“คุณหนูอาย คุณนมให้มาตามค่ะ”
เสียงจากแม่บ้านทำให้รวิชาเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วส่งยิ้มให้มาลัย หญิงสาวลุกขึ้นยืน หยิบกระป๋องน้ำอัดลมกับหนังสือการ์ตูนที่นำติดมือมาทั้งที่ยังไม่ได้เปิดอ่านกลับเข้าไปในบ้านด้วย
รวิชาหัดทำบัวลอยไข่หวานกับนมพิมใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงเศษ แม้จะใช้เวลานาน แต่เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่หญิงสาวไม่เคยทำจึงไม่นึกเบื่อแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เธอกลับอึ้งไม่น้อยกับกรรมวิธีการผลิตในแต่ละขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการผสมแป้งนวดแป้ง ซึ่งนมพิมบอกว่าแต่ละคนจะมีสูตรการผสมที่ไม่เหมือนกัน รวมไปถึงการปรุงน้ำให้หอมอร่อย ไม่หวาน และไม่เค็มกะทิจนเกินไป กว่าจะได้บัวลอยไข่หวานมาสักถ้วยช่างดูยากเย็นเหลือเกินในความรู้สึกของสาวน้อยที่เคยแต่รับประทานเพียงอย่างเดียว
“กว่าจะได้แต่ละถ้วย ยากเหมือนกันนะคะนม” รวิชาเปรยขึ้นระหว่างที่ปั้นแป้งบัวลอยเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ หย่อนใส่ในหม้อที่น้ำกำลังเดือด
“ไม่ยากหรอกค่ะ ถ้าทำบ่อย ๆ แป๊บเดียวก็เสร็จ”
“แล้วที่เขาทำเป็นสี ๆ ที่มีทั้งชมพู เขียว ม่วง ฟ้า นั่นเขาใส่สีผสมอาหารใช่ไหมคะ”
เธอจำได้ว่าเคยกินบัวลอยที่ร้านในโรงเรียน ร้านนั้นมีลูกบัวลอยหลายสี แต่น้ำบัวลอยไม่หอมอร่อยเหมือนที่แม่นมทำให้กินที่บ้าน
“ถ้าร้านอาหารทั่วไปเขาเน้นเร็ว และง่ายก็ใส่สีผสมอาหารค่ะ แต่ถ้านมทำ นมจะใช้ของที่มาจากธรรมชาติแทน เช่นสีเหลืองเราก็ใช้แป้งผสมกับฟักทอง สีเขียวก็ผสมกับใบเตย สีม่วงหรือสีฟ้าก็ผสมกับดอกอัญชัน หรือถ้าอยากได้สีแดงสีชมพู เราก็ใช้กระเจี๊ยบ หรือจะใช้แก้วมังกรเนื้อแดงก็ได้ค่ะ”
แม่นมอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น เห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจฟังอย่างเต็มที่แล้วก็อดปลื้มใจไม่ได้ ที่คุณหนูน้อยสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยเหมือนกัน
“โห เจ๋งเนอะ เอาไว้คราวหน้าเรามาลองทำกันดีไหมคะนม น้องอายอยากลองผสมสี ท่าทางน่าสนุก”
รวิชาฉีกยิ้มกว้าง เริ่มอยากรู้ว่าตอนย้อมสีแป้งพวกนี้สีสันจะออกมาประมาณไหนบ้าง เคยดูแต่ยูทูบที่ชาวต่างชาติสาธิตวิธีการย้อมไข่ให้เป็นสีต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์แล้วก็อดทึ่งไม่ได้ คราวนี้เธอจะได้ย้อมสีอาหารดูบ้างแล้ว
“หอมจัง...ทำอะไรกินกันครับเนี่ย”
