ถึงแม้ไม่มีหลักฐานใดบ่งบอกและเหตุผลรองรับ ทำไมเขาถึงได้เลือกตามสามคนนั้นมาเมืองไทย ไม่เลือกตามอีกกลุ่มเขาไป คงเป็นเพราะเชื่อในสัญชาติญาณที่บ่งบอกว่า สามคนนี้มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติไป ซึ่งเขาจะต้องตามหาตัวให้เจอ พร้อมหาหลักฐานมาผูกมัดตัวคนพวกนั้น หรือใครคนใดคนหนึ่งที่กล้ากระตุกหนวดเสือร้ายอย่างเขาให้จงได้
เหตุการณ์ในครานี้บอกให้เขาได้ล่วงรู้ว่า คนที่ทำเรื่องนี้มีพวกด้วยเช่นกัน การเดินทางที่สมควรเป็นความลับ ด้วยเขาปิดทุกคนแม้กระทั่งคนในครอบครัว แต่ก็ยังมีคนล่วงรู้จนได้ แล้วยังส่งยายผู้หญิงปากเสียมาแย่งชิงคอมพิวเตอร์ไปอีก คงคิดว่าข้อมูลสำคัญนั่นจะอยู่ในเครื่องล่ะสิ เขาไม่โง่ซ้ำสองซ้ำสามแบบนั้นหรอก อีกอย่างเกิดเหตุการณ์นี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้รู้ว่าการมาหาหลักฐานครั้งนี้มีมารคอยขัดขวางอยู่ จะได้ระมัดระวังตัวไม่ให้ตัวเองและลูกน้องที่ตามมาเป็นอันตราย
“ครับ” ที่รับปากน่ะไม่ใช่เพราะจะตามหาตัว แต่งุนงงต่างหาก ด้วยคำพูดคนเป็นนายนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ให้หาด้วยจิตพิศวาสแต่อย่างใด หากแต่หาด้วยจิตมุ่งหมายคิดร้ายเสียมากกว่า เจอกันเพียงครั้งเดียว แม่ตัวเล็กนั่นไปทำอะไรให้นายเขาไม่พอใจ จึงจัดให้ถึงเพียงนี้
“ฉันหวังว่านายทั้งสองคนคงจะมีความสามารถพอนะ” สางทางนี้เสร็จ เขาจะกลับไปสะสางเก็บกวาดพวกเห็บหมัดเหลือบไรนั่นให้หมดเกลี้ยงไม่ให้เหลือสักตัว ใครที่กล้าทำร้ายเขา จะต้องไม่ตายดีสักคน
กรามหนาขบกัดจนแก้มตอบนูนขึ้นสัน นัยน์ตาเจิดจรัสดุกร้าวราวกับเสือที่กำลังบาดเจ็บเจียนตาย
“เอ่อ...”
