ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากครอบครัว แก้วกัลยารู้สึกเหมือนตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เธอต้องเลือกระหว่างความรักที่เพิ่งก่อตัวขึ้นกับหม่อมราชวงศ์รวิ และหน้าที่ความรับผิดชอบต่อวงศ์ตระกูล การแต่งงานกับเจ้าศิริวัฒน์คือสิ่งที่ถูกต้องตามประเพณี และเป็นสิ่งที่ครอบครัวของเธอต้องการ แต่หัวใจของเธอกลับร่ำร้องหาเพียงหม่อมราชวงศ์รวิ
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา แก้วกัลยาเก็บตัวอยู่ในห้อง พยายามทบทวนทุกสิ่ง เธอคิดถึงความอบอุ่น ความเข้าใจ และความจริงใจที่หม่อมราชวงศ์รวิมอบให้ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา เธอรู้สึกเป็นตัวของตัวเองและมีความสุขอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยรู้สึกเมื่ออยู่กับเจ้าศิริวัฒน์ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่อาจมองข้ามความปรารถนาดีและความกังวลของพ่อเลี้ยงอินทาและมารดา พวกท่านหวังเพียงสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอ และการล้มเลิกการหมั้นหมายกับเจ้าศิริวัฒน์อาจนำมาซึ่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อวงศ์ตระกูล หม่อมราชวงศ์รวิเองก็รู้สึกถึงความทุกข์ใจของแก้วกัลยา เขาพยายามหาโอกาสมาพบเธอเพื่อพูดคุยและให้กำลังใจ แต่ก็ต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก “อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ” หม่อมราชวงศ์รวิกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนในการพบกันครั้งล่าสุด “ผมเข้าใจว่าคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก” “ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดีค่ะท่านหม่อมราชวงศ์” แก้วกัลยากล่าวทั้งน้ำตา “ดิฉันไม่อยากทำให้พ่อกับแม่เสียใจ แต่ดิฉันก็ไม่อาจฝืนใจแต่งงานกับคนที่ดิฉันไม่ได้รัก” “ผมรู้” หม่อมราชวงศ์รวิจับมือเธออย่างให้กำลังใจ “ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจอย่างไร ผมจะเคารพการตัดสินใจของคุณ และผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ” คำพูดของหม่อมราชวงศ์รวิทำให้แก้วกัลยารู้สึกซาบซึ้ง แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เธอรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ยุ่งยากนี้ ในขณะที่แก้วกัลยากำลังครุ่นคิดถึงทางออก เจ้าศิริวัฒน์ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เขายังคงโกรธเคืองกับการกระทำของแก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวิ และกำลังวางแผนบางอย่างเพื่อแก้แค้น วันหนึ่ง เจ้าศิริวัฒน์ได้มาพบพ่อเลี้ยงอินทาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ผมมาเพื่อพูดคุยเรื่องการหมั้นหมาย” เจ้าศิริวัฒน์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา พ่อเลี้ยงอินทารู้สึกกังวล “คุณเจ้ามีอะไรจะพูดคุยหรือครับ?” “ผมทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว เรื่องที่ลูกสาวท่านกับท่านหม่อมราชวงศ์...” เจ้าศิริวัฒน์เว้นคำพูดไปครู่หนึ่ง “ผมรู้สึกเสียใจและผิดหวังมาก” พ่อเลี้ยงอินทารู้สึกอับอาย “ผมขอโทษแทนลูกสาวของผมด้วยครับคุณเจ้า” “ผมยังคงต้องการที่จะรักษาการหมั้นหมายนี้ไว้” เจ้าศิริวัฒน์กล่าวต่อ “แต่มีเงื่อนไข...” พ่อเลี้ยงอินทามองหน้าเจ้าศิริวัฒน์ด้วยความสงสัย “ผมต้องการให้ท่านจัดการกับท่านหม่อมราชวงศ์รวิ ไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับลูกสาวของท่านอีกต่อไป” เจ้าศิริวัฒน์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด คำพูดของเจ้าศิริวัฒน์สร้างความหนักใจให้กับพ่อเลี้ยงอินทา ท่านไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้ง แต่ก็ไม่อยากให้บุตรีต้องเสียใจ ในที่สุด แก้วกัลยาก็ต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิต เธอต้องเลือกระหว่างหน้าที่และความรัก ระหว่างความต้องการของครอบครัว และความปรารถนาของหัวใจ คืนหนึ่ง แก้วกัลยานั่งอยู่คนเดียวในห้อง มองไปยังแสงจันทร์ที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามา เธอครุ่นคิดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เธอรู้ว่าไม่ว่าเธอจะเลือกทางไหน จะต้องมีคนเสียใจ เธอหลับตาลงและนึกถึงใบหน้าของหม่อมราชวงศ์รวิ ความอบอุ่นในแววตาของเขา ความจริงใจในคำพูดของเขา ทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอมีความหมายเมื่ออยู่ใกล้เขา จากนั้นเธอก็นึกถึงใบหน้าของพ่อเลี้ยงอินทาและมารดา ความรักและความห่วงใยที่ท่านมีให้เธอมาโดยตลอด ทำให้เธอไม่อยากทำให้ท่านต้องผิดหวัง น้ำตาไหลอาบแก้มของแก้วกัลยา เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร... การตัดสินใจครั้งนี้จะกำหนดเส้นทางชีวิตของเธอไปตลอดกาลกาลเวลาล่วงเลยผ่านไป ความรักและความผูกพันของแก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวิยังคงเบ่งบานและหยั่งรากลึกในหัวใจของลูกหลาน พวกเขาได้สร้างครอบครัวที่อบอุ่นและเป็นที่รักของคนรอบข้าง เรื่องราวความรักของทั้งสองกลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่นในนครพิงค์ในวัยชรา แก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวิยังคงอยู่เคียงข้างกันและกัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ความรักและความเข้าใจของพวกเขาก็ไม่เคยจางหาย ทั้งสองใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยความสงบสุข มองดูลูกหลานเติบโตและสร้างครอบครัวของตนเองวันหนึ่ง ในยามเช้าที่อากาศสดใส แก้วกัลยานั่งอยู่บนเก้าอี้หวายในสวน มองดูดอกไม้ที่ยังคงเบ่งบานงดงาม หม่อมราชวงศ์รวิเดินเข้ามานั่งเคียงข้างเธอ จับมือของเธออย่างอ่อนโยน“วันนี้อากาศดีจริง ๆ นะครับ” หม่อมราชวงศ์รวิกล่าวด้วยรอยยิ้มแก้วกัลยามองตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ค่ะ ทุกวันที่ได้อยู่กับท่านก็เป็นวันที่ดีเสมอ”ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันอย่างเงียบ ๆ สูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้ และฟังเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว ความเงียบนั้นไม่ได้น่าอึดอัด แต่กลับเต็มไปด้วยความเข้าใจและความผูกพันที่ลึกซึ้ง“ท่านยังจำวันที่เราพบกันครั้งแรกได้ไหมคะ?” แก้วกัลยาเ
กาลเวลาผันผ่านไป บุตรชายและบุตรสาวของแก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวิเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มสาว พวกเขาได้รับการสั่งสอนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม และมีความรักใคร่ในครอบครัว เฉกเช่นที่บิดามารดาเคยปฏิบัติบุตรชายคนโตของพวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนเฉลียวฉลาดและมีความมุ่งมั่น เขาได้รับการศึกษาอย่างดีและได้ช่วยแบ่งเบาภาระของหม่อมราชวงศ์รวิในการบริหารจัดการกิจการต่าง ๆ ในเมืองส่วนบุตรสาวคนเล็กก็มีความงดงามและมีจิตใจโอบอ้อมอารี เธอได้รับการอบรมให้เป็นกุลสตรีที่ดี และเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในครอบครัวแก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวิมองดูลูก ๆ เติบโตด้วยความภาคภูมิใจ ความสุขของพวกเขาทวีคูณยิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นลูก ๆ มีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตพ่อเลี้ยงอินทาและมารดาของแก้วกัลยาก็แก่ชราลง แต่ท่านทั้งสองก็ยังคงแข็งแรงและเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกหลาน ความรักและความอบอุ่นในครอบครัวยังคงเหนียวแน่นเจ้าสรุศักดิ์ยังคงเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัว เขามักจะมาเยี่ยมเยียนและเล่นกับหลาน ๆ เป็นประจำ แม้จะไม่ได้มีครอบครัวเป็นของตนเอง แต่เขาก็มีความสุขที่ได้เห็นความสุขของเพื่อนวันหนึ่ง แก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวินั่งอยู่ด้วยกัน
ภายหลังจากพิธีแต่งงานครั้งที่สอง แก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวิก็ได้เริ่มต้นชีวิตคู่ร่วมกันอย่างแท้จริง เรือนของพ่อเลี้ยงอินทาอบอวลไปด้วยความรักและความสุข แก้วกัลยาปรับตัวเข้ากับการเป็นภรรยาได้อย่างราบรื่น เธอเรียนรู้การดูแลเรือนและการจัดการต่าง ๆ จากป้าเมี้ยน และได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากหม่อมราชวงศ์รวิเป็นอย่างดีหม่อมราชวงศ์รวิยังคงปฏิบัติราชการด้วยความซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง เขาให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก และมักจะหาเวลาอยู่กับแก้วกัลยาเสมอทั้งสองใช้เวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นในสวน การอ่านหนังสือ การสนทนา หรือการไปเยี่ยมเยียนญาติมิตร ความรักและความเข้าใจของพวกเขายิ่งแน่นแฟ้นขึ้นในทุก ๆ วันพ่อเลี้ยงอินทาและมารดาของแก้วกัลยามีความสุขที่ได้เห็นลูกสาวมีความสุข ท่านทั้งสองเอ็นดูหม่อมราชวงศ์รวิเหมือนลูกชายแท้ ๆ และมักจะให้คำแนะนำและช่วยเหลือทั้งสองเสมอเจ้าสรุศักดิ์เองก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีของทั้งคู่ เขามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนและร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเสมอ แม้ในใจลึก ๆ จะยังคงมีความรู้สึกบางอย่าง แต่เขาก็เลือกที่จะยินดีกับความสุขของเพื่อนกาลเวลาผ่
ข่าวการจับกุมแม่หญิงเดือนฉายได้ถูกส่งไปถึงแก้วกัลยาที่บ้านเดิมของเธอ ป้าเมี้ยนเป็นคนนำข่าวดีนี้ไปบอก เมื่อแก้วกัลยาทราบว่าอันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว ความรู้สึกโล่งใจก็ท่วมท้นหัวใจ เธอรู้ว่าหม่อมราชวงศ์รวิได้ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอในจดหมายที่หม่อมราชวงศ์รวิส่งมาพร้อมกับข่าวนี้ เขาได้เขียนถึงความรักและความคิดถึงที่มีต่อเธออย่างลึกซึ้ง และขอให้เธอกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันอีกครั้งเมื่ออ่านจดหมายจบ แก้วกัลยารู้สึกอบอุ่นหัวใจ เธอรู้ว่าที่ที่เธอควรอยู่คือข้างกายหม่อมราชวงศ์รวิ เธอตัดสินใจที่จะกลับไปหาเขาในทันทีแก้วกัลยาเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว และร่ำลาพ่อเลี้ยงและมารดาด้วยความรัก ท่านทั้งสองดีใจที่เห็นแก้วกัลยาตัดสินใจเช่นนั้น และอวยพรให้เธอมีความสุขกับหม่อมราชวงศ์รวิการเดินทางกลับมายังเรือนของพ่อเลี้ยงอินทาเต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตัน เมื่อรถม้ามาถึงหน้าเรือน แก้วกัลยารีบลงจากรถและมองไปยังเรือนที่คุ้นเคย หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความคิดถึงหม่อมราชวงศ์รวิที่รอคอยการกลับมาของเธออยู่แล้ว รีบออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรัก เมื่อทั้งสองได้พบกัน พวกเขาก็โผเข้ากอดกันอย่างแนบแน่น ค