เสียงทุ้มที่ดังอยู่เบื้องหลัง ส่งผลให้คนที่กำลังปั้นแป้งหย่อนใส่หม้อต้องชะงักลง รวิชาหันมองผู้มาใหม่ เห็นเขากำลังหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้อีกฝั่งของโต๊ะอย่างถือวิสาสะราวกับเป็นบ้านของตนเอง แล้วก็รู้สึกหัวใจสั่นไหวแปลก ๆ เธอวางหน้าไม่ถูกว่าควรจะยิ้มแบบไหนระหว่างที่ยกมือไหว้เขา
“บัวลอยไข่หวานค่ะคุณภีม เดี๋ยวกินด้วยกันนะคะ วันนี้คุณหนูอายลงมือทำเองเลยนะเนี่ย”
นมพิมเงยหน้าขึ้นตอบ ตนเพิ่งรู้มาจากรวิวรรณว่ารวิชาต้องหมั้นหมายกับชายหนุ่มคนนี้ ซึ่งตนก็เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะเท่าที่มองดู และรู้จักกันมานาน ภีมพลเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่ทำงานเก่งมีความรับผิดชอบ และไม่เคยเห็นมีผู้หญิงที่ไหนแวะเวียนมาที่บ้านเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งเรื่องนี้ตนยืนยันได้เพราะสนิทสนมกับแม่บ้านในคฤหาสน์หัสวันต์ของภีมพลเป็นอย่างดี
ถึงแม้อายุของภีมพลกับรวิชาจะห่างกันพอสมควร แต่เรื่องอายุไม่ใช่ปัญหาเพราะสมัยก่อนนั้นผู้ชายอายุเยอะกว่าผู้หญิงเป็นสิบ ๆ ปีถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่สำคัญตนเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นที่พึ่งพิงให้กับรวิชาได้
“ถึงว่าสิ นอกจากหอมแล้วยังหน้าตาน่ากินมากเลยนะครับเนี่ย”
ภีมพลพูดพลางมองหน้าที่แดงระเรื่อของสาวน้อยไปด้วย เห็นเจ้าตัวเม้มปากกลั้นยิ้มแล้วหันกลับไปมองหน้าเตาต่อโดยไม่พูดอะไรก็คลี่ยิ้มกว้าง เขาลุกขึ้นแล้วสาวเท้าไปยืนใกล้หญิงสาว ชะโงกหน้าดูในหม้อที่กำลังเดือดปุด ๆ
“มีอะไรให้อาช่วยไหม แล้วที่มันลอยอยู่นี่เรากินได้หรือยัง”
ชายหนุ่มยืนซ้อนหลังรวิชา ตอนที่เขาชะโงกหน้าผ่านไหล่ของเธอนั้นทำให้ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาเป่ารดลงที่ขมับของหญิงสาวพอดี
รวิชาตัวแข็งทื่อ กลั้นลมหายใจโดยอัตโนมัติเพราะความตื่นเต้น ผิวแก้มของเธอร้อนซู่จนลามเลียไปทั่วทั้งผิวหน้า เขาเข้ามาใกล้มากเสียจนเธอได้กลิ่นน้ำหอมสำหรับผู้ชายที่ลอยออกมาจากกายของเขา
“น่าจะกินได้แล้วมั้งคะ นมบอกว่าถ้ามันลอยขึ้นมาแล้วก็แปลว่ากินได้เลย”
รวิชาตอบโดยไม่หันไปมองหน้าเขา จากนั้นก็เอี้ยวตัวหยิบทัพพีแล้วจุ่มมันลงไปในหม้อ คนสองสามทีก็ตักเม็ดบัวลอยขึ้นมาสองเม็ด เธอเป่ามันจนแน่ใจว่าหายร้อนแล้วจึงทดลองชิมจากทัพพีโดยตรง
“อื้ม กินได้แล้วค่ะอาภีม เดี๋ยวน้องอายตักใส่ชามให้เลยนะคะ”
รวิชาฮัมเพลงเบา ๆ ระหว่างเดินไปหยิบถ้วย แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเขาพูด
“รู้รึเปล่าว่าเขาไม่ให้ร้องเพลงในครัว โบราณเขาถือ”
ชายหนุ่มยิ้มกริ่มเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของสาวน้อย จึงขยายความเพิ่มพลางมองใบหน้าเนียนใสด้วยแววตาเป็นประกายวาววาม
“เขาว่ากันว่าคนที่ชอบร้องเพลงในครัวน่ะ จะได้สามีแก่กว่าหลายปี”