แล้วจะให้พูดยังไงล่ะ เอ่ยออกมาอย่างนี้ ถ้าหาตัวไม่เจอ มีทางให้พวกเขาสองคนเลือกอยู่สองทาง จะลาออกเองหรือว่าถูกไล่ออก แต่นี่มันเมืองไทยนะ ไม่ใช่บ้านเขาสักหน่อยที่การหาตัวใครสักคน ต่อให้เป็นเพียงแม่มดตัวเล็กๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ต่างบ้านต่างเมืองอย่างนี้ จะให้เขาไปตามหาตัวสาวแม่น้อยปากจัดนั่นได้ที่ไหนยังไงกันล่ะ สองหนุ่มผู้ถูกเลือกให้ตามติดอันเจโล่มองหน้ากันเองอย่างหนักอก ใครก็ได้ ช่วยเขาสองคนทีเถอะ
“นายสองคนไปเก็บข้าวของให้เรียบร้อย”
แต่ละคำพูดของนาย ล้วนแล้วแต่ทำให้มาริโอ้และเดโก้งุนงงเป็นล้นพ้น แต่ครั้นจะถามไปก็คงไม่ได้รับคำตอบ เพราะตอนนี้ร่างสูงหนาได้ลุกขึ้นเดินไปหยุดที่ริมระเบียงห้อง สองมือสอดไขว้จับกันได้ด้านหลัง ทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าสีครามอมส้ม ด้วยพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปใกล้จะลาลับขอบฟ้า
เหมือนจะเดินทอดน่องกินลมชมวิวทว่า กฤติการู้ดีว่าไม่ใช่ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เธอปัดเป๋ไปมิใช่น้อย โลกที่เคยสว่างไสวรื่นรมย์หม่นหมองลงทันควัน พร้อมความมั่นใจว่าร้านที่ก่อร่างสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเธอ และการช่วยเหลือของครอบครัวเล็กๆ น้อยจะเป็นไปด้วยดี บวกกับความสุขจากการทำงาน ที่ได้เห็นลูกค้าเดินเข้าและออกใช้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง เช่ารถไปขับ หรือแม้กระทั่งการติดต่อสอบถามเรื่องการจองทัวร์ไปล่องทะเลและเกาะแก่งต่างๆ ลอยหายไปจากสายตาในฉับพลัน
ลมหายใจที่อัดเข้าไปในทรวง ล้วนแล้วแต่พ่วงเอาก้อนหินเข้าไปกองสุมไว้จนหนักอึ้งและไม่ยอมออก ผลกระทบจากเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้หน้าที่การงานซึ่งกำลังไปได้ด้วยดีต้องมาสะดุด เพียงเพราะพนักงานบ้าๆ เพียงคนเดียว งานที่ให้ทำมันหนักหนามากนักหรือไง ถึงได้พาเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับของโสมม โสโครกเพียงนั้น บ้าชะมัด...ทำตัวเองเดือดร้อนไม่พอ ยังทำให้คนอื่นพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
กิ่งไม้ในมือตวัดไปมาอย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ทั้งเบื่อทั้งเซ็งและปวดร้าวหัวใจยิ่งนัก จนทนนั่งอยู่ที่ร้านไม่ได้ ต้องปิดพาตัวเองออกมาเพื่อหาอะไรทำให้ลืมๆ เรื่องปวดสมอง รู้ดีว่าการเปิดร้านในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปจะไม่มีอะไรเหมือนเดิม ด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้น คือจุดด่างพร้อยในการทำงานของเธอและร้านซึ่งเพิ่งจะเปิดใหม่
