“แฮะ ๆ หม่อมฉันไม่น่าถามเลยนะเพคะ แต่หากพระองค์ไม่บอกระยะเวลา เกิดหม่อมฉันไปพึงใจบุรุษแล้วไปหมั้นหมายกับผู้อื่นก่อนที่จะช่วยเหลือท่านอ๋องสำเร็จ มันจะไม่มีปัญหาภายหลังหรือเพคะ”
“ยามนี้เจ้าปักปิ่นแล้วหรือถึงได้เอ่ยเรื่องออกเรือน”
“ยังเพคะ แค่เกริ่นไว้ก่อน”
“แล้วเจ้าอายุกี่หนาวแล้ว”
“สิบสี่เพคะ”
“เช่นนั้นก่อนปักปิ่นก็อย่าเพิ่งไปถูกใจบุรุษใด จงอุทิศตนช่วยเหลือข้าก่อน”
‘ข้าเปลี่ยนใจได้หรือไม่’ นางคิดก่อนจะปรายตามองสาวใช้ที่ยืนก้มหน้าอยู่ไม่ไกล
“หรือเจ้าจะปฏิเสธ” เซี่ยอี้หานกล่าวใช้มือเชยคางนางให้หันกลับมามองตนก่อนจะแสร้งทำหน้าดุใส่นาง
“หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีตัวน้อย จะไปกล้าปฏิเสธอำนาจของพระองค์ได้อย่างไร และหม่อมฉันก็ไม่ลืมนะเพคะว่าท่านอ๋องติดหนี้บุญคุณหม่อมฉันหนึ่งครั้ง”
“ข้ารู้แล้ว ตอกย้ำเสียจริง” แล้วก็บอกว่าหวั่นเกรงในอำนาจเขาทั้ง ๆ ที่ต่อรองเพื่อประโยชน์ตนเองจนพึงพอใจ
“วันนี้หมดเรื่องแล้ว หม่อมฉันคงต้องทูลลาเพคะ”
“อืม” เมื่อผู้สูงศักดิ์ตอบรับ นางก็รีบยอบตัวลาก่อนจะลากแขนสาวใช้ให้รีบเดินจากไปด้วยกัน
‘ก็รีบจากไปเร็วเช่นนี้ทุกครั้ง ไม่ยอมรั้งรออย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าพึงใจในตัวข้า’ เด็กน้อยเอ๋ย...โกหกไม่แนบเนียนเอาเสียเลย
มุมปากของคังอ๋องยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายขบขัน พลางมองตามสตรีในอาภรณ์สีอ่อนที่รีบร้อนก้าวเดินจากไป
หมิงเจียวซือนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้รับคำตอบรับจากผู้สูงศักดิ์ว่าเขาติดหนี้บุญคุณนาง หากภายหน้านางมีเรื่องเขาต้องช่วยเหลือนาง
แต่เดี๋ยวนะ แค่การรับปากมิใช่ว่าใครก็ทำได้ ขนาดคนสาบานต่อกันยังทำส่ง ๆ ไป สุดท้ายผิดคำสัตย์ไม่ทำตามก็มีอยู่มาก ไม่ได้การแล้วนางจะต้องรีบร่างสัญญาแล้วพกติดตัวไว้ คราวหน้าหากได้ช่วยเหลือคังอ๋องอีกนางจะให้เขาลงนามในสัญญานี้เพื่อจะได้มั่นใจในความปลอดภัยของคนตระกูลหมิง
“คุณหนู ท่านไปตกปากรับคำกับท่านอ๋องเช่นนั้นจะดีหรือเจ้าคะ”
“ข้าคิดดีแล้ว หากเขาติดหนี้บุญคุณข้า ยามใดที่ข้าเดือดร้อนข้าก็สามารถขอความช่วยเหลือจากเขาได้”
“แต่คุณหนูต้องระวังตัวบ้างนะเจ้าคะ เชื้อพระวงศ์เปรียบเหมือนเสือร้าย...”
