หลังจากรับประทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว รวิชาจึงออกมานั่งเล่นในสวนพร้อมแก้วน้ำใบโปรด หนังสือการ์ตูน และหมอนอิง ตอนนี้ดอกแก้วในสวนหลังบ้านกำลังบานสะพรั่งแข่งกันส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรขจาย หญิงสาวไปยังศาลาไม้สักหลังเล็ก วางแก้วน้ำกับหนังสือการ์ตูนบนโต๊ะ จัดหมอนอิงให้พิงไว้กับพนักข้างหนึ่ง จากนั้นจึงนั่งยืดขาบนม้านั่งตัวยาว เอนหลังพิงหมอนอิงแล้วหยิบหนังสือการ์ตูนขึ้นมาอ่านด้วยท่าทางผ่อนคลาย
เธอชอบมุมนี้ของบ้านที่สุด รองลงมาจากพื้นที่ส่วนตัวเล็ก ๆ ตรงระเบียงห้องนอน เพราะที่นี่จะมีไม้ดอกไม้ประดับแข่งกันส่งกลิ่นหอมชวนให้ชื่นใจทุกครั้งที่ได้เข้ามานั่งพักผ่อน บางวันเธอเผลอหลับคาหนังสือเรียน หรือหนังสือการ์ตูนที่ศาลาตรงนี้บ่อยมาก เพราะลมธรรมชาติที่พัดเอื่อยเฉื่อยมาเป็นระยะ อีกทั้งยังเงียบสงบ มีเพียงเสียงเสียดสีกันของใบไม้ใบหญ้าที่ขับกล่อมให้เข้าสู่นิทรารมณ์ได้เป็นอย่างดี
รวิชาไม่รู้เลยว่าได้ตกเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านแนวรั้วเข้ามาภายในตัวบ้านอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาสีนิลกวาดมองเรียวขาขาวที่โผล่พ้นจากกางเกงขาสั้นกุดตามแบบสมัยนิยมที่เขาเคยเห็นวัยรุ่นทั่วไปนิยมใส่กันให้เกร่อตามห้างสรรพสินค้า ผมยาวสลวยถูกมวยขึ้นเป็นวงกลมอยู่กลางศีรษะ เผยให้เห็นลำคอระหงขาวผ่องน่าสัมผัส ไรผมเส้นเล็กที่ตกระต้นคอ ยิ่งเสริมให้หญิงสาวตรงหน้าดูเซ็กซี่เย้ายวนเกินกว่าที่จะเรียกว่าเด็กมัธยมปลาย
ภีมพลลอบถอนหายใจ แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจเด็กสาวพวกนี้เลยสักนิดเพราะไม่ใช่สเปก เขาไม่ชอบการเอาอกเอาใจเด็ก โดยเฉพาะเด็กสาวพวกนี้ส่วนใหญ่เรื่องบนเตียงยังไม่เร้าใจเท่าสาวเต็มตัวที่มีประสบการณ์ เขาไม่ชอบสอนเพราะมันทำให้หมดอารมณ์ เขาชอบสาวไฟแรงสูงที่ไม่ต้องบอกอะไรให้มากความ แต่ลงมือทำอย่างชำนิชำนาญ และใช้ความช่ำชองมาสู้กับเขาบนเตียง
แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมถึงละสายตาไปจากเด็กสาวตรงหน้าไม่ได้
เงาที่ทาบทับลงมาเหนือศีรษะ ทำให้รวิชาต้องแหงนหน้าไปด้านหลังเพื่อดูว่าเป็นเงาของใคร พอดีกับที่ชายหนุ่มผู้มาใหม่กำลังชะโงกหน้ามาดูเนื้อหาในการ์ตูนที่เธอกำลังถืออยู่พอดี
“อ่านโคนันเหมือนกันหรือเรา นึกว่าจะอ่านแต่การ์ตูนตาหวานเสียอีก”
ภีมพลเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม รวิชาจึงลุกขึ้นนั่งให้เรียบร้อยด้วยการเอาขาลงกับพื้น แทนการกึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกแบบเมื่อครู่
“สวัสดีค่ะอาภีม มาหาคุณพ่อหรือคะ” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้ แกล้งถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขามาหาเธอ เพราะเขาได้บอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“มาหาเรานั่นแหละ ไม่ต้องมาทำเป็นลืม” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเข้าเรื่องที่ต้องการคุย
“คืนที่เราไปที่คลับ อาอยากรู้ว่าเข้าไปข้างในได้ยังไง ปกติด้านนอกต้องมีการตรวจบัตรไม่ใช่หรือ”
ชายหนุ่มนั่งเอนหลัง กางแขนทั้งสองข้างเท้ากับพนักด้วยท่วงท่าสบาย ๆ เพราะไม่อยากกดดันสาวน้อย แต่เรื่องนี้เขาก็ต้องการรู้คำตอบให้ได้เช่นกัน มิเช่นนั้นอนาคตข้างหน้า คลับซุสของเขามีปัญหาแน่นอน