กฤติกาเดินเรื่อยเปื่อย จนไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้เดินไปถึงที่ใด ยามค่ำคืนของสถานที่ท่องเที่ยว แม้จะไม่ใช่หน้าทัวร์ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาใช้บริการมากนัก แต่ที่นี่ก็ไม่เคยหลับใหล ร้านรวงน้อยใหญ่ยังคงเปิดไฟสว่างโร่ บางส่วนมืดเพราะอยู่ในช่วงปรับปรุงร้านรวงเพื่อให้ดีและทันสมัยขึ้น เอาไว้รองรับเหล่านักเที่ยวในช่วงหน้าทัวร์ที่จะมาถึงอีกในสามเดือนข้างหน้า
“ลูกไก่! นั่นลูกไก่ใช่ไหม”
เสียงที่ดังทะลุเข้ามาในหูทำให้กฤติกาต้องเหลียวมองไปรอบๆ หาที่มา ก่อนจะได้เห็นว่ามีหนึ่งสาวโบกไม้โบกมืออยู่ในบาร์เหล้า ขนาดความกว้างด้านหน้าประมาณสามเมตรเห็นจะได้ พื้นที่ด้านหน้าเป็นลานกว้าง วางโต๊ะให้แขกนั่งทานเหล้าทานเบียร์กันสามสี่ชุด ซึ่งตอนนี้ก็ว่างไม่มีลูกค้าสักคน แล้วก็มีอีกส่วนวางแอบๆ เอาไว้มุมหนึ่ง
คิ้วโก่งได้รูปขมวดมุ่นเข้าหากัน ก่อนร่างเล็กเพรียวจะก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปหาคนเรียก ซึ่งฉีกยิ้มกว้างอย่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่คนถูกเรียกได้แต่ปรับสีหน้าซึมหม่นหมองให้ร่าเริงสดใส กลีบปากอิ่มนุ่มคลี่ยิ้มเล็กน้อย แต่เธอรู้ดีว่าสายลมร้ายที่พัดเข้ามา ทำให้รอยยิ้มที่ส่งไปให้กับอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนสมัยมัธยมปลายไม่ได้แจ่มใสเท่าที่ควร
“ใช่ลูกไก่จริง ๆ ด้วย เห็นไกล ๆ ตอนแรกก็คิดว่าไม่น่าใช่ แต่ได้ข่าวมาหลายวันแล้วละ ว่ามาทำงานอยู่แถวนี้ เห็นร่างคุ้น ๆ เลยลองเรียกดู ไม่คิดว่าจะใช่” ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบรับและเดินมาหาด้วย
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ กฤติกายิ่งรู้สึกถึงอาการที่ว่า...หายใจไม่ทั่วท้อง มันแน่น ๆ อึดอัดเหมือนถูกใครขว้างหินมาปักติดอยู่กึ่งกลางอก เมื่อเห็นหน้าของคนที่เอ่ยเรียกอย่างชัดเจน...กิ่งแก้ว เพื่อนสาวร่วมโรงเรียน ผู้มีรูปร่างสะโอดสะองและหน้าตางดงามเป็นทรัพย์มาตั้งแต่สาวรุ่น จนถึงตอนนี้ความงามที่มียิ่งทวีเพิ่มพูนอย่างน่าอิจฉา
“หวัดดีกิ่ง ไม่เจอกันนานเลยนะ เป็นไงสบายดีไหม” ไม่รู้ว่าจะเอ่ยทักคนตรงหน้ายังไงดี ริ้วความไม่พอใจผุดขึ้นมาเป็นระรอกกับการมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะไล่กลับขึ้นมาใหม่
“สบายอย่างที่เห็นนี่แหละ ทำงานงก ๆ ให้เขาโขกสับ ก็ทำไงได้ล่ะ เราไม่รวยไม่มีทุนพอจะเปิดร้านเป็นของตัวเองนี่น่า” ตอบกลับอย่างประชดประชันนิด ๆ “แล้วเธอละลูกไก่ คงสบายดีนะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว นั่งคุยกันก่อนสิ” กิ่งแก้วเอ่ยชักชวนเสียงใสแจ๋ว อย่างไม่รับรู้สีหน้าไม่สดใส นัยน์ตากลมใสหม่นหมองคู่นั้น
“อือ...ก็สบายตามอัตภาพแหละ” กฤติกาตอบกลับอย่างเซื่องซึม มองหน้าคนชวนอย่างรำคาญใจระคนสงสัยนิด ๆ ด้วยอดีตนั้นเธอกับสาวสวยร่างสูงโปร่งคนนี้ ไม่ได้สนิทสนมกันมากมานักหนา ค่อนข้างจะเป็นคู่กัดกันเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่ได้มาจากเธอหรอกนะ เป็นอีกฝ่ายนั่นแหละที่คอยทำตัวเป็นคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องกีฬา ทำงานเอาหน้าต่างๆ ซึ่งอยากทำก็ทำไปสิ เธอไม่เห็นจะสนใจเลย แค่เรียนให้เก่งอย่างเดียว เพื่อตามความฝันนี่ก็ยากจะตายแล้ว ให้วุ่นวายเรื่องอื่นอีกปวดหัวเปล่า ๆ