“หลินถง กำแพงมีหู เจ้าจะพูดอันใดให้ระวัง”
“ขออภัยเจ้าค่ะ บ่าวเพียงไม่อยากให้คุณหนูไปยุ่งเกี่ยวกับผู้สูงศักดิ์” บุตรสาวพ่อค้าในสายตาผู้สูงศักดิ์เป็นได้แค่เพียงดอกหญ้าริมทาง ซึ่งบ่าวเช่นตนไม่อยากให้คุณหนูต้องมีชะตาชีวิตเช่นนั้น
“ขอบคุณในความหวังดีของเจ้า แต่อย่าได้กังวลเลยข้ารู้ดีว่าตนเองกำลังทำอันใดอยู่” สิ่งที่นางลงมือทำ นางย่อมหวังผล โดยเอาความอยู่รอดของตระกูลหมิงเป็นที่ตั้ง
“เอาล่ะเจ้าไปเรียกบ่าวชายมาสักสองสามคนเถิด ข้าจะขนของที่ซื้อมาไปให้พี่ใหญ่”
“เจ้าค่ะ” แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูต้องทำดีกับคุณชายใหญ่ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนไปกลั่นแกล้งอีกฝ่ายไว้มากมาย แต่เมื่อทำให้จวนสงบสุข คุณหนูไม่โดนนายท่านตำหนิเช่นเมื่อก่อน บ่าวเช่นตนจึงไม่คิดขัดขวาง
เจ้าของเรือนมองกองอาภรณ์ ผ้าคลุมไหล่ และผ้าห่มอย่างดีตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แววตาไม่บ่งบอกอารมณ์ใด เพราะวันนี้เพ่ยตงกับฉงซานถูกเขาใช้ให้ไปทำงาน ด้วยเหตุนี้สตรีผู้นี้ถึงได้เข้ามาในห้องของเขาโดยไร้คนขัดขวาง
“ของพวกนี้ข้าได้มาโดยบังเอิญ จะเก็บไว้ใช้เองก็ใส่ไม่ได้ จึงคิดว่าการนำมาให้ท่านคงได้ประโยชน์กว่าการปล่อยเอาไว้ให้มันเปื่อยขาดไปเอง”
“...”
“แล้วก็อย่าได้คิดว่าข้าวางยาพิษเพื่อทำร้ายท่านด้วยอาภรณ์พวกนี้เชียวล่ะ ข้าไม่เสียเวลาทำเช่นนั้นหรอก ยาพิษหรือก็อันตรายหากมันโดนข้าเข้าไป คงเป็นข้าที่ลำบากเอง” นางกล่าวจบก็กอดอกคล้ายยังไม่ละนิสัยเดิม
ก็นางเป็นของนางเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว หากจู่ ๆ พูดจาอ่อนหวานออดอ้อนเอาใจ เขาคงคิดว่านางโดนผีเข้าไม่ก็คิดวางแผนร้ายกาจบางอย่างเป็นแน่
‘ในเรือนข้าร้อนถึงเพียงนั้นหรือ’ หมิงเลี่ยงรุ่ยคิดพลางจ้องมองหยดน้ำที่ผุดพรายขึ้นบริเวณหน้าผากของอีกฝ่าย
“หากท่านไม่อยากได้ ท่านจะนำไปแจกจ่ายให้ขอทานที่นอกเมืองก็ตามใจ ข้ายกให้ท่านแล้ว ท่านจะเอาไปทำอันใดก็เรื่องของท่าน” กล่าวจบนางก็รีบหมุนตัวเดินออกมาโดยไม่คิดจะมองหน้าพี่ชายต่างมารดาด้วยซ้ำ
แต่เมื่อเดินออกมาถึงบริเวณหน้าจวน นางก็พบเข้ากับบ่าวรับใช้คนสนิทของพี่ชายทั้งสองที่คล้ายเพิ่งจะกลับมาจากด้านนอก
“คุณหนู ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใด” ฉงซานเอ่ยถามพลางคิดว่าคงไม่ได้มาแกล้งคุณชายอีกแล้วกระมัง
“พอดีอาภรณ์มันรกเรือนข้าเลยขนมาทิ้งที่นี่ หาได้มากลั่นแกล้งคุณชายของพวกเจ้าไม่ แล้วนั่นก็เป็นอาภรณ์ที่ข้าได้มาโดยไม่ต้องเสียตำลึง หากพวกเจ้าอยากได้ก็เอาไปใส่เสีย แต่หากไม่ต้องการก็ไปเอาเช็ดพื้นก็ได้ ข้าไปล่ะ” นางกล่าวรัวเร็วก่อนจะรีบส่งสัญญาณให้สาวใช้รีบเดินตาม
