ฐานะทางบ้านของอารดาไม่ได้ร่ำรวยนัก ค่อนข้างขัดสนด้วยซ้ำเพราะมีมารดาเพียงคนเดียวที่คอยหาเลี้ยงทั้งครอบครัวด้วยการรับจ้างเย็บผ้า ส่วนบิดาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุตั้งแต่อารดายังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา อารดามีน้องสาวหนึ่งคนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนเดียวกัน ค่าเทอมและค่าใช้จ่ายบางส่วนนั้นอารดาอาศัยกองทุนกู้ยืมจากรัฐบาลมาช่วย และโชคดีที่เธอสอบเข้าโรงเรียนมัธยมสตรีล้วนชื่อดังซึ่งเป็นโรงเรียนของรัฐบาลได้ ค่าเทอมจึงไม่แพงนักถ้าเทียบกับโรงเรียนเอกชน
แต่ถึงกระนั้น ทุกครั้งที่ปิดเทอม อารดามักจะหางานพิเศษทำเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ฉะนั้นเวลาที่เพื่อนฝูงนัดกันไปเที่ยว หรือเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าหลังเลิกเรียน อารดาจึงไม่ค่อยได้ไปสังสรรค์เท่าไร เพราะต้องเก็บเงินไว้ใช้จ่ายในบ้าน
บางครั้งเพื่อนในกลุ่มรวมถึงรวิชาต้องบังคับขู่เข็ญให้ไปด้วยกัน โดยไม่ต้องให้อารดาควักกระเป๋าจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว เพราะรู้ว่าเพื่อนไม่ได้มีฐานะเหมือนพวกตน ซึ่งอารดาเองก็ไปบ้างไม่ไปบ้างเพราะความเกรงใจที่ต้องให้เพื่อนมาคอยจ่ายให้เกือบทุกครั้ง
“อืม...จะว่าไปฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะหมั้นวันไหน รออาภีมมาบอกอีกทีน่ะ แต่ฉันอยากให้แกมางานฉันนะ”
รวิชานึกไปถึงคนที่ตนพูดถึง นัยน์ตากลมโตตวัดมองไปยังมุมห้องที่มีตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ยักษ์นั่งครองพื้นที่อยู่ สาวน้อยแลบลิ้นใส่อย่างอดไม่ได้ราวกับว่ามันมีชีวิตจิตใจที่สามารถรับรู้การกระทำของเธอ
“เอ๊ะ เมื่อกี้แกเรียกเขาว่าอะไรนะ อาภีมงั้นหรือ แกเรียกเขาว่าอาเลยหรือยายอาย!” เสียงถามกลั้วหัวเราะจากปลายสายทำให้รวิชาต้องกลอกตามองเพดานพร้อมกับทำปากยื่น
“เออดิ ฉันเรียกเขาว่าอา เป็นไงล่ะ แกว่าเขาแก่อย่างที่ฉันบอกหรือเปล่า”
“เขาอายุเท่าไรหรือ ฉันอยากเห็นหน้าเขาจัง คงไม่ใช่อ่อนกว่าพ่อแกแค่ไม่กี่ปีนะ” อารดาหัวเราะเสียงใส นึกอยากเห็นหน้าว่าที่คู่หมั้นของเพื่อนรักขึ้นมาทันใด เพราะเห็นเจ้าตัวเน้นเหลือเกินว่าผู้ชายคนนั้นแก่เกินไป
“สามสิบกว่า ๆ เนี่ยแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าสามสิบเท่าไรแล้ว ถ้าอยากเห็นว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง แกก็มางานหมั้นของฉันให้ได้สิ”
รวิชากระตุ้นให้เพื่อนอยากมางานหมั้นของตน แม้จะรู้ว่าอารดาอาจมาไม่ได้เพราะต้องทำงานพิเศษ เธอจึงไม่อยากเซ้าซี้ให้เพื่อนต้องลำบากใจ
“อาย เดี๋ยวฉันต้องไปทำงานแล้วละ เอาไว้เลิกกะแล้วจะโทร. หานะ หรือถ้าเธอรู้ว่างานหมั้นจะมีวันไหนก็โทร. บอกฉันด้วย ถ้าตรงกับวันหยุด หรือแลกกะกับใครได้ ฉันจะไปแน่นอน”
“โอเค แกไปทำงานเถอะ” รวิชาวางสาย แล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเสียงแปลก ๆ ตรงระเบียงจึงลองเงี่ยหูฟังอีกครั้ง
เสียงวัตถุบางอย่างกระทบกับประตูที่จะออกสู่ระเบียงห้อง หญิงสาวเดินไปมองผ่าน ๆ โดยไม่ได้ออกไปที่ระเบียง ตอนแรกนึกว่าเป็นกิ่งไม้ที่หักลงมาแล้วถูกลมพัดมาโดนประตู จึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ทว่าหลังจากเดินกลับมาได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก ราวกับมีคนกำลังขว้างก้อนหินก้อนเล็กหรืออะไรบางอย่างขึ้นมา เธอจึงสาวเท้าไปใกล้ประตูอีกครั้ง แต่มองแล้วไม่เห็นใครจึงเดินออกไปยืนเกาะราวระเบียงเพื่อดูให้แน่ใจอีกที
วงหน้าคร้ามคมที่เกลื่อนด้วยรอยยิ้มของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นว่าที่คู่หมั้นกำลังแหงนเงยขึ้นมองมายังบริเวณที่เธอยืนอยู่ ร่างสูงใหญ่ของภีมพลยืนพิงรถคันหรูอยู่อีกฝั่งรั้วซึ่งเป็นโรงรถ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง อีกข้างถือของบางอย่างไว้ในมือซึ่งเธอมองไม่ชัดนัก แต่คิดว่าคงเป็นของที่เขาใช้ปามาที่ประตูเมื่อครู่
รวิชาถามพลางก้มลงมองพื้นระเบียง จึงเห็นว่าเป็นผลกลม ๆ ปล้อง ๆ สีเหลืองอมเขียวหล่นอยู่ที่พื้นสามสี่ลูกจึงหยิบมันขึ้นมาไว้ในมือ พลางเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามเขาเสียงไม่เบานัก
“อาภีมปาอะไรขึ้นมาน่ะ”
“มะยม!”