“ใคร...มันเป็นใครกล้ามาอยู่ห้องลูกไก่” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน “ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูกไก่ ไหนสัญญาแล้วไง เธอจะรอฉันน่ะ” ชายหนุ่มแสร้งถามทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้แม่ลูกไก่น้อยของเขาได้ในระยะห้าเมตร ด้วยเขามีผู้ช่วยมือดีคอยดูแลให้อยู่ ซึ่งถ้าหากเธอรู้ละก็...มีหวังคนส่งข่าวคงกลายเป็นกระสอบทรายไม่แพ้เขานัยน์ตาเข้าสีเทาปนเขียวขี้ม้าเป็นประกายแพรวพราวระยับอย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นใครแล้วคุณยุ่งอะไรด้วยละ ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” ตอบกลับอย่างยียวน คอยจับตามองคนตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิรุธมากมาย “อีกอย่างถ้าฉันแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน มันผิดแปลกตรงไหน คนมันสวยนี่น่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูงอันเจโล่เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นี่คงไม่รู้สิน่าว่าเขารู้การเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลานะ “ไม่จริง ก็ไหน...” แสร้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่กลับหลุดบางอย่างออกไปจนคนตัวเล็กจับพิรุธมองมาอย่างจ้องจับผิด“ไหนอะไร” กฤติกายกมือเท้าสะเอว จ้องเข้าไปในดวงตาซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ไม่มิด “บอกมานะ ไม่งั้นลูกไก่โกรธจริง ๆ ด้วย” เธอพยายามขู่เสียงเข้มให้อีกฝ่ายกลัว ทว่าแปลกยิ่งนักที่อั
“ใคร...มันเป็นใครกล้ามาอยู่ห้องลูกไก่” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน “ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูกไก่ ไหนสัญญาแล้วไง เธอจะรอฉันน่ะ” ชายหนุ่มแสร้งถามทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้แม่ลูกไก่น้อยของเขาได้ในระยะห้าเมตร ด้วยเขามีผู้ช่วยมือดีคอยดูแลให้อยู่ ซึ่งถ้าหากเธอรู้ละก็...มีหวังคนส่งข่าวคงกลายเป็นกระสอบทรายไม่แพ้เขานัยน์ตาเข้าสีเทาปนเขียวขี้ม้าเป็นประกายแพรวพราวระยับอย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นใครแล้วคุณยุ่งอะไรด้วยละ ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” ตอบกลับอย่างยียวน คอยจับตามองคนตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิรุธมากมาย “อีกอย่างถ้าฉันแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน มันผิดแปลกตรงไหน