มาเรือนนี้ทีไรนางรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเพราะนางทราบอยู่แล้วกระมังว่าพี่ใหญ่และบ่าวรับใช้คนสนิทแท้จริงเป็นเสือหมอบมังกรซ่อน[1] ถึงได้รู้สึกหวั่นเกรงคนพวกนี้อย่างบอกไม่ถูก
‘โล่งอกไปที ข้านึกว่าพี่ใหญ่จะคว้าดาบมาฟันข้าขาดเป็นสองท่อนเสียแล้ว’ หมิงเจียวซือคิด แต่เมื่อครู่นางต้องขอบคุณตนเองที่เล่นงิ้วได้แนบเนียนเสียจริง
[1] ผู้ที่มีความสามารถแต่เก็บซ่อนเอาไว้
เสียงกรีดร้องโวยวายของอนุฯ ฝูห่างออกไปเรื่อย ๆ จนเงียบไป คังอ๋องจึงหันไปสั่งขันทีอาวุโสให้ไปตามชายารองเมิ่งที่เขามอบหมายให้ดูแลตำหนักแห่งนี้ ผ่านไปไม่กี่อึดใจชายารองเมิ่งก็รีบมาพบพระสวามีที่รออยู่ ก่อนจะแสดงความเคารพอย่างอ่อนช้อย “ยามนี้อนุฯ ฝูถูกย้ายไปอยู่ที่เรือนร้างเจ้าให้คนที่เชี่ยวชาญการแพทย์และเป็นวรยุทธ์สักเล็กน้อยไปคอยดูแลนางด้วย” “เพคะ” ชายารองเมิ่งคิดในใจว่า ท่านอ๋องช่างโปรดปรานสตรีเสแสร้งอย่างฝูหว่านอิ๋งจริง ๆ แม้จะโดนลงโทษก็ยังกำชับให้ดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งนางก็คงจะคิดเช่นนั้นหากไม่ได้ยินประโยคต่อมาของผู้สูงศักดิ์ “หากพวกเจ้าอยากหยอกเย้าหรือเล่นกับนางก็สามารถไปเยือนที่เรือนร้างได้ข้าอนุญาต แต่อย่าลงมือหนักเกินไป ประเด
“มันเป็นใครหรือเพคะ คนที่ลงมือกับตระกูลฝูอย่างโหดเหี้ยมเช่นนั้น” ฝูหว่านอิ๋งเสียงแข็งกร้าวด้วยความโกรธแค้นอย่างลืมตัวว่าจะต้องทำท่าทางให้น่าสงสารหวังให้สวามีมาปลอบขวัญ คังอ๋องเซี่ยอี้หานอยากจะยิ้มเยาะออกมาเสียจริง ๆ สมควรแล้วที่ตระกูลฝูถูกฆ่าล้างตระกูล สิ่งที่ฝูซื่อทำไว้ แค่ร้อยชีวิตของตระกูลฝูไม่อาจชดเชยได้ เพราะสิบสองปีที่ผ่านมาฝูซื่อเลี้ยงกลุ่มโจรเอาไว้แล้วสั่งให้บุกสังหารหลายตระกูล ทั้งที่ขัดผลประโยชน์หรือที่ร่ำรวยมีทรัพย์ เพื่อแย่งชิงทรัพย์สมบัติของตระกูลเหล่านั้นมาเลี้ยงดูกลุ่มโจรและกองกำลังลับที่องค์ชายรองจะใช้ก่อกบฏ “เจ้าอยากทราบจริง ๆ หรือ” เขาเอ่ยถามพลางย่อตัวลงก่อนจะใช้มือเชยคางของนางขึ้นเพื่อให้เงยหน้ามองเขา “เพคะ พระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ” 
ตอนพิเศษ เพื่อคนที่รักทั้งสอง เสียงกรีดร้องโวยวายที่หน้าห้องหนังสือทำให้คังอ๋องที่กำลังอ่านตำราพิชัยสงครามอยู่ขมวดคิ้ว ก่อนจะเก็บตำราแล้วลุกขึ้นไปจัดการเรื่องราวด้านนอก ตั้งแต่รับปากหยวนลี่หมิง ชีวิตของเขาไม่เคยได้สงบสุขเลย เรือนหลังตำหนักมีเ