ภายหลังจากที่หม่อมราชวงศ์รวิและเจ้าสรุศักดิ์วางแผนการอย่างรอบคอบ พวกเขาก็เริ่มดำเนินการตามล่าแม่หญิงเดือนฉายอย่างเงียบ ๆ พวกเขาสืบหาเบาะแสจากคนรู้จักและแหล่งข่าวต่าง ๆ จนในที่สุดก็ทราบว่าแม่หญิงเดือนฉายได้หลบซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมร้างนอกเมืองหม่อมราชวงศ์รวิและเจ้าสรุศักดิ์นำกำลังคนจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังกระท่อมร้างแห่งนั้นในคืนหนึ่ง แสงจันทร์ส่องสว่างพอให้เห็นทาง แต่บรรยากาศโดยรอบกลับเงียบสงัดและน่าหวาดหวั่นเมื่อไปถึงกระท่อม หม่อมราชวงศ์รวิสั่งให้คนล้อมกระท่อมไว้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้แม่หญิงเดือนฉายหลบหนีไปได้“ระวังตัวด้วยนะครับท่านหม่อมราชวงศ์” เจ้าสรุศักดิ์กระซิบเตือนหม่อมราชวงศ์รวิพยักหน้า เขาเดินนำหน้าเข้าไปในกระท่อมอย่างระมัดระวัง ภายในกระท่อมมืดสนิท แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของใครบางคน“ออกมาเถิดแม่หญิงเดือนฉาย เรารู้ว่าท่านอยู่ในนี้” หม่อมราชวงศ์รวิกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เสียงหัวเราะเยาะจะดังขึ้นจากมุมมืด“เก่งนี่ท่านหม่อมราชวงศ์ ตามหาฉันจนเจอ” เสียงของแม่หญิงเดือนฉายดังขึ้นจากเงามืด แม่หญิงเดือนฉายปรากฏตัวออกมา เธอมีสีหน้าที่บิดเบี้ย
แม้จะรู้สึกเจ็บปวดกับการจากลาของแก้วกัลยา แต่หม่อมราชวงศ์รวิก็ไม่ยอมแพ้โดยง่ายดาย เขารู้ดีว่าการตัดสินใจของแก้วกัลยามาจากความหวาดกลัวและความปรารถนาที่จะปกป้องเขา เขาเชื่อมั่นในความรักที่พวกเขามีให้กัน และไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจบลงเช่นนี้ตลอดหลายวันที่แก้วกัลยาไม่อยู่ หม่อมราชวงศ์รวิใช้เวลาทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา เขาคิดถึงความสุขที่เคยมีร่วมกัน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความผูกพันที่ลึกซึ้ง เขาไม่สามารถจินตนาการถึงชีวิตที่ไม่มีแก้วกัลยาได้หม่อมราชวงศ์รวิตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้ความหวาดกลัวมาพรากคนรักของเขาไป เขาจะหาทางพิสูจน์ให้แก้วกัลยาเห็นว่าเข้มแข็งพอที่จะปกป้องเธอได้ และความรักของพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่าความแค้นของแม่หญิงเดือนฉายหม่อมราชวงศ์รวิเริ่มวางแผนบางอย่าง เขารู้ว่าแม่หญิงเดือนฉายยังคงเป็นภัยคุกคาม และตราบใดที่เธอยังไม่ถูกจัดการ ทุกคนก็ยังคงไม่ปลอดภัยเขาได้ปรึกษากับเจ้าสรุศักดิ์ถึงเรื่องนี้ เจ้าสรุศักดิ์เองก็เห็นด้วยว่าพวกเขาไม่ควรปล่อยให้แม่หญิงเดือนฉายลอยนวล“เราต้องหาทางจับตัวแม่หญิงเดือนฉายให้ได้” หม่อมราชวงศ์รวิกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่“ท่านมีแผนอย่างไรห
คำพูดของแก้วกัลยาสร้างความเงียบงันและความตกตะลึงให้กับทุกคนในที่นั้น หม่อมราชวงศ์รวิรู้สึกเหมือนหัวใจแตกสลาย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจเช่นนี้ หลังจากที่พวกเขาได้ฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย“แก้วกัลยา... คุณพูดจริงหรือ?” หม่อมราชวงศ์รวิถามด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดแก้วกัลยามองหน้าเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ค่ะ ดิฉันคิดว่า... นี่คือทางที่ดีที่สุดสำหรับเรา”“ทางที่ดีที่สุด?” หม่อมราชวงศ์รวทวนคำด้วยความไม่เข้าใจ “การที่เราต้องจากกันนี่น่ะหรือคือทางที่ดีที่สุด?”