ตอนที่ 7 ครอบครัวแตกสลาย
ฉันถึงกับอึ้งในพฤติกรรมที่แสนจะเห็นแก่ตัวของผู้ชายที่อยู่ด้านข้าง ก่อนที่ความกดดันทุกอย่างจะทำให้ฉันที่ทนไม่ไหวปะทุอารมณ์ที่คับคั่งอยู่ภายในให้ออกมาพร้อมกับน้ำตา...
“ฮึก...ฮึก...ฉันไปทำอะไรให้พวกนายกัน ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้ นี่นายฉันไม่รู้จักนายเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมาให้ฉันรับผิดชอบในสิ่งที่ฉันไม่ได้เป็นคนก่ออย่างนั้นเหรอ นายยังมีความเป็นคนอยู่บ้างไหม ฮึก ฮึก...” ฉันกัดฟันกรอดพูดในสิ่งที่รู้สึกอัดอั้นใส่หน้าผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างออกไปอย่างเหลืออด พร้อมกับมองเขาด้วยสายตาที่นึกรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง
ก่อนที่ฉันจะหันไประเบิดอารมณ์ใส่คนที่ไร้ทั้งหัวใจและไร้ถึงความเมตตา ผู้ชายที่มีดีแค่หน้าตาแต่นิสัยเลวร้ายจนเผลอคิดว่าใครได้เป็นไปคู่ชีวิตชะตาคงสู่ขิตแน่ ๆ
“ส่วนนาย ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่เกี่ยวข้อง ทุกอย่างมันเกิดจากความผิดพลาด ทำไมไม่ฟังกันบ้าง ฮึก...ฮึก...ฉันบอกว่าไม่ได้ทำไง...ฉันไม่ได้ทำเข้าใจกันบ้างซิ...ฮืออออ”
คำพูดที่ระบายออกมาอย่างสุดกลั้น ความอดทนที่มีให้ต่อเหล่าพวกคนเห็นแก่ตัวพวกนี้ ฉันถึงกับไม่สนหน้าอิฐหน้าพรหมตะคอกใส่ผู้ชายที่นั่งทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว อย่างคนที่จนปัญญาแล้วจริง ๆ ที่จะทำให้เขาเชื่อได้
แต่ด้วยสถานการณ์ของฉันในตอนนี้ที่เป็นเหมือนเบี้ยที่ไร้ค่าในหมากเกมแสนสกปรก มีหรือที่คนมีอำนาจจะแยแสสนใจ เขาที่ไม่ได้มีความรู้สึกเมตตาอะไรอยู่แล้วก็ได้เอ่ยคำพูดที่ดูใจร้ายออกมาจากอีกครั้ง และคงจะตั้งใจใช้ให้มันทำร้ายความรู้สึกของฉันจนป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี
“ไม่ต้องมาทำเป็นบีบน้ำตา น้ำตาของมึงมันใช้ไม่ได้หรอกนะ” คนใจไม้ไส้ระกำที่ใจร้ายใจดำขัดกับหน้าตาอันหล่อเหลาอย่างสิ้นเชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา เหมือนกับว่าเขาเห็นฉากตรงหน้าแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แล้วน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งหัวใจเมื่อบวกเข้ากับสายตาที่ส่งมาอย่างไม่มีความปรานีอยู่ในนั้นแล้ว ทำให้แม้แต่เด็กอนุบาลก็รับรู้ได้ในทันทีว่าจุดจบของชีวิตฉันได้มาถึงแล้ว...
"ฮึก...ฮึก...ฮึก..." ฉันก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่างไม่นึกอาย พร้อมกับความรู้สึกที่นึกสมเพชตัวเองในใจที่ทำไมชะตาชีวิตของฉันมันถึงได้บัดซบแบบนี้
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งในอดีต...
ฉันที่เคยมีครอบครัวสมบูรณ์แบบ ที่เหมือนกับใครหลาย ๆ คน ความอบอุ่นในครอบครัวแบบอุ่นบ้างร้อนบ้าง ตามประสาครอบครัวสามัญชนที่มีพ่อ แม่ ลูก อยู่ด้วยกันทั่วไป แต่ถึงครอบครัวฉันจะเป็นแบบนั้น ฉันก็ยังรับรู้ได้ถึงความสุขในฐานะลูกที่พ่อกับแม่มอบให้อยู่ดี
จวบจนกระทั่ง...เมื่อโชคชะตาเริ่มกำหนดให้ฉันต้องเข้าสู่ความโชคร้าย...ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเบื้องบนหรือใครสักคนหนึ่งที่กำหนดชะตาชีวิตของฉันเขาต้องการจะทดสอบความอดทนของฉัน...โดยเหตุการณ์ในวันนั้นมันก็เป็นวันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันไปตลอดกาล...
‘พ่อค่ะ แม่ล่ะคะ...’ ฉันที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านได้ระบายยิ้มสดใสเหมือนเช่นเคย ก่อนจะตะโกนถามหาผู้เป็นแม่กับพ่อของตนออกไป เนื่องจากสงสัยว่าทำไมวันนี้ที่หน้าบ้านถึงมีเพียงรถของผู้เป็นบิดาแค่เพียงคันเดียวเท่านั้น แต่ไม่ยักเห็นรถของผู้เป็นมารดา
‘พ่อค่ะ...’