คนที่นั่งตัดพ้อต่อว่าตนเองว่าโง่เขลาดูเหมือนจะเป็นบุรุษเพราะเขานั่งก้มหน้านางจึงยังมองไม่เห็นหน้า รู้เพียงแค่ว่าคนผู้นี้น่าจะจมอยู่ในความทุกข์ในเป็นเวลานาน ผมเพ้าขาวโพลนไปทั้งหัวขัดแย้งกับมือและเสียงที่ไม่ได้ใกล้เคียงผู้อาวุโสเลย นอกจากผมที่ขาวโพลนจะรกรุงรังไร้การรวบเก็บที่เรียบร้อยแล้ว อาภรณ์ยังสกปรกมีรอยขาดวิ่นคล้ายไม่ใส่ใจดูแลตน “ท่านน้าข้าขอโทษที่โง่เขลาหลงเชื่อวาจาเพียงไม่กี่คำของคนชั่วช้า เนรคุณต่อผู้มีพระคุณเช่นท่าน ทั้งยังก่อบาปมากมาย ยามนี้ความจริงทุกอย่างกระจ่างแจ้ง คนผิดได้ชดใช้กรรมในสิ่งที่ตนก่อ แต่ข้ากลับสูญเสียคนที่หยิบยื่นความเมตตาให้ข้าโดยไร้ข้อแม้เช่นท่านไปด้วยมือของข้าเอง ท่านน้า ท่านคงโกรธเคืองข้ามากใช่หรือไม่ ข้ายินดีให้ท่านสาปแช่งข้า ยามนี้ข้าสำนึกให้สิ่งที่ทำไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่มีโอกาสได้ขอโทษท่านและครอบครัวของพวกท่าน” 
“อ๊า ๆ” นางได้แต่ร้องครวญครางอ่อนระทวยพร้อมคล้อยตามในสิ่งที่เขาต้องการทุกอย่าง เมื่อเรือนร่างเย้ายวนเริ่มแข็งเกร็งเขาก็ยิ่งเร่งการขยับลิ้นให้รัวเร็ว ก่อนที่นางจะเกร็งกระตุกปลดปล่อยน้ำหวานเอ่อล้นออกมา เป็นเช่นที่บอกว่าคืนเข้าหอมีค่าดังทองพันชั่งคุณชายหยวนไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขาชันตัวขึ้นก่อนจะกดแท่งหยกเข้าโพรงนุ่มที่แม้จะมีน้ำหวานเอ่อล้นแต่ภายในยังคับแน่น “เจ้ารัดพี่แน่นเช่นนี้ พี่คงทนได้ไม่นาน” เขาเอ่ยพลางขยับตัวอย่างช้า ๆ ก่อนจะเริ่มเร็วขึ้นเมื่อนางปรับตัวได้ เสียงเนื้อกระทบกันยังคงดังสลับกับเสียงครางแว่วหวานทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาป่วนห้องหอ “เจียวซือ พี่รักเจ้ายิ่งน
“ย่อมไม่ปฏิเสธ” กล่าวจบเขาก็เชยคางมนให้เงยขึ้น โดยเขาซึ่งยืนนวดไหล่ให้ทางด้านหลัง ก้มใบหน้าเข้าใกล้นางก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่ม เกี่ยวกระหวัดพัวพันหวังปลุกเร้าความปรารถนาเพื่อค่ำคืนเข้าหอที่สุขสม เขาลิ้มชิมความหวานจนพอใจก่อนจะถอนจุมพิตออกมาด้วยกลัวว่านางจะเมื่อยคอ “รีบปลดอาภรณ์แล้วเข้ามาแช่น้ำร้อนด้วยกัน...” นางกล่าวชวนอีกครั้งยังไม่ได้จบ เขาก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า แท่งหยกที่ควรจะอยู่สงบกลับแข็งขึงพร้อมมอบความสุขให้นาง “ในถังนี้คับแคบยิ่งนัก เจ้านั่งบนตักข้าดีกว่าจะได้ไม่อึดอัดมาก” กล่าวจบเขาก็ช้อนตัวนางยกขึ้นมานั่งบนตักของตน ส่วนแท่งหยกที่แข็งขึงถูไถอยู่บริเวณสะโพกของนาง “ลี่หมิง ของท่านโดนก้นข้า”&nbs