ภีมพลยื่นหน้ากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของหญิงสาว ที่เขากล้าทำแบบนี้ก็เพราะนมพิมเดินหายออกจากห้องครัวไปสักพักแล้ว เวลานี้เขากับเธอจึงอยู่ด้วยกันเพียงลำพังในครัว
“มะ...ไม่จริงมั้งคะ คนโบราณคงพูดไปอย่างนั้นเองแหละ จริงสิ! อาภีมเอาไข่ด้วยไหมคะ”
รวิชารู้ตัวเลยว่าตอนนี้ใบหน้าของตนคงแดงก่ำไปถึงไหนต่อไหน เพราะรู้สึกว่าร้อนวูบวาบไปหมด ต้องรีบเฉไฉชวนเขาคุยเรื่องอื่นเสีย แต่ดูเหมือนเขาคงสนุกกับการแกล้งเธอกระมัง ถึงได้วกกลับเข้าเรื่องเดิมจนได้
“อาพูดจริง ไม่เชื่อลองถามนมพิมดูสิ”
ชายหนุ่มระบายยิ้มเต็มวงหน้าพาให้คนมองใจสั่นหวิวไหว รวิชาพยายามบังคับตนเองไม่ให้เผลอยิ้มออกไป และตีหน้างอง้ำส่งให้เขาแทน
“อาภีมน่ะ จะกินไหมคะบัวลอยเนี่ย”
“กินสิครับ แหม...ฝีมือน้องอายทำทั้งที ถ้าไม่ได้ลองกินก็เสียดายแย่สิ อาขอไข่แดงไม่ต้องสุกมากนะ”
ภีมพลหัวเราะขลุกขลักระหว่างกลับไปนั่งที่เดิม ตาคมเฝ้าจับจ้องมองคนที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่หน้าเตาด้วยแววตาอ่อนแสง สองวันที่ผ่านมาเขาขึ้นเหนือไปหาบิดามารดาเพื่อบอกข่าวเรื่องการหมั้นหมาย ช่วงนี้ในหัวของเขามีแต่เรื่องของสาวน้อยคนนี้อยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ที่ไหน หน้าใส ๆ กับนัยน์ตากลมโตเป็นประกายของเธอก็คอยตามไปรบกวนเขาอยู่ทุกที่ จากตอนแรกที่ว่าจะให้บิดามารดาหาฤกษ์ดี ๆ ให้ สุดท้ายเขาเลยต้องอาศัยฤกษ์สะดวกตามความใจร้อนของตนเองในที่สุด
รวิชาตักบัวลอยใส่ถ้วยให้เขา ก่อนจะหันมาจัดการในส่วนของตนเองบ้าง เธอเลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา ก้มหน้าก้มตารับประทานจนแทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มเลยสักนิด แต่อาศัยสังเกตจากหางตาแทน จึงได้รู้ว่าเขาเฝ้ามองเธออยู่ตลอดเวลาจนรู้สึกขัดเขิน และเริ่มไม่รู้รสชาติของขนมหวานตรงหน้าแล้ว
หญิงสาวลุกไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำเปล่าเทใส่แก้วใบหนึ่ง แล้วหันไปถามเขาบ้าง
“อาภีมเอาน้ำอะไรคะ เอาเป๊บซี่ไหม”
ภีมพลชี้แก้วที่รวิชาถือไว้แล้วพูดว่า “เอาน้ำเปล่าเหมือนเรานั่นแหละ”
รวิชาวางแก้วน้ำให้เขาแล้วนั่งที่เดิม กำลังจะตักคำต่อไปเข้าปากก็ต้องชะงักเพราะคำถามของภีมพล
“เย็นนี้ว่างไหม เรามีนัดไปไหนหรือเปล่า” ชายหนุ่มยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ในขณะที่รวิชาส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะถามกลับ
“ทำไมหรือคะ”
“จะชวนไปเลือกแหวนหมั้นกับชุดที่จะใส่ในวันหมั้นน่ะ อาบอกพ่อกับแม่ของเราแล้วว่าวันนี้จะพาไป”
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