ภีมพลยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างด้วยใบหน้านิ่งสนิท หากแต่แววตาที่มองไปยังทิวาภัทรกับกลวิชรนั้นดูดุดันและข่มขู่อยู่ในที เบื้องหลังของเขามีชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่สี่คนที่ทั้งคู่จำได้ดีว่าคือการ์ดของที่นี่ และคนกลุ่มนั้นก็กำลังมองมาที่พวกเขาเช่นกัน
“คุณผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ ดูเหมือนเธอไม่ค่อยสบาย”
ภีมพลมองร่างไร้สติของหญิงสาวที่ถูกสองคนนี้หิ้วปีกอยู่ ก่อนจะเบนสายตาไปมองทั้งคู่ราวกับต้องการกดดันอีกฝ่าย
“ธะ...เธอเมามากครับเพราะดื่มไปหลายแก้ว ผมเลยคิดว่าพาเธอกลับบ้านดีกว่า เธอเป็นแฟนของผมเองครับ”
กลวิชรเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อเห็นภีมพลเลิกคิ้วขึ้นขณะจ้องหน้าเขา พลางเอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังประเมินคำพูดของเขาอยู่
“แน่ใจ?”
ภีมพลก้าวเข้าไปหาคนพูด เห็นหญิงสาวที่หลับตาพริ้มไม่ได้สติแล้วจึงก้มลงเล็กน้อย เขามองใบหน้าเรียวเล็กนั้นชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มที่อ้างว่าเป็นแฟนของเธอ จนคนถูกมองสะดุ้งวาบ
กลวิชรลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือตอบยืนยัน
“แน่ใจสิครับ ก็ผมนั่งอยู่กับเธอตลอด ไม่ทราบว่าคุณภีมพลมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
กลวิชรพยายามยิ้มอย่างสุภาพ และไม่แสดงพิรุธออกมา เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าพ่อคลับซุสมาพอสมควรในเรื่องความมีอิทธิพลและความเด็ดขาด หากมีใครคิดจะมาทำกร่างหรือสร้างความเสียหายให้ที่นี่
“แต่ที่ผมได้ยินมามันไม่ใช่อย่างนั้น”
ภีมพลหยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตมาคาบไว้ที่ปากแล้วจุดซิปโป้ต่อไฟที่ปลายของมัน ดูดควันเข้าปอดจนแก้มตอบก่อนจะปล่อยกลุ่มควันสีเทาพ่นใส่หน้าทิวาภัทรและกลวิชรอย่างท้าทาย เมื่อครู่ที่เขาได้ยินสองคนนี้คุยกันตอนพาผู้หญิงคนนี้ออกมา มันแทบจะเป็นหนังคนละม้วน!
ความจริงแล้วภีมพลไม่ชอบยุ่งเรื่องของลูกค้า แต่เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมครั้งนี้จึงยื่นมือเข้าไปยุ่ง การที่ใครจะถูกหิ้วออกไปจากคลับ มักมีให้เห็นบ่อยจนชินตา และหลังจากนั้นใครจะไปนอนอยู่บนเตียงของใคร หรือที่ไหนบ้าง เขาไม่อยากรับรู้ด้วย เพราะมันไม่ใช่เรื่องของตน แต่พอเป็นผู้หญิงคนนี้เขากลับปล่อยผ่านไม่ได้ ความรู้สึกลึก ๆ สั่งให้เขาต้องยื่นมือเข้าไปสอดทันที
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเพราะได้สบตากับเธอเมื่อตอนหัวค่ำ ความคุ้นเคยแปลกประหลาดจากนัยน์ตากลมโตคู่นั้นมันยังรบกวนจิตใจอยู่ เขาจึงต้องยอมเสียมารยาทกับลูกค้าอย่างที่ไม่ควรทำ อีกทั้งสัญญาณเตือนบางอย่างก็ร้องบอกเขาว่าหากเขาไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอวันนี้ เขาอาจจะต้องเสียใจในวันข้างหน้า
ทิวาภัทรหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของกลวิชรอย่างหวาดหวั่น จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเขาสักนิด เขาไม่อยากเดือดร้อนด้วยการหาเหามาใส่หัว
คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงรีบปล่อยแขนของรวิชาทันที ครั้นพอเห็นเพื่อนขมวดคิ้วมองการกระทำของเขาอย่างไม่ชอบใจ ทิวาภัทรจึงยื่นหน้าไปกระซิบบอกกลวิชรเบา ๆ
“ไอ้วิชร กูขอเตือนว่ามึงปล่อยน้องอายไว้ที่นี่แหละ กูไม่อยากเดือดร้อน แล้วก็ไม่อยากโดนซ้อมปางตายที่นี่ด้วย”
กลวิชรมองหน้าเพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนจังก้าจ้องหน้าเขาตาแทบไม่กะพริบ เสียดายโอกาสงาม ๆ ที่อยู่ในมือก็แสนเสียดาย ทว่าความรักตัวกลัวตายก็มีมากอยู่เช่นกัน รู้ดีว่าหากตนยังคงดึงดันจะพารวิชากลับไป แม้จะบอกคนกลุ่มนี้แล้วว่าเธอเป็นแฟนเขาก็ตาม แต่คนพวกนี้ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ เพราะดูจากท่าทีของภีมพลแล้ว ไม่เชื่อที่เขาพูดเลยสักนิด
“ส่งเธอมาให้ผมดีกว่า ผมจะให้พนักงานผู้หญิงของที่นี่ดูแลเธอเอง”
ภีมพลพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นสายตาลังเลของกลวิชร เขารู้ว่าไอ้หนุ่มหน้าอ่อนคนนี้กำลังกลัวเขาอยู่ แต่ก็ยังเสียดายผู้หญิง และยังมีศักดิ์ศรีค้ำคออยู่บ้าง
“แต่เธอเป็นแฟน...”
“ผมจะถามเป็นครั้งสุดท้าย คุณจะปล่อยหรือไม่ปล่อยเธอมาให้ผม”
ภีมพลไม่รอให้กลวิชรพูดจบ เขาเขวี้ยงก้นบุหรี่ทิ้งลงกับพื้นอย่างหัวเสีย จนถึงขนาดนี้แล้วก็ยังดื้อดึงจะพาตัวผู้หญิงคนนี้ไปให้ได้
“ก็ได้! ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเจ้าของผับที่นี่ดูแลลูกค้าดีขนาดนี้เชียว น่ายกย่องชะมัด” กลวิชรกัดฟันพูด ในขณะที่ทิวาภัทรตาเหลือกเมื่อเห็นการ์ดร่างใหญ่สี่คนเริ่มทำท่าขยับเข้ามาเมื่อได้ยินเพื่อนพูดจาแดกดันเจ้าพ่อซุส แต่ภีมพลทำมือห้ามไว้ การ์ดทั้งสี่จึงหยุดอยู่กับที่ แต่ยังไม่วายส่งสายตาข่มขู่ไปที่คนปากดี
กลวิชรปล่อยร่างในอ้อมแขนแล้วส่งต่อให้ภีมพลอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเห็นฝ่ายนั้นประคองหญิงสาวไว้แล้วเรียบร้อยจึงพากันเดินถอยหลังไปยังรถของตนที่จอดอยู่
ทิวาภัทรรีบกดโทรศัพท์หาพรรณรายให้ออกมาเจอกันที่ลานจอดรถทันที ส่วนกลวิชรนั้นเดินกระฟัดกระเฟียดไปขึ้นรถของตนเอง แล้วขับออกจากบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็วจนล้อรถบดกับพื้นซีเมนต์เสียงดังสนั่นตามอารมณ์ของคนขับ
ภีมพลก้มลงมองหญิงสาวที่ตัวอ่อนปวกเปียกในอ้อมแขนพลางส่ายหน้า เห็นชุดที่เธอสวมใส่มาเขาก็รู้ว่าไม่ควรอุ้มหรือเอาตัวพาดบ่า เพราะชุดสั้นเต่อนั้นคงถลกขึ้นสูงจนอวดชาวบ้านไปถึงไหนต่อไหนเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงหันไปหาการ์ดคนหนึ่งแล้วพูดว่า