“เอ...ขอนึกก่อนนะคะ จำได้แล้ว! เพื่อนของน้องอายมีบัตรสมาชิกค่ะ บัตรสีดำน่ะ น้องอายเห็นเขาโชว์บัตรให้พนักงานหน้าประตู พอเขาตรวจดูเสร็จเขาก็อนุญาตให้เข้าไปได้ ว่าแต่อาภีมไปเที่ยวที่นั่นบ่อยหรือคะ” หญิงสาวมองเขาตาแป๋ว คนถูกถามจึงยิ้มบาง ๆ ก่อนไขข้อข้องใจให้
“ก็ไปเกือบทุกคืน เพราะอาดูแลที่นั่นอยู่”
“อ๋อ มิน่าล่ะ อาภีมถึงได้...” ออกจากบ้านตอนกลางคืนทุกวัน รวิชาพูดประโยคสุดท้ายอยู่ในใจ แต่คนฟังกลับไม่ยอมให้เธอพูดค้างอยู่แค่นั้น
“ถึงได้อะไร” แม้น้ำเสียงไม่ได้ดูคาดคั้น แต่แววตาของเขากลับบอกเธอว่าอย่าได้คิดปิดบังเชียว
“ถึงได้เห็นอาภีมออกไปจากบ้านตอนกลางคืนทุกที”
รวิชาพูดเสียงอ่อยพลางหลุบตามองแก้วน้ำของตน ผิวแก้มขึ้นสีระเรื่อเมื่อเผลอหลุดให้เขารู้จนได้ว่าเธอเคยแอบมองอยู่บนระเบียง
“หืม...รู้ได้ยังไง เคยเห็นอาด้วยหรือ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเมื่อรู้ว่าเธอเคยเห็นเขา น่าแปลกที่ว่าทำไมเขาถึงไม่เคยเจอเธอเลย
แต่จะว่าไปการที่เขาไม่เคยเจอเธอก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะความเป็นอยู่ที่ต่างเวลากัน เขาทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน จะกลับถึงบ้านก็เลยตีสามเข้าไปแล้ว ตื่นมาสาย ๆ ก็ต้องเข้าบริษัท ยิ่งช่วงกลับมาจากเมืองนอกใหม่ ๆ ชีวิตแทบจะมีแต่งาน เลิกงานก็ท่องราตรี เช้ามาก็ไปทำงานต่อ เป็นอย่างนี้อยู่หลายปี จนกระทั่งมาเปิดคลับซุสร่วมกับพชรเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
“ก็...คือว่า...”
รวิชาเหลือบตามองขึ้นไปยังห้องนอนของตนที่อยู่ชั้นบน ภีมพลจึงเงยหน้ามองตามจนไปหยุดอยู่ที่ห้องห้องหนึ่งที่มีระเบียงไม่กว้างนักยื่นออกมา บริเวณตรงนั้นตรงกันพอดีกับโรงจอดรถของเขา
“อ้อ จริงสินะ อาก็ลืมไปว่าตรงนั้นคือห้องนอนของเรา”
ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ เธอคงเคยเห็นเขาหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่เคยเห็นเพราะมีต้นไม้ใหญ่บดบังอำพรางเอาไว้อยู่
“ผู้ชายสองคนเมื่อคืนเป็นใคร แล้วทำไมถึงไปกับพวกนั้นได้”
ภีมพลถามสิ่งที่ค้างคาใจ เท่าที่มองดูเหตุการณ์คืนนั้น รวิชาไม่น่าจะเต็มใจนั่งร่วมโต๊ะกับสองหนุ่มนั่นเท่าไร
“น้องอายรู้จักแค่คนเดียวค่ะคือพี่วิชร เพราะพ่อของเขาเป็นหุ้นส่วนที่บริษัทคุณพ่อ ส่วนอีกคนเป็นแฟนกับเพื่อนน้องอาย ก็เพิ่งจะเคยเห็นหน้าเขาวันนั้นนั่นแหละ”
ภีมพลสะดุดหู บุตรชายของหุ้นส่วนในบริษัทงั้นหรือ ชายหนุ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่เคยฟังจากบิดามารดาของรวิชาแล้วก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง ฝ่ายนั้นคงรู้ว่าอาทิตย์ไม่ยอมยกบุตรสาวให้แน่ จึงคิดใช้วิธีสกปรกกระมัง
“จริงสิ อาภีมเล่าเรื่องคืนนั้นให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ น้องอายโทร. ไปถามเพื่อนที่ไปด้วยกัน เขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร” รวิชาอยากรู้ว่าตนไปนอนอยู่ที่ห้องของเขาได้อย่างไร
“แล้วเราจำอะไรได้บ้างล่ะ” ชายหนุ่มย้อนถาม จำได้ว่าวันนั้นรวิชาไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ติดตัวเลย จึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเมาหลับ หญิงสาวน่าจะโดนวางยานอนหลับมากกว่า