สาวน้อยยืนเกาะราวระเบียงก้มหน้าลงประสานสายตากับเขา ทว่าพอเห็นประกายตาระยิบระยับวับวาวกว่าปกติก็มิอาจหาญกล้าไปเล่นเกมจ้องตากับเขาได้ เธอจึงเบนสายตาไปมองต้นมะยมที่ขึ้นติดรั้วบ้านจนกิ่งก้านมันแผ่ขยายลามไปยังเขตบ้านของเขา
“เรารู้เรื่องแล้วใช่ไหม พ่อกับแม่คงบอกแล้ว...เรื่องหมั้น”
เขาเว้นระยะก่อนจะเอ่ยสองคำหลังราวกับต้องการเน้นย้ำ ตาคมจับจ้องดวงหน้าเรียวเล็กที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อชวนมองเพื่อสังเกตปฏิกิริยา มุมปากหยักคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นสีหน้า และแววตาของหญิงสาว
เจ้าตัวคงไม่รู้กระมังว่าตนเองกำลังเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำลามเลยไปถึงลำคอ รวิชายังเด็กมาก คิดอะไร รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมด ถึงแม้ว่าจะพยายามปั้นแต่งใบหน้าให้เรียบตึงแค่ไหนก็ตาม แต่สำหรับเขา มองปราดเดียวก็รู้
คนถูกถามไม่พูดอะไร แต่กลับทำเพียงพยักหน้าให้เขาแทนคำตอบ
“เหตุผลที่ต้องหมั้น พ่อเขาบอกเราแล้วใช่ไหมน้องอาย”
ภีมพลทอดเสียงโอนอ่อนตอนเอ่ยออกไป เขารู้ว่าสาวน้อยคงกำลังงุนงงสับสน อาจจะต้องให้เวลาปรับตัวสักพัก
“ไหนอาภีมรับปากว่าจะไม่บอกพ่อกับแม่เรื่องนั้นไง แล้วทำไมจู่ ๆ เอาไปฟ้องเฉยเลย” รวิชาโจมตีเขาทันทีพลางมองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ ปากอิ่มยื่นออกมาเล็กน้อยเหมือนเด็กกำลังงอน จนคนมองนึกมันเขี้ยวอยากปีนระเบียงขึ้นไปกัดเล็มเล่นเสียเดี๋ยวนั้น
“อาขอโทษที่ไม่รักษาคำพูด แต่เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่นะน้องอาย อาจำเป็นต้องบอกพ่อกับแม่ของเราให้รับรู้ ทุกคนจะได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา และคอยช่วยระวังให้ ช่วงนี้พ่อกับแม่เราค่อนข้างยุ่งกับงาน คงจะไม่มีเวลาให้เรามาก อาก็เลยคิดว่าจะช่วยดูแลเราอีกทางหนึ่ง ไหน ๆ ก็บ้านใกล้กัน”
“พ่อกับแม่ก็งานยุ่งทั้งปีทั้งชาตินั่นแหละ” รวิชาพูดแค่นั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ทว่าคนฟังกลับจับความเหงาปนเศร้าของอีกฝ่ายได้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ต่างจากเวลาที่พูดกับเด็กตัวเล็ก ๆ
“แต่ทุกครั้งที่พอมีเวลา พวกท่านก็จะรีบกลับมาหาเรา และอยู่กับเราไม่ใช่หรือ พ่อกับแม่รักเรามากนะ ที่พวกท่านยอมเหนื่อยทุกวันนี้ก็เพื่อเราทั้งนั้น เวลาที่เราโตพอจะดูแลทุกอย่างต่อได้ เราจะได้ไม่เหนื่อยเหมือนพวกท่านในตอนนี้ไงล่ะ”
กระแสเสียงอ่อนโยนจากชายหนุ่ม ทำให้สาวน้อยลืมตัวจ้องเขาตาค้าง ก่อนจะเริ่มรู้ตัวจึงแกล้งทำทีเป็นคุยเรื่องอื่นเพื่อแก้เขิน
“แล้วนึกยังไงถึงเอามะยมมาปาห้องน้องอายล่ะ อาภีมอยากกินก็เด็ดเอาไปเลยสิคะ บ้านนี้ไม่หวงหรอก”
