีจากสดใสเป็นกระเง้ากระงอด “ท่านแม่ แต่พี่ซิงหลานมักจ
เรือนซิงเยว่หญิงสาวกลับเรือนมาออกแบบกลไกใช้ยิงขนาดเล็ก เหมาะสำหรับเด็กไว้ยิงไม่ต่างจากธนูคันใหญ่และหน้าไม้ สิ่งนี้มีช่องเก็บลูกดอกเล็กๆ บรรจุติดกับกลไก เพียงยึดให้มั่นแล้วพลิกมือจนเกิดเสียงดังกริ๊ก ลูกดอกคล้ายธนูจะเข้าสลัก ยิงได้ไกลในเสี้ยวเวลา“ข้าจะทำให้หลันจวิ้น”หญิงสาวบอกเสี่ยวชางผู้เป็นลูกมือประกอบกลไกตามคำสั่ง ทั้งสองนั่งอยู่ที่โต๊ะในเรือน ขะมักเขม้นกับกลไกนี้“ดูเจ้าเชี่ยวชาญยิ่งนัก เคยประกอบกลไกหรือ?”ซิงเยว่ถามเสี่ยวชางที่มีท่าทางปราดเปรื่องเหลือเกิน มองประเมินภาพแบบร่างกลไกของนางเพียงแค่ชั่วครู่เดียว กลับประกอบออกมาได้อย่างคล่องแคล่วสมบูรณ์แบบหลิวไท่หยางแทบทำไม้ปักมือตนเองขณะเผลอไผลแสดงความสามารถของตนออกไป ทว่าพริบตาก็ยกยิ้มโง่งม แล้วกล่าวเยี่ยงคนเขลาว่า “เมื่อก่อนตอนยังเป็นเด็กชาย ไม่มีข้าวกิน ข้าจึงชอบเข้าป่าล่าสัตว์ ชอบการยิงนกตกปลา เคยทำกับดักมากมายขอรับ”แท้จริงกลไกเยี่ยงนี้ในกาลก่อนล้วนเป็นเขาเองที่เพียรศึกษาแล้วนำมาสอนนางเพื่อเพิ่มการจู่โจมยามปล้นชิง ซิงเยว่ยามนั้นชอบมาก นางนำไปดัดแปลงอย่างชาญฉลาด ทว่ามิได้ทำเพื่อการปล้นชิง หากแต่กลับทำแล้วนำไปขาย จากนั้นก็เรียก
เขาผู้นี้คือเสี่ยวชางหย่งปินถอนหายใจเฮือก นึกชังกับบ่าวชายคนสนิทของคุณหนูใหญ่เหลือเกิน แต่จนใจที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะผู้นี้คือคนโปรดของนางชายหนุ่มเบี่ยงตัวเลี่ยงออกหลบเจ้าท่อนไม้ยักษ์ เพื่อยื่นใบหน้าขาวๆ ของตนให้พ้นใบหน้าดำทะมึนของอีกคน ทว่าทำอยู่นานล้วนไร้ผล คนสูงสองคนจึงยืนประจันหน้ากัน หลิวไท่หยางไม่มีทางยอมให้บุรุษใดเกี้ยวพาซิงเยว่ทั้งนั้น ส่วนหย่งปินเองก็ไม่ยอมให้ใครขัดขวางทางรักของตนเช่นกัน ไม่ง่ายเลยที่จะได้เจอสตรีถูกใจเช่นนี้บุรุษแค่นเสียงลอดไรฟันใส่หน้ากันในระยะเผาขน“เจ้าทาสชั้นต่ำ หลบไป!” หย่งปินมองเหยียดหลิวไท่หยางแค่นเสียงเย็นชา “ข้าไม่ปล่อยคนถ่อยเข้าใกล้นางแน่!”“เจ้าว่าใครถ่อย?”“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ามักแสดงท่าทีกับซ่งหลันอวี้” น้ำเสียงหลิวไท่หยางเจือกระแสเหยียดหยันแววตาเยียบเย็น “มีแต่คนถ่อยเท่านั้นที่ทำพี่น้องต้องแย่งชิง ช่างไร้ยางอาย!”“เจ้า!” หย่งปินยิ่งเดือดดาล เขายิ้มเยาะ “พี่น้องแย่งชิงแล้วอย่างไร ข้าย่อมดูแลได้ดีทั้งหมด ทุกคน!”หลิวไท่หยางหรี่ตา สุ้มเสียงหยาบกระด้างมากขึ้น “คิดอยากเลี้ยงดูสตรีทั้งเมืองก็เรื่องของเจ้า แต่ต้องไม่ใช่คุณหนูของข้า ไสห