‘โล่งอกไปที ข้านึกว่าพี่ใหญ่จะคว้าดาบมาฟันข้าขาดเป็นสองท่อนเสียแล้ว’ หมิงเจียวซือคิด แต่เมื่อครู่นางต้องขอบคุณตนเองที่เล่นงิ้วได้แนบเนียนเสียจริง
หมิงเลี่ยงรุ่ยยังคงนั่งมองอาภรณ์กองใหญ่อย่างครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงของน้องสาวนอกไส้
ที่ผ่านมาแม้เขาสามารถต่อกรกับการกลั่นแกล้งและลงโทษของน้องสาวนอกไส้ได้ แต่ทว่าก็ต้องเก็บงำความสามารถของตนเอาไว้และไม่อยากจะโต้ตอบอันใดมากเพราะเห็นแก่ท่านน้าที่ช่วยเลี้ยงดูเขามา จึงยอมเป็นคนไร้ทางสู้ยอมให้นางมารร้ายกลั่นแกล้งซึ่งก็เคยมีบ้างที่เขาตอบโต้โดยใช้กลยุทธ์บางอย่างจนนางต้องเจ็บตัว ทำให้เขาถูกลงโทษจนต้องเจ็บตัว
“คุณชาย เป็นเช่นไรบ้างขอรับ คุณหนูรองทำอันใดท่านหรือไม่” เป็นเพ่ยตงเอ่ยถามผู้เป็นนาย
“เจ้าก็ถามไม่คิดนะเพ่ยตง อย่างคุณหนูรองน่ะหรือจะทำอันใดคุณชายได้” หากคุณชายไม่ยอม
ที่หลายครั้งยอมก็เพราะเห็นแก่หน้าสหายของบิดาที่ช่วยเลี้ยงดูมาในฐานะบุตรชาย จนทำให้ต้องเกิดเรื่องระหองระแหงกับหมิงฮูหยิน
“นางแค่นำอาภรณ์มากองให้”
“อาภรณ์หรือขอรับ คุณหนูรองไปกว้านซื้ออาภรณ์ที่ต้องสวมใส่ยามเหมันต์ให้คุณชายหรือขอรับ” เป็นฉงซานทำหน้าสงสัย พลางเดินเข้าไปหยิบขึ้นมาพิจารณา
“เห็นนางบอกมีคนให้มา ไม่ได้ใช้เลยขนมาทิ้งที่เรือนข้า”
“ใครจะมอบอาภรณ์บุรุษให้กับคุณหนูที่ยังไม่ผ่านการปักปิ่นกัน” เพ่ยตงทำหน้างง
“ก็คงเป็นเถ้าแก่ร้านขายอาภรณ์กระมัง” ฉงซานกล่าว อาภรณ์เหล่านี้ใหม่ราวกับเพิ่งซื้อมาไหนจะผ้าคลุมไหล่และผ้าห่มผืนหนานั่นอีก ประกอบกับพวกเขาก็ได้อาภรณ์สำหรับสวมใส่ยามเหมันต์ด้วย คงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก คุณหนูรองตั้งใจหาซื้อของเหล่านี้มาให้คุณชายและพวกเขา
“เจ้าจะบอกว่าคุณหนูรองตั้งใจซื้ออาภรณ์มาให้คุณชายเช่นนั้นหรือ”
“ก็เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าจะมีใครที่ใดมอบอาภรณ์บุรุษให้กับสตรีวัยใกล้ปักปิ่น”
“หรือที่คุณหนูรองบอกจะกลับตัวกลับใจไม่กลั่นแกล้งคุณชายนั้นเป็นเรื่องจริง”
“เรื่องนั้นต้องคอยดูกันต่อไป” ฉงซานกล่าว
“รายงานเรื่องที่ข้าให้ไปสืบได้แล้ว”
“ขอรับคุณชาย นี่เป็นคำให้การของคนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงขอรับ” เพ่ยตงส่งกระดาษแผ่นหนึ่งที่ฉงซานเพิ่งคัดลอกมา
“อืม”
“แล้วอาภรณ์พวกนี้ ให้พวกข้าขนไปทิ้งเลยหรือไม่ขอรับ”
“เอาไปเก็บรวมกับหีบตำราก่อนหน้านี้”
“ขอรับ” ฉงซานตอบรับพลางหอบกองอาภรณ์ขึ้นมา
“นี่ก็ยามเหมันต์แล้ว เลือกผ้าห่มผืนหนาในกองออกมาสักผืนแล้วตรวจสอบพิษก่อนนำมาให้ข้าใช้ จะได้ไม่ต้องเปลืองตำลึงซื้อเอง”
“ขอรับคุณชาย”
“พวกเจ้าไปทำหน้าที่ของตนต่อเถิด”
“ขอรับคุณชาย”
เมื่อบ่าวรับใช้คนสนิทจากไปแล้ว หมิงเลี่ยงรุ่ยก็เปิดอ่านคำให้การที่ถูกคัดลอกมาทันที