คนมันสวยนี่น่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูงอันเจโล่เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นี่คงไม่รู้สิน่าว่าเขารู้การเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลานะ “ไม่จริง ก็ไหน...” แสร้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่กลับหลุดบางอย่างออกไปจนคนตัวเล็กจับพิรุธมองมาอย่างจ้องจับผิด“ไหนอะไร” กฤติกายกมือเท้าสะเอว จ้องเข้าไปในดวงตาซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ไม่มิด “บอกมานะ ไม่งั้นลูกไก่โกรธจริง ๆ ด้วย” เธอพยายามขู่เสียงเข้มให้อีกฝ่ายกลัว ทว่าแปลกยิ่งนักที่อั
“ยิ้มนะลูกไก่ ให้กำลังใจฉันไปทำหน้าที่ของตัวเอง เอาชนะพวกมารและจะได้รีบกลับมาหาเธอ” บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาตั้งใจเอ่ยคำนี้หรือเปล่า แต่เอ่ยออกไปแล้วก็ไม่ได้เสียใจ เมื่อเห็นรอยยิ้มดีใจของแม่เนื้อนุ่มหวาน“คุณเจ” หัวใจถึงกับโป่งพองราวลูกโป่งอัดแก๊ส จนลอยลิ่วไปบนฟากฟ้าสีครามสดใส ก่อนดวงหน้าผ่องพรรณจะหมองหม่นลงเมื่อเสียงประกาศเตือนดังมาอีกครั้ง ที่ทำให้เธอตัดสินใจทำอย่างแสงกล้าพูด...เอ่ยบอกเขาให้รู้ความจริงในใจ ดีกว่าเก็บเอาไว้ในอกพร้อมความเจ็บช้ำ ได้บอกรักแม้ต้องผิดหวัง ยังดีกว่าไม่ได้บอกให้เขารู้กฤติกาจับมือใหญ่ มองเข้าไปในแววตาเข้ม “ลูกไก่มาเพราะมีเรื่องสำคัญอยากบอกคุณเจค่ะ...” สูดลมหายใจเข้าปอด รวมรวมความกล้า“ลูกไก่...รักคุณเจค่ะ” กฤติกาเอ่ยเสียงเข้มและหนักแน่นอันเจโล่เต็มตื้นกับคำรักที่ได้ยินจนหัวใจคล้ายลูกโป่งที่ถูกสูบแก็สอัดไปจนเต็มลอยพุ่งขึ้นบนฟากฟ้าในทันควัน “ลูกไก่!” สมควรเป็นเขาที่ต้องเอ่ยบอกคำนี้ออกไปก่อน แต่นี่คนตัวเล็กกลับ...เขายอมแพ้ใจเธอจริงๆ แขนกำยำสอดรวบกอดร่างเล็กแนบอก“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี คงมีแค่คำนี้...ขอบใจนะลูกไก่ที่รักคนนิสัยไม่ดีอย่างฉัน” คำเล็ก ๆ ที่มีอาน
อันเจโล่ผ่อนลมหายใจออกจากปอดแผ่วเบา แม้อยากยืดเวลาออกไปแม้แค่เสียววินาที เพื่อให้ตัวเองได้เฝ้ารอด้วยความหวังอีกครั้ง ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็จำต้องยอมรับความจริง กฤติกาไม่มาร่างหนาผุดลุกจากเก้าอี้ที่นั่งด้วยเท้าที่หนักอึ้งจนแทบเดินต่อไม่ไหว ในหัวใจราวกับถูกเศษแก้วแตกที่ฝังอยู่ในก้อนเนื้อบาดเฉือนทุกการหายใจ เหมือนโลกที่ยืนอยู่แปรปรวน แผ่นดินไหวโยกทำให้เขายืนทรงตัวไม่อยู่ จนต้องเฝ้าถามย้ำกับตัวเองอีกครั้ง เป็นอะไรไป?“นายครับ”“มีอะไร”“จะเปลี่ยนใจก็ยังทันนะครับ” กลับไปคราวนี้ศึกหนักหนาสาหัสรอนายอยู่ แล้วก็ไม่รู้จะใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงสามารถเคลียร์เรื่องราวให้มันจบลงไปด้วยดี เขาอยากให้นายได้มีเวลาอยู่กับกฤติกาอีกหน่อย ได้เก็บช่วงเวลานี้ไว้เป็นกำลังใจยามที่ต้องต่อสู้กับเรื่องร้าย“ฉันไม่เป็นไร” อาการเขาคงหนักมากจริงๆ แม้กระทั่งลูกน้องยังสังเกตเห็นได้“จะให้คุณ...”“อย่าเลย” รู้ว่าเดโก้จะเสนออะไร เขาเองก็เคยคิดแวบ ๆ แต่คิดแล้วคิดอีกหลายตลบอยู่ ส่วนหนึ่งก็เพื่อความปลอดภัยของกฤติกา แต่อีกส่วนก็มาจากตัวเองที่ดันปากหนักเองช่วยไม่ได้ ถ้าเอ่ยปากชวนแม่เนื้อนุ่มไปด้วยนะ ป่านนี้ก็มีเธอข้างกายเรียบร้