“หึ! เปล่าหรอก ก็แค่อยากบอกว่าเราคงต้องเจอกันไปอีกนาน ตอนนี้อาจจะแค่เม็ดมะยม แต่ถ้าวันไหนเราดื้อกับอา วันนั้นคงเจอก้านมะยมแทน”
ภีมพลพูดไปยิ้มไป ยิ่งเห็นคนฟังเม้มปากแน่นราวกับกำลังนึกหาถ้อยคำมาโต้ตอบเขาแต่ยังหาไม่เจอก็ยิ่งรู้สึกอยากแกล้ง
“เอ หรืออาจะลงโทษวิธีอื่นดีนะ”
“น้องอายโตแล้วค่ะ ไม่ใช่เด็กแล้วนะที่จะเอาก้านมะยมมาตี ทำตัวเป็นพ่อคนที่สองไปได้” รวิชาโต้กลับไป ท้ายประโยคเสียงแผ่วราวกับไม่อยากให้เขาได้ยิน
“อาก็ไม่ได้บอกว่าจะมาทำตัวเป็นพ่อคนที่สองของเราสักหน่อย แต่เป็น...คู่หมั้นต่างหากล่ะ” ชายหนุ่มจงใจเว้นระยะการพูด เรียวปากคลี่ยิ้มกว้างนัยน์ตาหวานหยดจนคนมองใจเต้นรัวขึ้นมาทันที
“เคยอ่านโรมิโอกับจูเลียตไหม” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน รวิชาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“เคยค่ะ ทำไมหรือคะ”
“ก็ตอนที่เรายืนคุยกันอยู่ตรงนี้น่ะ เหมือนกับฉากที่โรมิโอปีนระเบียงหา จูเลียตเลย” เขาพูดทิ้งไว้แค่นั้นก็เปิดประตูรถด้านคนขับออกกว้าง ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปนั่งในรถเขายังอุตส่าห์หันมาขยิบตาให้เธอข้างหนึ่งพร้อมรอยยิ้มกระชากใจ จากนั้นก็ขับออกไปจากโรงรถอย่างอ้อยอิ่ง ทิ้งให้สาวน้อยยืนอึ้งหน้าแดงก่ำอยู่บนระเบียงเพียงลำพัง
ภีมพลแอบมองรวิชาทางกระจกหลัง เห็นสาวน้อยเม้มปากกลั้นยิ้มจนแก้มป่องก็คลี่ยิ้มกว้าง นับจากนี้ไปเขาจะค่อย ๆ ใช้ยุทธการเลาะเล็มแทรกซึมเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย แต่ทำบ่อย ๆ จนหญิงสาวเริ่มขาดมันไม่ได้ อยากรู้นักว่าเด็กสาวอย่างรวิชาจะต้านทานเสน่ห์ที่เขาหว่านเอาไว้ได้นานสักแค่ไหน
ให้มันรู้กันไปว่าโคแก่อย่างเขาจะเคี้ยวหญ้าอ่อนอย่างเธอไม่ได้!
สักวันเถอะ หญ้าอ่อนต้นนี้จะต้องยอมศิโรราบ และมาคอยป้อนให้เขาถึงปากเลย คอยดู!
รวิชาวิ่งกลับเข้าไปในห้องล้มตัวลงนอนคว่ำหน้ากับหมอนแล้วกรี๊ดออกมาอย่างสุดเสียง โกรธเขาที่ทำให้เธอเขินได้ตลอดเวลา โกรธตัวเองที่เขาทำอะไรให้นิดหน่อยก็เขินอยู่ได้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาพูดมาแค่นั้น ทำไมปากของเธอต้องยิ้มกว้าง ทำไมต้องหน้าแดง ทำไมหัวใจต้องเต้นแรง และทำไมเธอถึงต้องเขินอะไรมากมายขนาดนั้น
สองวันต่อมา อาทิตย์กับรวิวรรณ สองสามีภรรยาก็ต้องเตรียมตัวเดินทางไปทำงานกันอีกครั้ง ทั้งคู่ต้องไปภาคเหนือเพื่อไปตรวจดูแปลงดอกไม้ที่จะนำมาเป็นวัตถุดิบสำหรับสกัดทำน้ำมันหอมระเหย คราวนี้อาจต้องทำสัญญาว่าจ้างเกษตรกรเพิ่มขึ้นเพื่อปลูกวัตถุดิบให้ได้จำนวนตามที่ต้องการ
“คุณพ่อคุณแม่ต้องไปอีกแล้วหรือคะ” น้ำเสียงเศร้าสร้อยกึ่งออดอ้อนของบุตรสาวทำให้คนเป็นพ่อเดินเข้ามาโอบไหล่แล้วตบเบา ๆ ที่ต้นแขน
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