“จำได้แค่ว่านั่งดื่มค็อกเทลอยู่ที่โต๊ะ ยังไม่หมดแก้วเลยด้วยซ้ำ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว ตื่นมาอีกทีก็...” หญิงสาวพูดค้างไว้แค่นั้น หน้าใส ๆ ก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อนึกถึงตอนที่เห็นหนอนชาเขียวขนาดตัวโตเต็มวัยของคนตรงหน้า
ชายหนุ่มผุดรอยยิ้มที่มุมปาก รู้ว่าเธอคงเห็นอะไรดี ๆ เข้าให้แล้ว จึงต่อประโยคให้สาวน้อยด้วยนัยน์ตาแพรวพราว
“ตื่นมาอีกทีก็นอนอยู่เตียงเดียวกับอา แถมอายังโป๊อีกต่างหาก”
ภีมพลคลี่ยิ้มกว้างอย่างนึกสนุก เมื่อเห็นใบหน้านวลนั้นแดงก่ำมากกว่าเดิม
“คืนนั้นอาเห็นสองคนนั่นหิ้วปีกเราออกจากผับ อานึกสงสัยก็เลยเข้าไปถามดู แต่ผู้ชายใส่เสื้อสีเทาบอกว่าอายเป็นแฟนเขา อายเมามาก และเขากำลังพากลับบ้าน แต่อาไม่เชื่อเพราะไม่ได้กลิ่นเหล้าจากตัวเราก็เลยขู่จะแจ้งตำรวจ เขาเลยยอมปล่อย”
ภีมพลเลือกเล่าแค่บางส่วน เพราะถ้าเล่าไปทั้งหมด หญิงสาวอาจคิดว่าเขาก็คงหื่นกามไม่ต่างจากคนพวกนั้น
“ไม่จริงสักหน่อย น้องอายไม่ได้เป็นแฟนกับพี่วิชร น้องอายเกลียดขี้หน้าเขาจะตายไป นี่ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเขาไปด้วยนะ น้องอายไม่มีทางไปเด็ดขาด”
คนพูดทำหน้าง้ำปากยื่นอย่างไม่พอใจ แต่คนฟังกลับนึกอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ เนื่องจากแผนที่คิดเอาไว้ในใจเรื่องการหมั้นหมายนั้นจะดูมีน้ำหนักขึ้นมา หากเขาเอาเรื่องนี้ไปอ้างกับบิดามารดาของเธอ เพียงแต่ตอนนี้ต้องวางหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“รับปากกับอาได้ไหมว่าจะไม่ไปที่นั่นอีก รวมถึงที่อื่นด้วย ถ้าน้องอายอยากไป อาจะเป็นคนพาไปเอง”
รวิชาทำตาโต จะให้เธอรับปากได้อย่างไรในเมื่ออีกไม่กี่เดือนเธอก็จะได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว และเธอต้องมีสังคมมีเพื่อนฝูง การเที่ยวกลางคืนถือเป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่าใครก็เคยไปกันทั้งนั้น
“น้องอายโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะคะ ไปเองกับเพื่อน ๆ ก็ได้ ไม่ต้องให้อาภีมพาไปหรอกค่ะ”
หญิงสาวพูดอย่างคนที่ต้องการเอาชนะ แต่คนฟังกลับไม่นึกโกรธ เขาเพียงส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ พร้อมกับลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดินเข้าบ้านไปพูดธุระกับบิดามารดาของเธอ ทว่าก่อนไป ภีมพลกลับเอื้อมมือมาเชยคางมนแล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่ผิวแก้มของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนก้มลงกระซิบที่ข้างหูหญิงสาว ทำเอาคนฟังถึงกับวางหน้าไม่ถูก
“อารู้แล้วว่าน้องอายน่ะ ‘โต’ แค่ไหนแล้ว”
ภีมพลผละออกมาแล้วเลื่อนนิ้วโป้งมาเกลี่ยที่ริมฝีปากอิ่มราวจะบอกใบ้ จากนั้นยักคิ้วให้เธอข้างหนึ่งก่อนเดินจากไป
รวิชาได้แต่มองตามจนแผ่นหลังของเขาหายเข้าไปในบ้าน หญิงสาวยกมือขึ้นลูบริมฝีปากตนเอง บอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกอย่างไร อับอาย ขัดเขิน ไม่พอใจหรืออะไรกันแน่ แต่ที่รู้อยู่แก่ใจคือแรงเต้นกระหน่ำที่ก้อนเนื้อด้านซ้าย มันเต้นรัวเร็วแต่หวิวไหวจนเธอรู้สึกว่ามือยังสั่นตามไปด้วย
“อาภีมบ้า!”
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