“ลูกไก่” เอ่ยเรียกเสียงแหบพร่า ฝ่ามือหนาไล้ลูบอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน ริมฝีปากร้อนผ่าวทาบทับจุมพิตไต่เลื่อนเคลื่อนไปบนผิวกายเนียนนุ่มลื่นราวกับแพรไหมอย่างเชื่องช้า“ขา...” กฤติกาขานรับ เพียงแค่มองสบนัยน์ตากับอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าเขาต้องการสิ่งใด ไม่จำเป็นต้องเอ่ยด้วยคำพูดอีกแล้ว... “เมื่อไหร่คะคุณเจ” เธออยากรู้ มีเวลานานเท่าไหร่ในอ้อมแขนแกร่งนี้“พรุ่งนี้” ตอบกลับเสียงพร่าแหบราวกับในอกถูกก้อนหินไร้น้ำหนักกดทับอยู่“เร็วจังเลยนะคะ” เปรยเสียงแหบแห้ง อยากขอเขาว่าอย่างเพิ่งไปได้ไหม อยู่กับเธออีกสักวันได้ไหม แต่กฤติกาก็พูดไม่ออก ด้วยรู้ถึงความอึดอัดใจของอีกฝ่าย คงทำได้แค่...ใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีค่าที่สุด เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำในวันต้องจากร้างห่างลากัน“ฉัน...” ถ้าเธอพูดอะไรนอกจากนี้สักคำ เขาคงรู้สึกดีกว่าการได้รับรอยยิ้มแห้งๆ นัยน์ตาหวานเศร้าอมโศกอย่างนี้นิ้วยาวเล็กยื่นไปทาบบนปากหนา “ไม่เป็นไรค่ะ ลูกไก่รู้ว่าคุณเจจำเป็น แค่...คืนนี้ เรา...” ปวดร้าวไปหมดทั้งทรวงจนพูดไม่ออก“ฉันรู้...คืนนี้ จนถึงเวลานั้น” ไม่อยากพูดถึงเวลาจำต้องลาจาก “เราจะมีกันและกันใช่ไหมลูกไก่”“ค่ะ...เราจะมีกันและกัน” กฤติกา
“ว่าไงอันเจโล่ จะบอก หรือจะให้ลูกไก่เจ็บมากกว่านี้”“อย่านะคุณเจ อย่า...‘บอก’” กลายเป็นเสียงกรีดร้องแทน เมื่อบาดแผลถูกกดเปิดออกจนเลือดไหลซึมออกมา“ลูกไก่!” กัดฟันกรอด อยากลุกขึ้นไปช่วยแม่หวานใจจนตัวสั่น แต่เพราะถูกจับเอาไว้เลยต้องทนเห็นแม่เนื้อนุ่มร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด จะไม่สัญญาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มีโอกาสพาตัวเองหลุดรอดไปเมื่อไหร่ ริวาโก้ต้องรับผิดชอบในความเจ็บของลูกไก่น้อย แน่นอน!“ว่าไงอันเจโล่ หรือจะให้ฉัน...” ไม่ได้ยินดีกับความเจ็บปวดของใคร แต่มันจำเป็น“ได้” กัดฟันกรอดขณะตอบอีกฝ่าย “ฉันยอมบอก แต่แกห้ามทำร้ายลูกไก่”“ไม่นะคุณเจ! ยะ...อย่า...” กฤติการ้องห้ามก่อนเสียงจะขาดหายไป ด้วยเจ็บและหน้ามืด พ่วงด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง แต่กลับรู้สึกเหมือนมีเหงื่อผุดไหลข้างขมับและแผ่นหลัง“อย่าคิดตุกติกนะอันเจโล่ แกทำเมื่อไหร่ เตรียมตัวเห็นลูกไก่กลายเป็นคนที่มีร่างที่ไร้วิญญาณแน่นอน” ไม่ได้ขู่แม้แต่นิดเดียว เอาจริงทุกคำพูดด้วย เขายอมทำทุกอย่างทุกทางเพื่อให้อันเจโล่และครอบครัวประสบกับความหายนะ แก้แค้นให้กับตัวเองและทุกๆ คนที่ถูกกระทำจากครอบครัวนี้ให้สาสม!อันเจโล่มองดวงหน้าผุดผาดขาวซีด