หลังจากนำอาภรณ์และของใช้จำเป็นสำหรับเหมันต์ฤดูไปมอบให้พี่ชายต่างมารดาเพื่อแสดงถึงความหวังดีและเป็นมิตรแล้ว นางก็ไม่ได้โผล่หน้าไปที่เรือนท้ายจวนอีกเลย ยามหิมะโปรยปรายนางได้แต่เอาผ้าห่มผืนหนาห่อตัวแล้วนั่งมองผ่านหน้าต่าง
อากาศหนาวจนแทบจะแข็งตายเช่นนั้นใครกันจะอยากออกไปด้านนอก
“เรือนท้ายจวนเป็นเช่นไรบ้าง” หมิงเจียวซือเอ่ยถามสาวใช้คนสนิทของตน
ตลอดเหมันต์นางจะไม่ออกจากเรือนเลยหากไม่จำเป็น ดังนั้นเมื่อเข้ายามวสันต์แล้วนางจึงส่งหลินถงออกไปสอดส่องความเป็นไปของคนที่อยู่เรือนท้ายจวนเสียหน่อย
“ตลอดเหมันต์คุณชายใหญ่ก็ไม่ออกจากเรือนเช่นกันเจ้าค่ะ”
‘คนเช่นพี่ใหญ่น่ะหรือจะไม่ออกจากจวน มีความสามารถถึงขนาดฆ่าล้างตระกูลหมิงที่มีผู้คุ้มกันได้ ความสามารถย่อมไม่ธรรมดา’ ดังนั้นหากจะออกจากเรือนเกรงว่าคงลอบออกทางด้านหลังจวนแทนกระมัง
“นี่ก็เข้ายามวสันต์แล้ว คุณหนูอยากออกไปชมสวนหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อผ่านพ้นเหมันต์ไปแล้ว บรรดาต้นไม้ดอกไม้ต่างผลิดอกออกใบแตกกิ่งก้านสาขาไปทั่วดูงามตาไม่น้อย
“ไปดูพี่ใหญ่สักประเดี๋ยวดีกว่า ไม่ได้เจอกันนานประเดี๋ยวเขาจะลืมความหวังดีของข้าไปเสีย”
‘เรื่องอันใดข้าจะหยุด’ นางคิดก่อนจะเอื้อมไปจับมือสาวใช้คนสนิทให้เดินไปด้วยกัน ซึ่งหลินถงก็คล้ายจะเข้าใจจึงทำตามที่คุณหนูต้องการอย่างเงียบ ๆ ไม่เอ่ยวาจา “คุณหนูรองหมิงเจ้าคะ ได้โปรดหยุดสนทนากับข้าก่อนเจ้าค่ะ” ‘ไม่ ข้าไม่หยุด’ นางไม่สนใจด้วยว่าคนที่ส่งเสียงเรียกจะเป็นใคร “คุณหนูรองหมิงเจียวซือ ท่านได้ยินข้าหรือไม่เจ้าคะ” ‘ไม่ได้ยิน อ๊ะ! นั่นพี่ใหญ่ ข้าทำกรรมอันใดไว้ ข้างหน้าก็เป็นพี่ชายตัวเอง ข้างหลังก็เป็นคนที่กำลังเริ่มจองเวรข้า’ เมื่อรีบเลี้ยวไปอีกทางแต่เห็นพี่ชายต่างมารดายืนอยู่ นางจึงรีบเลี้ยวเข้าตรอกแคบไปแทน “ตรอกนั้นเป็นทางตัน เข้าไปแล้วต้องออกทางเดิม” เสียงทุ้มของบุรุษดั
‘ในเมื่อเจ้าเปลี่ยนแปลงตน ข้าก็จะเปลี่ยนแปลงตนเองเช่นกัน’ หากต่อจากนี้นางทำดีกับเขา เขาก็จะดีตอบแทนนางเช่นกัน แต่ทว่าหลังจากนั้นหยวนลี่หมิงกลับไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นเป็นปี เพราะหมิงเจียวซือหายหน้าไปตามที่บอกจริง ๆ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งจ้องมองไปนอกโรงเตี๊ยมที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนซึ่งมารอต้อนรับคังอ๋องที่ไปรบกับชนเผ่าทะเลทรายและได้รับชัยชนะกลับมาและหากนางไม่ได้รับจดหมายทวงสัญญาเป็นการส่วนตัวนางก็คงไม่มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้หรอก ตอนนั้นที่นัดกันไปจิบน้ำชาที่โรงเตี๊ยมปินฉาน คังอ๋องคล้ายอยากให้คุณหนูในชนชั้นสูงทั้งหลายเห็นว่ามากับนาง แน่นอนว่าเย็นวันเดียวกันข่าวลือก็แพร่ไปอย่างรวดเร็วว่าคังอ๋องนั้นใกล้ชิดสนิทสนมกับบุตรสาวคหบดีผู้หนึ่ง แต่น่าเสียดายงานของนางยังไม่ทันได้เสร็จลุล่วง เขาก็ได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้นำทัพหล
