“พ่อกับแม่ต้องไปทำงานนะลูก เอาไว้ถ้าทุกอย่างลงตัวเมื่อไรพ่อจะพาหนูไปด้วย เพราะอีกหน่อยหนูต้องมาช่วยพ่อกับแม่ดูแลบริษัทของเรา ยังมีอีกหลายอย่างเลยละที่น้องอายต้องเรียนรู้” อาทิตย์พาบุตรสาวมานั่งที่โซฟา ก่อนจะเริ่มพูดถึงเรื่องที่ได้คุยกับภีมพลเมื่อคืน
“อาภีมมาบอกกับพ่อแล้วนะว่าวันที่เจ็ดเดือนหน้าคือวันหมั้น พ่อกับแม่จะกลับมาก่อนวันงานสองวันนะลูก” บิดาพูดจบ รวิชาก็ทำตาโตทันที
“วันที่เจ็ดเดือนหน้า งั้นก็อีกแค่...สองอาทิตย์เองสิคะ! ทำไมเร็วจัง”
รวิชาทำหน้าง้ำ เหลือเวลาอีกแค่สิบกว่าวัน หลังจากนั้นเธอก็ต้องกลายเป็นคนที่มีห่วงผูกคอเสียแล้ว
“เขาเอาฤกษ์สะดวกน่ะ เพราะวันที่สิบเดือนหน้า คุณพ่อคุณแม่ของอาภีมจะต้องไปเมืองนอก เลยอยากให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนไป” อาทิตย์ตอบบุตรสาว ก่อนจะกำชับเรื่องการดูแลตัวเองอีกครั้ง
“ช่วงที่พ่อกับแม่ไม่อยู่น้องอายต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก เพื่อนคนไหนที่เคยชวนไปเที่ยวกลางคืน ถ้าเขาโทร. มาชวนอีกก็ไม่ต้องไปกับเขา หลังจากที่พ่อไปแล้วอาภีมอาจจะมาดูแลบ้างเป็นครั้งคราว เดี๋ยวพ่อจะส่งไลน์เบอร์ของอาภีมไปให้ เผื่อเรามีปัญหาอะไรจะได้โทร. หาอาเขา”
คนเป็นพ่อพูดพลางหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วไล่หารายชื่อของภีมพล เมื่อได้เบอร์แล้วจึงจัดการส่งเข้าเครื่องของรวิชา ในขณะที่คนได้รับข้อความแอบเบ้หน้า
สองวันที่ผ่านมา คุณผีดิบหายเงียบไปเลย เธอแอบไปยืนมองที่โรงรถของเขาหลายครั้งก็ยังเห็นรถจอดอยู่ที่เดิม และไม่มีการขับออกไปไหน ไม่รู้ว่าเขาอยู่บ้านตลอดเวลาหรืออยู่ข้างนอกไม่ได้กลับบ้าน
เธอไม่ได้อยากสนใจเขา แต่เวลาไปยืนที่ระเบียงทีไร ก็อดมองไปที่รถของเขาไม่ได้ทุกที
รวิชาเห็นมารดาเดินลงมาพร้อมกับแม่บ้านโดยหิ้วกระเป๋าเดินทางสองใบตามมาด้วย หญิงสาวจึงลุกขึ้นยืนเพื่อรอไปส่งบิดามารดาอย่างรู้งาน
ทั้งหมดเดินไปที่รถโดยมีแม่นมเดินตามหลัง ก่อนขึ้นรถรวิวรรณหันไปหาหญิงชราแล้วเอ่ยปากฝากฝังเหมือนที่เคยบอกทุกครั้งก่อนจะเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน
“ฝากยายหนูด้วยนะคะนม” รวิวรรณกางแขนขึ้นโอบร่างของแม่นม ก่อนจะย้ายไปโอบกอดลูกสาวที่ยืนอยู่ข้างกัน
“เดินทางปลอดภัยนะคะคุณหนู เอ้อ...คุณผู้หญิง”
นมพิมยังติดเรียกแบบเดิมอยู่บ้าง เพราะเคยเรียกรวิวรรณว่าคุณหนูมาตั้งยี่สิบกว่าปี ครั้นพอรวิวรรณมีบุตรสาว จึงต้องเปลี่ยนคำเรียกขานใหม่เพื่อไม่ให้เป็นการสับสน
“เป็นเด็กดีนะลูกนะ ถ้าเสร็จงานเมื่อไรพ่อกับแม่จะรีบกลับมาหาหนูทันที”
