นิสิตนักศึกษาสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นส่วนสูงตามมาตราฐานเดินเข้าไปในตึกเรียนระหว่างทางเดินผ่านล็อบบี้ก็ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ที่อยู่ในมือไปด้วยเหมือนกับหลายๆคนที่กระทำในลักษณะเดียวกัน จะด้วยธุระด่วนหรือไม่ใช่ธุระก็ตามแต่ทุกคนล้วนก้มหน้าราวไม่อยากรับรู้อะไรรอบๆตัวเลย และด้วยความที่สายตาจดจ่อมัวสนใจแต่สิ่งที่อยู่ในมือจนทำให้ไม่ได้มองทางอย่างที่ควรจะเป็น อาศัยเพียงสัญชาติญาณในการก้าวเดินจึงทำให้ชนกับคนที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเต็มๆแรงปะทะที่ไม่เบานักส่งผลให้หนังสือเล่มหนาหลุดร่วงลงสู่พื้นหินอ่อนในทันที ด้วยอารามกำลังตกใจพลันดวงตาสดใสสีน้ำตาลอัลมอนด์ก็เบิกกว้างพร้อมร้องอุทานออกมาเบาๆ
“โอ๊ะ! ขอโทษนะคะที่เดินชนคุณ” เสียงหวานใสกล่าวขอโทษพร้อมก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิดแล้วรีบหย่อนสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดลงไปในกระเป๋าสะพายทันทีก่อนจะก้มลงไปเก็บหนังสือเรียนเล่มหนาที่พื้น สถานการณ์ตอนนี้คือไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ว่าเขาคนนี้จะโกรธเธอไหมเพราะเขานิ่งมากทั้งสีหน้าและแววตาเหมือนว่าเขากำลังประเมินอะไรเธออยู่สักอย่าง ฮือ ไม่ได้ตั้งใจชนก็บอกไปแล้วไง โอดครวญกับตัวเอง ว่าควรรีบเดินหนีไปเลยดีไหม เขาอยากไม่ยอมพูดด้วยดีนัก แต่อีกใจก็ภาวนาอย่าให้เคืองเธอเลย
“วันหน้าวันหลังคุณควรจะเดินมองทางไม่ใช่มัวแต่กดโทรศัพท์แบบนี้นะครับ เพราะการเดินอย่างไม่ระมัดระวังมันอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงโดยที่เราไม่ทันได้คาดการณ์ ฉะนั้นจงอย่าใช้ชีวิตประมาทเป็นดีที่สุด” เสียงทุ้มนุ่มลึกกึ่งวางอำนาจนิดๆ กล่าวเตือนนิสิตสาวตรงหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังอบรมสั่งสอนเด็กไม่ประสาอย่างปรารถนาดี ไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาแต่อย่างใด การพูดยาวๆกับคนไม่รู้จักไม่ใช่นิสัยที่ทำเป็นประจำ ครั้งนี้อดไม่ได้ที่จะเตือนสติเด็กติดมือถือเขาเลยต้องทำสิ่งตรงกันข้ามกับนิสัย
ดวงตาสีดำคมกริบหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเกิดคุ้นหน้าขึ้นมาครามครัน เขาว่าเขาเคยพบหน้าเจ้าหล่อนมาแล้วในที่ไหนสักแห่งหนึ่งหรือว่าอาจเดินสวนกัน ซึ่งเขาจำไม่ได้ว่ามันคือสถานที่ใด แวบหนึ่งของความคิดที่ผ่านเข้ามาบอกกับเขาว่าไม่น่าใช่หรอก เธอเป็นแค่คนหน้าเหมือนใครสักคนที่คุ้นหน้าเท่านั้นจะไปคิดอะไรมาก
“เข้าใจไหมครับ”
“ค่ะ” หน้าม่อยๆพยักลงหงึกหงัก ริมฝีปากขบกันเบาๆ ยอมรับฟังแต่โดยดีไม่คิดที่จะเถียงเพราะสิ่งที่เขาตักเตือนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิดเลยสักนิด คนที่ผิดเต็มๆน่ะคือเธอคนเดียวเท่านั้นและรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเขาไม่ได้ว่าอะไรแรงๆให้เจ็บช้ำน้ำใจ ตอนพูดเขาดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีมากกว่าตอนทำหน้านิ่งๆอีก เอ ใช่สิ เขาคือใครกันนะ ใช่อาจารย์รึเปล่า ถ้าใช่นี่เธอไม่คุ้นหน้าเลย