แต่ทว่า...ความเงียบที่ตอบกลับมาจากผู้เป็นพ่อนั้น กลับทำให้ฉันรู้สึกวูบไหวในหัวใจแปลก ๆ โดยที่ความรู้สึกนั้นก็ทำให้ฉันเลือกที่จะเดินไปหาผู้เป็นบิดาที่น่าจะอยู่ภายในห้องนอนของท่าน...
ตึก...ตึก...ตึก
ทั้งเสียงฝีเท้าและเสียงเต้นของหัวใจที่ดังระคนปะปนจนแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหวาดหวั่นด้วยกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับพวกเขา
กระทั่งฝีเท้าฉันได้ก้าวมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูห้องนอนของพ่อกับแม่ ประตูที่ถูกแง้มเอาไว้จนมีแสงไฟเล็ก ๆ สาดออกมานำทาง ฉันที่รู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าภายในห้องนั้นจะต้องมีพ่อของฉันอยู่อย่างแน่นอน
แอ๊ดดดด...
‘พ่อค่ะ...มะ...แม่ล่ะ...ค่ะ...’ และทันทีที่ฉันเปิดประตูเข้าไป อีกทั้งยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยค เสียงสะอื้นของผู้เป็นบิดาก็สวนออกมาแทบจะในทันที
ฮึก...ฮึก...ฮืออออออ ~~
ภาพของพ่อที่นั่งร้องไห้น้ำตาไหล พร้อมกับถอดสายตามองไปยังตู้เสื้อผ้าที่แหว่งหายไปหลายส่วน อีกทั้งเมื่อลองสังเกตดูดี ๆ ก็จะพบว่าในตู้เสื้อผ้าใบเดียวกันนี้เหลือเพียงเสื้อผ้าที่บ่งบอกว่าเป็นของผู้ชายเท่านั้น
และความจริงที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็ทำให้ฉันในวัย 13 ปี รู้ดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร...
แม้จะตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นได้รับรู้ แต่ด้วยสัญชาตญาณของลูกที่ผุดขึ้นมาว่าต้องรีบเข้าไปปลอบประโลมคนตรงหน้าให้เร็วที่สุด ทำให้วินาทีนั้นฉันต้องรีบรวบรวมสติที่หลุดลอยออกไปให้กลับมา จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็นบิดาแม้จะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มปลอบโยนท่านอย่างไร
นั่นก็เพราะว่า...ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของฉันพักหลัง ๆ นี้พวกท่านมักมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง เพียงแต่ฉันไม่นึกว่ามันจะลงเอยแบบนี้
‘พะ...พ่อ...ค่ะ’ ฉันเอ่ยเรียกผู้เป็นบิดาด้วยเสียงอันแผ่วเบา พร้อมกับมืออันสั่นเทาที่ยื่นออกไปจับยังมือของท่านด้วยความระมัดระวัง และด้วยการสัมผัสของฉันก็ทำให้สายตาที่กำลังทอดเหม่อลอยออกเมื่อครู่นั้นหันกลับมาโฟกัสยังใบหน้าจิ้มลิ้มที่ละม้ายคล้ายกับคนที่ทิ้งเขาไปอยู่หลายส่วน
‘ลิน อยู่กับพ่อได้ใช่ไหมลูก’ ประโยคสั้น ๆ ที่ออกมาจากปากผู้เป็นบิดา แต่ช่างบาดลึกกรีดลงไปยังหัวใจดวงน้อย ๆ ของฉัน และถึงแม้จะเจ็บปวดแต่ฉันก็ทำได้เพียงพยักหน้าตอบช้า ๆ ก่อนจะแนบใบหน้าลงไปที่ตักของผู้เป็นบิดาอย่างเศร้าใจ
ฉันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาต่อหน้าผู้ชายที่หัวใจกำลังแตกสลายตรงหน้า ก่อนที่จะรอสักพักแล้วค่อยขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยไม่ลืมที่จะเริ่มจัดการความคิดตัวเองใหม่อีกครั้งในวันที่ไม่มีแม่อยู่ข้างกายอีกแล้ว...
นับจากวันนั้น ฉันก็เลือกที่จะทำตัวให้เป็นปกติเหมือนเดิม แม้ว่าทั้งที่ความจริงแล้วหัวใจที่อยู่ข้างในมันจะแตกสลายไปแล้วก็ตาม แต่เพื่อที่จะไม่ให้พ่อต้องมาเป็นกังวลหรือเป็นห่วงฉัน ฉันจึงคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ส่วนแม่ที่หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย...ฉันคิดว่าท่านก็คงตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไปแบบไม่หวนกลับมาอีก นั่นก็เพราะว่านับตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีแม้กระทั่งการติดต่อกลับมา หรือส่งสัญญาณกลับมาว่าท่านนั้นยังคงคิดถึงฉันและคิดว่ายังมีฉันเป็นลูกอยู่อีกเลย
แต่ทว่า...เหนือสิ่งอื่นใดคงไม่มีใครรับรู้ว่าการทำตัวเป็นปกติของฉันต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นได้สร้างบาดแผลและความเจ็บปวดจนมันค่อย ๆ กัดกินเด็กสาวที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไปทีละนิดๆ และความรู้สึกที่เริ่มจะด้านชาก็ก่อตัวขึ้นทีละน้อย ๆ ฉันที่กักเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ในใจและพยายามกดมันไว้ให้ลึกที่สุด โดยเฉพาะความว่างเปล่าที่เริ่มกลืนกินความสดใสของวัยสาวให้มอดดับลงไป
...นับตั้งแต่ที่แม่จากไปไม่ลา...
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