“ยืมเสื้อหน่อย เดี๋ยวเอาลงมาคืน จะเอาคลุมให้คุณผู้หญิงเขาก่อน”
การ์ดคนนั้นรีบถอดให้ทันที ภีมพลรับเสื้อมาแล้วย่อตัวลงเพื่อช้อนร่างของหญิงสาวขึ้นพาดบ่า จากนั้นเอาเสื้อสูทคลุมปิดช่วงสะโพกของเธอเสีย เสร็จเรียบร้อยจึงพากันออกจากลานจอดรถ แล้วเดินไปยังฝั่งของพนักงานเพื่อเข้าไปในอาคารจากทางประตูหลัง โดยมีการ์ดทั้งสี่คนเดินตามไปติด ๆ
เมื่อเดินมาถึงบันไดที่จะขึ้นไปชั้นสอง เขาหันไปพยักหน้าให้การ์ดทั้งสี่คนเพื่อเป็นการบอกว่าให้ต่างคนต่างแยกย้ายได้ จากนั้นจึงพาร่างไร้สติของสาวสวยก้าวขึ้นสู่ชั้นสามซึ่งเป็นห้องนอนของตน
ชายหนุ่มไม่สามารถใช้ห้องทำงานบนชั้นสองให้เธอพักจนกว่าจะฟื้นได้ เพราะเขารู้ดีว่าเวลานี้พชร เพื่อนสนิทและหุ้นส่วนของเขากำลังอยู่กับช่อมาลี คู่หมั้นสาวคนสวยเป็นแน่
ภีมพลแบกรวิชามาจนถึงเตียงนอนหลังใหญ่แล้วก็ค่อย ๆ ผ่อนร่างของเธอลงอย่างนุ่มนวล หญิงสาวนอนหงายราบไปกับที่นอนในทันที ขณะที่เขาเองก็ล้มตัวลงนอนข้างเธอพลางหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“อะไรวะเนี่ย แบกขึ้นมาแค่นี้เล่นเอาหอบเลย ยังไม่แก่สักหน่อย”
เขาบ่นไปหอบไป พลางเอี้ยวหน้าไปมองคนที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มชันตัวขึ้นเอาแขนเท้าไว้กับเตียงแล้วมองใบหน้าเนียนใสนั้นเต็มตาอีกครั้ง
ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่รองรับปาก คอ คิ้ว คางจิ้มลิ้มนั้นไว้ได้อย่างน่ารักลงตัว ริมฝีปากอิ่มสีชมพูสดเผยอออกเล็กน้อยจนเห็นไรฟันสีขาวจนน่าเอาลิ้นไปกวาดชิม พวงแก้มสีชมพูอ่อนก็น่าฝังจมูกลงไปดอมดมใกล้ ๆ จากนั้นก็กวาดตามองผิวกายขาวเนียนละเอียดที่โผล่พ้นเดรสรัดรูปนั้นด้วยสายตาชื่นชม
ผิวเธอสวย...น่าจะเป็นลูกผู้ดีมีเงิน
สายตาซุกซนมองเลยไปจนถึงเรียวขาขาวผ่อง น่องของเธอพาดอยู่ขอบเตียง อีกทั้งยังนอนหงายจึงทำให้เดรสยิ่งรั้งขึ้นสูงจนเห็นชั้นในสีเนื้อ มองผิวเผินเหมือนเธอไม่ได้ใส่อะไรไว้ข้างใน!
ภีมพลกลืนน้ำลายหนืด ๆ ลงคอเมื่อรู้สึกว่าร่างกายเริ่มมีปฏิกิริยาสะบัดร้อนสะบัดหนาวกับความเย้ายวนตรงหน้า ทั้งที่ห้ามใจตัวเองแล้วอย่างยิ่งยวดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอามือไปลูบไล้ผิวเนื้อบริเวณเรียวขาราวกับต้องมนตร์ เขาใช้หลังนิ้วเกลี่ยแก้มนุ่ม ทั้งยังถือวิสาสะก้มลงไปฝังจมูกเสียเต็มรักแล้วครางออกมาด้วยความพึงพอใจระคนเสียดาย
“รอให้ตื่นก่อนเถอะแม่คุณเอ๊ย ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่มานอนเตียงนี้แล้วจะไม่เสร็จเจ้าพ่อซุส” ภีมพลคาดโทษคนหลับสนิทอย่างหมายมาด เขาเป็นลูกผู้ชายพอ ไม่มีทางปลุกปล้ำผู้หญิงที่ไม่มีสติอย่างนี้แน่
ชายหนุ่มตัดใจลุกจากเตียงแล้วคลี่ผ้าห่มคลุมร่างให้หญิงสาว ก่อนเดินออกจากห้อง เขาจัดการกดล็อกประตูให้ด้วยเพื่อป้องกันไว้หากมีคนอื่นขึ้นมาบนห้องนี้โดยไม่ได้ขออนุญาตจากเขาก่อน
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