ชายหนุ่มมองใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราอย่างพินิจพิจารณาถี่ถ้วน ผิวเนียนผุดผ่องละมุนละไม ผมยาวดกดำถึงกลางหลัง ดวงหน้ารูปไข่
คิ้วเรียวได้รูปเหมือนดั่งคันศร ดวงตากลมโตงามขลับ ลูกตามีสีอัลมอนด์ จมูกโด่ง ปากสวยอิ่มเต็มสีชมพูระเรื่อ ทาเพียงลิปกลอส ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่สายเลือดไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เจ้าตัวเหมือนกำลังคิดอะไรอย่างหนักพลางช้อนสายตากลมโตหวานซึ้งชวนให้จับจ้องขึ้นมาสบประสานด้วย เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก พยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะก้าวขาเดินตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แต่ความมั่นคงนั้นมันแฝงไปด้วยความแปลกใจในตนเองไม่น้อยที่ดันจดจำรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้ในเวลาไม่นาน
“แกนี่ถ้าจะเป็นเอามากนะอนาวินทำยังกับไม่เคยเจอผู้หญิงสวยๆอย่างนั้นแหละ” เสียงทุ้มต่อว่าตนเองแล้วพยายามเลิกสนใจเบี่ยงเบนความคิดถึงเรื่องอื่นแทน พอลิฟต์โดยสารมาความคิดทุกอย่างก็ถูกจัดระบบใหม่กลับไปเหมือนเดิมอีกครั้ง
ประตูห้องเรียนที่เปิดกว้างเอาไว้ต้อนรับเพื่อนคนอื่นๆที่ทยอยเดินเข้ามาไม่ขาด และไม่น้อยที่ต่างจับจองพื้นที่นั่งคุยกันหน้าสลอนอย่างครื้นเครง ออกรสออกชาติราวนกกระจอกแตกรัง โดยเว้นที่ว่างตรงด้านหน้าเอาไว้ให้คนมาช้าที่ไม่มีสิทธิ์เลือก สายตาหลายคู่โดยเฉพาะหนุ่มๆพุ่งเป้ามายังนิสิตสาวสวยผิวขาวอมชมพูราวไข่มุกเนื้อดีเปล่งออร่าทอประกายเจิดจรัสให้ผู้คนสนใจที่กำลังเดินเฉิดฉายเข้ามาด้านในด้วยแววตาชื่นชมปนหลงใหลได้ปลื้มอย่างไม่มีใครเก็บอาการ ซึ่งเจ้าตัวก็โปรยรอยยิ้มหวานทักทายคนที่รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้างอย่างไม่เย่อหยิ่งหรือถือตัวว่าสวยต้องทำหน้าเชิดแต่อย่างใด ชุดนักศึกษาที่สวมใส่ก็ไม่ได้รัดติ้วขับเน้นสรีระในส่วนใดส่วนหนึ่งมากเป็นพิเศษแต่ก็ไม่ได้หลวมโพรกจนเกินไป มันพอดีกับเรือนร่างอ้อนแอ้นได้อย่างชวนมองโดยไม่ต้องเปิดเผยเนื้อตัวมาก
“สวัสดีครับจัสมินคนสวย”
“นั่งข้างเราไหม”
“หัวใจเรายังว่างนะครับจัสมิน”
“อยากไปไหว้ป๋าเธอที่บ้านจัง”
“อยากไปสวัสดีพ่อเขาถามพ่อเขารึยังว่าอยากรับไหว้แกไหม”
คนโดนแซวยิ้มรับอย่างขำๆอยากจะโต้ตอบกลับไปเหลือเกินว่าแน่ใจนะเรื่องที่อยากไปสวัสดีป๋าน่ะแต่ก็ได้แค่คิดเพียงในใจเท่านั้น พลางก้าวขายาวๆตรงดิ่งมาหาเพื่อนสนิทที่นั่งคุยจ้อกันอยู่ก่อนแล้ว เธอค่อนข้างคุ้นชินกับบรรดาหนุ่มๆทั้งหลายที่คอยแต่จะแจกขนมจีบแบบไม่จริงไม่จังหรือบางคนอาจจะจริงแต่เธอไม่รับรู้เพราะจัสมินคนนี้ไม่เคยสนใจใครเป็นพิเศษ