นัยน์ตาคมที่ฉายแววเย็นชาอยู่บ่อยครั้งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาแค่อยากปัดมือนางที่กำลังจะแตะลงบนหน้าผากให้ออกห่างโดยไม่ได้ทันออมแรงกลายเป็นใช้พลังยุทธ์ผลักนางให้ออกห่าง “คุณชาย! ข้าขอบอกเรื่องบางอย่างให้ท่านทราบ ต่อจากนี้ท่านจะทำเช่นไรก็สุดแล้วแต่ท่านขอรับ” เป็นเพ่ยตงที่เดินกลับเข้ามาพร้อมถ้วยน้ำแกงไก่ “ว่ามา” “ข้าเพียงอยากจะบอกกล่าวคุณชาย ว่าแท้จริงคนที่ดูแลคุณชายตอนที่เป็นไข้จนหมดสติหาใช่พวกข้าเช่นที่เคยรายงาน แต่เป็นคุณหนูรองหมิงที่ช่วยตามท่านหมอและดูแลคุณชายจนหายตัวร้อน เมื่อพวกข้ากลับมาถึงเรือนก็โดนนางตำหนิที่ปล่อยคุณชายไว้ตามลำพังพร้อมกำชับไม่ให้ข้ากับฉงซานบอกเรื่องนี้กับคุณชาย เพราะคุณหนูร
5 ขอทำดีอยู่ห่าง ๆ (2) หลินถงบ่นไปน้ำตาซึมไปด้วยความเป็นห่วงคุณหนูของตน โชคดีที่น้ำแกงไก่นั่นคลายความร้อนแล้ว ยามเทราดบนตัวคุณหนูจึงไม่ลวกผิวมาก เรื่องการเชิญท่านหมอมารักษาอาการบาดเจ็บที่ศีรษะของคุณหนูถูกเก็บเป็นความลับ ไม่
“แล้วข้าจะทราบได้เช่นไร ว่าระหว่างที่ข้าปลีกตัวไปสนทนากับท่านอ๋อง พวกเจ้าจะไม่แอบใส่ยาพิษในน้ำแกงเพื่อใส่ร้ายข้า” “พวกข้าจงรักภักดีกับคุณชาย ย่อมไม่ทำเรื่องเช่นนั้นขอรับ” “คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ อาจจะมีสิ่งใดบางอย่างสามารถซื้อใจพวกเจ้าได้ก็ได้ อย่างเช่นเงินทอง หรือสตรี” ก็มีถมเถไปไม่ใช่หรือที่มีคนพ่ายแพ้แก่เรื่องพวกนี้ หากไม่ถูกซื้อด้วยเงินทองจำนวนมากก็มักจะพ่ายแพ้ต่อสตรียอมตายใต้ดอกโบตั๋นแม้เป็นผีก็ยังสุขสำราญ[1] “คุณหนูรอง ท่านอย่าได้เสียเวลาต่อปากต่อคำกับฉงซานเลยขอรับ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ไว้ใจกัน เช่นนั้นข้าจะเข้าไปพร้อมท่านเองขอรับ” เพ่ยตงเอ่ยเพราะสำหรับเขาคุณชายย่อมสำคัญที่สุด การได้กินน้ำแกงไก่บำรุงคงดีต่อคุณชายไม่น้อย “เป็นเจ้าที่จงรักภ
“นางมารผู้นั้นจะเป็นจะตายก็ไม่เกี่ยวกับข้า” กล่าวจบก็หมุนตัวหันกลับเข้าห้องของตน ด้านหมิงเจียวซือที่ถูกคังอ๋องลากตัวมาสนทนาด้วย และที่ต้องเรียกว่าลาก ก็เพราะบุรุษสูงศักดิ์ใช้นิ้วดึงรั้งอาภรณ์บริเวณแขนของนางเอาไว้ก่อนจะบังคับให้นางเดินตาม “ท่านอ๋องปล่อยหม่อมฉันก่อนดีหรือไม่เพคะ” “ปากก็บอกว่าชื่นชอบข้า พึงใจข้าแต่ดูเจ้าทำสิ แค่อยู่ใกล้ข้ายังไม่อยากทำเลย” “ท่านอ๋องคิดมากเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันเพียงไม่อยากให้ผู้คนติฉินนินทาท่านอ๋องในทางเสียหาย” “ใจจริงข้าอยากใ