รวิวรรณหอมหน้าผากของบุตรสาว ก่อนจะขึ้นรถที่คนขับรถเปิดประตูไว้ให้ เมื่อเห็นท่านทั้งสองขึ้นรถไปแล้วเรียบร้อย รวิชาจึงเดินถอยหลังมายืนที่มุกหน้าบ้านเพื่อเปิดทางให้รถแล่นผ่าน หญิงสาวยืนโบกมือไหว ๆ ตามหลังรถจนกระทั่งพ้นรั้วออกไปแล้ว เธอจึงเดินเข้าบ้านด้วยจิตใจห่อเหี่ยว
“คุณหนูอายจะไปไหนหรือเปล่าคะวันนี้” นมพิมถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ว รวิชาส่ายหน้าช้า ๆ ตามด้วยถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกันค่ะนม พอเรียนจบแล้วไม่ได้เรียนพิเศษช่วงปิดเทอมเหมือนเมื่อก่อน มันก็เหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง ตอนนี้น้องอายไม่มีอะไรทำเลยค่ะ เบื่อจังเลย”
“ถ้าอย่างนั้นนมจะให้แม่มาลัยไปซื้อของที่ตลาด แล้วเรามาลองทำบัวลอยไข่หวานกันดีไหมคะคุณหนู”
หญิงชราจำได้ว่ารวิชาเคยติดใจรสชาติของบัวลอยไข่หวานที่ตนทำ และเคยรบเร้าให้สอนทำด้วย เพราะจะทำไปให้เพื่อนที่โรงเรียนรับประทาน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ลงมือสอนกันจริงจังสักที คราวนี้เห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะจึงลองชวน เพราะเห็นใจสาวน้อยที่เงียบเหงาจับเจ่าอยู่กับบ้านเพียงลำพัง
“เอาสิคะนม งั้นถ้าพี่มาลัยไปซื้อเสร็จแล้วไปเรียกน้องอายที่ศาลาหลังบ้านนะคะ น้องอายจะอ่านการ์ตูนรอที่นั่น”
สาวน้อยยิ้มกว้างแล้วเดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนที่วางไว้บนโต๊ะห้องรับแขก จากนั้นก็เดินเข้าครัว เปิดตู้เย็นหยิบน้ำอัดลมยี่ห้อโปรดแล้วออกไปที่สวนหลังบ้านโดยผ่านทางประตูห้องครัวไป
เมื่อเดินมาถึงศาลาไม้สักหลังเล็ก รวิชาอดไม่ได้ที่จะชะเง้อคอมองผ่านรั้วบ้านเข้าไปยังอาณาเขตคฤหาสน์ของภีมพล บ้านของเขาหลังใหญ่กว่าบ้านของเธอมาก แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันดูเงียบเหงาราวกับไม่มีคนอยู่ นานครั้งเธอจะเห็นแม่บ้าน คนทำความสะอาด คนสวนเดินไปเดินมาให้เห็น บางคราวก็เห็นผู้ชายท่าทางน่ากลัวหลายคนเดินเข้านอกออกใน ทั้งยังทำความเคารพเจ้าของบ้านราวกับเขาเป็นหัวหน้าจ่าฝูง นั่นจึงเป็นที่มาของฉายาคุณมาเฟียผีดิบที่เธอแอบตั้งให้เขา
หนังสือการ์ตูนที่รวิชาหยิบมาอ่าน ท้ายที่สุดแล้วกลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร หญิงสาวเปิดมันค้างอยู่อย่างนั้น แต่สายตากลับมองเหม่อไปเบื้องหน้าแบบไร้ทิศทางและจุดหมาย
เธอยอมรับว่ากังวลไม่น้อยเกี่ยวกับการหมั้น ความหวาดหวั่นไม่แน่ใจหลายต่อหลายอย่างเริ่มประเดประดังเข้ามากระแทกใจอยู่เรื่อย
รวิชาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยอมหมั้นกับเด็กสาวอย่างตน ทั้งที่คืนนั้นเธอเห็นเขามีผู้หญิงมากหน้าหลายตามาติดพันอยู่ อดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ชายที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพอย่างเขาและอายุขนาดนี้ทำไมถึงยังไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตน
และคนที่จะให้คำตอบได้น่าจะมีแต่พรรณรายเพียงคนเดียว เพราะถ้าหากเธอไปถามเขาตรง ๆ ละก็ ชายหนุ่มอาจไม่ยอมพูดความจริง ดีไม่ดีอาจจะหาว่าเธอละลาบละล้วงเรื่องของเขาก็เป็นได้
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแชตไลน์ จากนั้นก็พิมพ์ข้อความถามพรรณรายทันที
“‘พิงค์ แกรู้จักคุณภีมพลที่เป็นเจ้าของคลับซุสไหม”
“ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ก็รู้ว่าเขาคือคนไหน ทำไมหรือ”
“เขาเป็นคนดีหรือเปล่า ฉันหมายถึงโดยรวมน่ะ”
“ไม่รู้สิ ไม่เคยคุยด้วยสักที รู้แต่ว่าเจ้าชู้มาก เพราะเท่าที่เคยเห็นเวลาฉันไปเที่ยวนะมีแต่ผู้หญิงนั่งคลอเคลียตลอดเลย แกถามทำไมหรือยายอาย แล้วแกรู้จักเขาหรือ”
“รู้จัก เพราะอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าฉันต้องหมั้นกับเขา”
คราวนี้ไม่มีข้อความตอบกลับจากพรรณราย แต่กลับกลายเป็นเสียงเรียกเข้าจากคนที่เพิ่งแชตคุย ทันทีที่รับสายเสียงโหวกเหวกก็ดังขึ้นจนเธอต้องเอาโทรศัพท์ห่างจากหูเล็กน้อย
“แกหมายความว่ายังไงยายอาย เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ปลายสายคาดคั้นเสียงดังทั้งที่รวิชาไม่ได้เอาโทรศัพท์แนบหูก็ยังได้ยิน
“ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ฉันต้องหมั้นกับเขาวันที่เจ็ดเดือนหน้า” น้ำเสียงเนือย ๆ ของคนพูดไม่ได้ทำให้พรรณรายผิดสังเกตแต่อย่างใดเพราะเจ้าหล่อนมัวแต่ตื่นเต้นแทนเพื่อนสาว
“แล้วแกไปหมั้นกับเขาได้ยังไง รู้จักกันมาก่อนหรือ เล่ามาสักทีสิยายอาย”
“แกจำคุณผีดิบข้างบ้านฉันได้ไหม”
รวิชาเคยเล่าเรื่องของเขาให้เพื่อนในกลุ่มฟังแทบทุกคน เรื่องราวที่เล่าส่วนใหญ่ก็มักเอ่ยถึงความน่ากลัวของบ้านเขาที่เหมือนปราสาทแดร็กคูลากับลูกสมุนนับสิบที่เคยแอบเห็น ทั้งยังทำตัวลึกลับไม่สุงสิงกับใคร
แน่นอนว่าเธอแอบแต่งเสริมเติมเรื่องลงไปบ้างเพื่อให้เรื่องเล่าดูสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
“จำได้ ที่บ้านหลังใหญ่ ๆ นั่นน่ะหรือ ว้าย! อย่าบอกนะว่าคุณผีดิบของแกก็คือคุณภีมพล! กรี๊ด! แกโชคดีจังเลยยายอาย ฉันอิจฉาแกมาก”