“คล้ายกันนิดหน่อยก็ไม่ได้ด้วยเหรอคะ พี่เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเมียพี่หวงสามีแม้กระทั่งคำพูด” อนาวินนิ่วหน้าคล้ายไม่ทันเกมของภรรยาแสนดื้อที่ชักจะเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวัน“ต้องหวงสิคะ กับสามีนี่ยิ่งต้องหวงหนักเลย เพราะว่ามันมีค่าลิขสิทธิ์ พี่วินต้องจ่ายค่าปรับให้แก่หนูซึ่งก็คือรองเท้าคู่ใหม่ที่เพิ่งวางขายไปเมื่อวานนี้สักสองคู่เป็นอย่างต่ำ น้อยกว่านี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ทราบว่ายินยอมพร้อมใจที่จะตอบโอเคเลยไหมคะสามีขา” ถึงไม่ใช้วิธีนี้แกล้งเขา แค่เพียงเธอเอ่ยปากบอกว่าอยากได้มันมาครอบครองพี่วินก็ยอมซื้อให้แล้ว“นี่พี่ต้องโดนอีกแล้วใช่ไหมคะเนี่ย” เขาแกล้งทำสีหน้าสลดไปอย่างนั้นเพื่อเพิ่มสีสัน ใจนั้นยินดีจะจ่ายค่าปรับแสนแพงให้อย่างไม่มีเงื่อนไขอยู่แล้ว“จะไม่ยอมจ่ายให้หนูเหรอคะ”“ตรงกันข้ามจะรีบจ่ายให้ทันทีเมื่อกลับเข้ากรุงเทพ”“มันต้องแบบนี้สิคะสามีขา” มือเรียวประคองใบหน้าคมสันไว้แล้วจุมพิตแบบไม่มีกั๊ก หัวเราะคิกเมื่อถูกอนาวินยึดแก้มไว้แล้วระดมจูบกลับคืนมาชุดใหญ่“รักเมียขานะคะ”“หนูก็รักสามีขานะคะ”อนาวินรัดร่างกลมกลึงที่ยังคงนอนอยู่บนตัวเขาเอาไว้แน่น อากาศที่ค่อนข้างร้อนกลับไม่ส่งผลให้ทั้งสองคนอยากแยก
อนาวินพลิกตัวนอนหงายเพื่อรองรับร่างกายนุ่มนิ่มไปทุกสัดส่วนที่ปีนป่ายขึ้นมานอนทับอยู่บนตัวแทนการนอนแคร่ไม้ไผ่ โดยแนบแก้มหอมกรุ่นกลิ่นแป้งเด็กไว้ตรงหัวไหล่ข้างหนึ่ง ไม่ได้หลับหรือละเมอแต่กำลังตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือในมือ เดิมทีแค่พาดขาก่ายแต่ตอนนี้ภรรยาตัวน้อยปรับเปลี่ยนท่าทางอีกแล้ว พลางชะโงกหน้าจูบที่ขมับบางอยู่หลายครั้งติดอย่างมันเขี้ยวปนเอ็นดูเมียรัก ยกมือขึ้นลูบไล้เส้นผมนุ่มสลวยสูดหอมละมุนเข้าปอดอย่างชื่นใจ เขาชอบที่จะให้จัสมินคลอเคลียทำตัวติดกัน และไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น คนสวยของเขาก็ชอบเกาะติดสามีขาเช่นเดียวกัน วันไหนที่มีเหตุไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ไม่เป็นอันทำงานทำการอะไรเท่าไหร่ เพราะเอาแต่โทรหากันจนเครือข่ายโทรศัพท์ไฟแทบลุกไหม้ เนื่องจากไม่ได้พักผ่อนคู่สาย อันนี้เขาไม่ได้พูดเองแต่น้องสาวสุดที่รักเป็นคนค่อนขอด“พี่วินขา หนูอยากกินกีวีจังเลยค่ะ ป้อนหนูหน่อยค่ะสามีขา” เสียงใสร้องบอกสามีสุดที่รักโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่หน้านิตยสารแฟชั่นฉบับล่าสุดของเดือนนี้ ไม่ได้ชื่นชอบแฟชั่นจ๋าก็จริง แต่อะไรที่ออกมาใหม่แล้วโนจัสมินคนนี้ก็ไม่เคยพลาด“อ้าปากค่ะ” กีวีชิ้นพอดีคำยื่นมาจ่อตรงปากสีสดทั