“ดิฉันไม่อยากให้ท่านต้องมาเสี่ยงอันตรายเพราะดิฉันอีกต่อไป” แก้วกัลยากล่าวเสียงสั่น “แม่หญิงเดือนฉายยังคงมีความแค้น และดิฉันกลัวว่าเธอจะกลับมาทำร้ายท่านอีก”“แต่ผมไม่กลัว!” หม่อมราชวงศ์รวิตอบอย่างหนักแน่น “ผมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งเพื่อคุณ”“แต่ดิฉันไม่ต้องการให้ท่านต้องเป็นเช่นนั้น” แก้วกัลยากล่าว “ดิฉันอยากให้ท่านมีชีวิตที่สงบสุข ปลอดภัย”พ่อเลี้ยงอินทาและมารดาพยายามที่จะพูดเกลี้ยกล่อมแก้วกัลยา แต่เธอก็ยืนยันในการตัดสินใจของตนเอง“ลูกคิดดีแล้วหรือแม่แก้ว?” มารดาถามด้วยความเป็นห่วง“ค่ะแม่” แก้วกัลยาตอบด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่เจ้าสรุ
ภายหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายและการต่อสู้ในงานแต่งงาน ทุกคนต่างก็อยู่ในอาการตกใจและเหนื่อยล้า ผู้บาดเจ็บได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และบรรยากาศแห่งความสุขได้แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบเหงาและความกังวลแก้วกัลยาดูแลบาดแผลของหม่อมราชวงศ์รวิด้วยความเป็นห่วง เธอใช้ผ้าสะอาดพันรอบแขนของเขาอย่างเบามือ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องบาดเจ็บ“ดิฉันขอโทษนะคะ ที่ทำให้ท่านต้อง...” แก้วกัลยากล่าวเสียงแผ่วหม่อมราชวงศ์รวจับมือเธอเบา ๆ “อย่าโทษตัวเองเลยครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณ ผมยินดีที่จะปกป้องคุณเสมอ”พ่อเลี้ยงอินทาและมารดาของแก้วกัลยาเข้ามาด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย ท่านทั้งสองรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันมงคลของบุตรี“พวกเราขอโทษด้วยนะแม่แก้ว ที่ปกป้องลูกได้ไม่ดีพอ” มารดากล่าวพลางลูบศีรษะของแก้วกัลยาเบา ๆ“ไม่เป็นไรค่ะแม่ อย่างน้อยทุกคนก็ปลอดภัย” แก้วกัลยากล่าวให้กำลังใจเจ้าสรุศักดิ์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “เราต้องแจ้งทางการให้มาจัดการเรื่องนี้ แม่หญิงเดือนฉายทำเกินไปแล้ว”หม่อมราชวงศ์รวิเห็นด้วย “ผมจะไปแจ้งความด้วยตัวเอง”ในขณะที่หม่อมราชวงศ์รวิกำลังจะไปแจ้งความ แก้ว
ความโกลาหลและความวุ่นวายปกคลุมทั่วบริเวณงานแต่งงาน กลุ่มชายฉกรรจ์ที่แม่หญิงเดือนฉายส่งมาเข้าโจมตีแขกเหรื่ออย่างไม่ทันตั้งตัว เสียงร้องด้วยความตกใจ เสียงข้าวของแตก และเสียงปะทะดังสนั่นไปทั่วสวนหม่อมราชวงศ์รวิรีบดึงแก้วกัลยามาไว้ข้างหลังเพื่อปกป้องเธอ เขามองไปยังกลุ่มผู้บุกรุกด้วยแววตาที่แข็งกร้าวและพร้อมที่จะต่อสู้“คุณอยู่ตรงนี้ อย่าไปไหน” หม่อมราชวงศ์รวิกระซิบกับแก้วกัลยาด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันหน้าเผชิญหน้ากับอันตรายเจ้าสรุศักดิ์และคนของพ่อเลี้ยงอินทารีบเข้ามาช่วยต่อสู้ พวกเขาพยายามที่จะต้านทานกลุ่มผู้บุกรุกและปกป้องแขกเหรื่อ แต่จำนวนของศัตรูนั้นมีมาก ทำให้การต่อสู้เป็นไปอย่างยากลำบากพ่อเลี้ยงอินทาแม้จะตกใจ แต่ก็พยายามตั้งสติและสั่งให้คนของตนเองที่เหลืออยู่เข้ามาช่วยเสริมกำลังแก้วกัลยามองภาพการต่อสู้ด้วยความหวาดกลัว เธอเห็นหม่อมราชวงศ์รวิต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่อปกป้องเธอและคนอื่น ๆ เธอรู้สึกเป็นห่วงเขาจับใจแม่หญิงเดือนฉายยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสะใจ เธอต้องการที่จะทำลายความสุขของแก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวิให้พังพินาศในระหว่างการต่อสู้ หม่อมราชวง