พรรณรายส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดมาตามสาย เพราะเคยไปเที่ยวที่คลับซุสบ่อย จึงรู้ดีว่าว่าที่คู่หมั้นของรวิชานั้นเนื้อหอมมากแค่ไหน มีแต่หญิงสาวจ้องจะสานสัมพันธ์กับเขา และดูเหมือนเขาแทบจะไม่ปฏิเสธไมตรีที่สาว ๆ เหล่านั้นมอบให้ด้วย แต่กลับไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ครอบครองเขาได้เลยสักคน
“โชคดีตรงไหน ก็แกเพิ่งบอกฉันแหมบ ๆ ว่าเขาเจ้าชู้”
รวิชาทำปากยื่น รู้สึกฉุนเฉียวไม่สบอารมณ์อย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่ได้ยินพรรณรายบอกว่าภีมพลเจ้าชู้ และมีแต่ผู้หญิงเข้าหา
“ก็โชคดีที่ได้ผู้ชายครบเครื่องอย่างคุณภีมพลเป็นคู่หมั้นน่ะสิแก หล่อ รวย แบดบอยหน่อย ๆ กรี๊ด! ฉันอยากไปสิงร่างแกตอนนี้จังเลย ว่าแต่แกแอบไปคบกับเขาตอนไหนทำไมฉันไม่รู้ เพื่อนในกลุ่มเรามีใครรู้หรือเปล่า จะว่าไปเขาก็อายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะ ไม่ยักรู้นะเนี่ยว่าเขาก็ชอบเด็กสาว ๆ อย่างพวกเราด้วยเหมือนกัน ฉันเห็นผู้หญิงของเขาแต่ละคนมีแต่เนื้อนมไข่ทั้งนั้น รู้งี้ฉันแอบกระแซะเขาบ้างก็ดี ฮ่า ๆ”
พรรณรายพูดอย่างคะนองปาก แต่คนฟังก็ไม่ถือสาเพราะรู้นิสัยของเพื่อนดี รวิชาตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง จนกระทั่งถึงสาเหตุที่ต้องหมั้นหมาย
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นอย่างที่ฉันเล่าให้ฟังเนี่ยแหละ”
รวิชาลุกขึ้นเดินทอดน่องบริเวณนั้นพร้อมกับถือโทรศัพท์แนบหูไปด้วย เมื่อเดินไปถึงประตูรั้วที่เปิดเชื่อมถึงกันได้ระหว่างบ้านของเธอกับโรงรถของเขาก็อดมองเข้าไปในนั้นไม่ได้ทุกที
“อาย ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าพี่วิชรจะเป็นคนแบบนี้ ฉันสาบานได้เลยนะว่าคืนนั้นฉันไม่รู้เรื่องจริง ๆ ฉันถามพี่ทิวว่าพี่วิชรไปส่งแกกลับถึงบ้านหรือยัง เขาก็บอกฉันว่าส่งเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เลยไม่ได้ถามอะไรอีก”
“ช่างเถอะ ยังไงฉันก็รอดมาแล้ว แต่กระเป๋าของฉันน่ะสิยังอยู่กับพี่วิชรแน่เลย แกช่วยทวงให้ฉันหน่อยได้รึเปล่า ฉันไม่อยากไปทำบัตรประชาชนใหม่น่ะ”
รวิชาไม่ต้องการคุยกับคนที่คิดร้ายกับตนจึงวานให้เพื่อนช่วยจัดการแทน
“ได้สิ เดี๋ยวฉันจะทวงให้เพราะคืนนี้ฉันก็เจอพี่ทิวอีกคงได้เจอกับพี่วิชรด้วยเหมือนกัน”
พรรณรายรับปาก แต่ไม่คิดชวนเพื่อนไปเที่ยวกลางคืนอีกแล้วหลังจากที่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นคืนนั้น
ทั้งสองคนคุยกันต่ออีกไม่กี่นาทีก็วางสาย รวิชาจึงเดินกลับไปที่ศาลาตามเดิม
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