“ง่วงจังค่ะสามีขา” จัสมินเอนแผ่นหลังพิงอกสามีที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังอย่างผ่อนคลาย “ยังไม่ให้ง่วงตอนนี้หรอก” ใบหน้าคมสันยื่นจูบเรียวปากสวย เลาะเล็มชิมความหวานสลับดูดเม้มตามจุดที่พึงปรารถนา พลางเคล้นคลึงดอกบัวตูมปริ่มน้ำ ขับไล่ความง่วงงุนที่เริ่มเข้ามาเกาะกินจัสมินให้กระเด็นออกไปไกล ๆ“อืม” เสียงครางยาวดังขึ้นเมื่อคนเกียจคร้านและอยู่ในอาการอยากนอนถูกปรับเปลี่ยนการนั่งจากหันหลังให้แก่กัน กลายเป็นนั่งคร่อมตักกว้างเอาไว้ พลางแนบซบใบหน้าผุดผาดกับซอกคอแกร่ง โดยมีฝ่ามืออบอุ่นคอยลูบไล้ “สองรอบแล้วสามีขาจะให้เมียขานอนตามสบายโอเคไหมคะ” จุมพิตลาดไหล่เนียน ซุกไซ้หลังลำคอ พลางโยกร่างบอบบางบนตักให้ร่างกายได้เสียดสีกัน“กินมากเดี๋ยวจุกกันพอดีค่ะ” อนาวินหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดูก่อนจะจูบเม้มที่เรียวปากจิ้มลิ้มฉ่ำวาว “จุกไม่กลัว พี่กลัวจะกินไม่อิ่มมากกว่า” ตอบคนช่างฉอเลาะที่ผงกศีรษะขึ้นมาตวัดค้อนอย่างน่ารัก เขายิ้มรับและก้มหน้าลงครอบอครองยอดอกสีหวานแทน “งื้อ” จัสมินครางเสียงหงุงหงิง แล้วแอ่นตัวไปด้นหลังอย่างเผลอไผล เป็นการเปิดทางให้คนหิวได้กินถนัดถนี่มากกว่าเดิม และเหมือนน้ำอุ่นมันจะร้อนขึ้นด้วย“ขา
“พี่วินชักจะเอาแต่ใจเกินไปแล้วนะคะ” ต่อว่าสามีเสียงเง้างอด และเตรียมตั้งท่าจะขยับกายลงจากเตียงเมื่อสามีสุดที่รักล่าถอยห่างออกไปหลายก้าว ภายใต้บุคลิกนิ่งเฉยที่พี่วินแสดงออกมันเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น“พี่เอาแต่ใจกับเมียผิดด้วยเหรอคะ เอาล่ะเลิกต่อว่าสามีขาได้แล้ว พี่พาไปล้างตัวดีกว่า แต่เห็นทีพี่คงไม่สามารถบริการหนูทั้งในชุดนี้ได้คงต้องถอดมันออกก่อน” มือใหญ่เริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ภรรยาช่างอ้อนและช่างเอาใจเลือกให้ใส่ ยิ้มใส่นัยน์ตาคู่สวยที่ตวัดค้อนให้ควักอย่างมันเขี้ยว “ถ้าลุกหนีคืนนี้พี่จะทำโทษทั้งคืนนะคะ โปรแกรมเที่ยวที่วางเอาไว้ก็ยกเลิกด้วย จะคิดว่าพี่แค่ขู่ก็ได้นะ” เท่านั้นแหละหน้างอง้ำเป็นจวักตักแกงเลย “ใจร้าย” ทำปากยื่นแล้วยกแขนเกี่ยวคอให้สามีอุ้มอย่างไม่อิดออดหรือเล่นตัว มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องยอมให้ท่านประธานใหญ่เขาบริการให้ตามใจชอบ ดีจะตายมีคนคอยอาบน้ำขัดตัวให้ถึงแม้จะมือปลาหมึกไปหน่อยก็ตาม“พี่เคยใจร้ายจริงจังสักกี่ครั้งหืม” อนาวินพาภรรยาสาวน้อยมายืนใต้ฝักบัว สายน้ำเย็นฉ่ำที่รินรดช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ร่างกายสดชื่น ใบหน้างามเลยผุดเผยรอยยิ้มกว้างกระจ่างใส เลยทำให้เขาพลอยยิ้
“นอนหงายหน่อยดีไหมคะ” “พี่วินไม่ฟังหนู”“พี่อยากเป็นคนนวดให้จัสมินด้วยตัวเองค่ะ เรื่องงานพี่ไว้ทีหลังได้เอาตามที่พี่พูด ตกลงไหมครับ” เขาชอบที่จะเอาใจเมียแบบนี้ ไม่ว่าใครจะมีความคิดเห็นอย่างไรเขาไม่เคยเก็บมาใส่ใจหรือใส่สมองให้มันเปลืองพื้นที่โดยใช่เหตุ เขาอยากให้จัสมินได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดเท่าที่ตนเองจะทำให้ได้“หนูขัดพี่วินไม่เคยได้เลย” พูดเสียงยุ่งแต่ก็ยอมพลิกกายนอนหงายตามที่สามีแนะนำ คนที่กลืนน้ำลายกลายเป็นอนาวินเมื่อดอกบัวตูมของเขาผลิบานไร้สิ่งปกปิดความงดงาม ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ค่อยชอบใจที่จะให้ภรรยาตนเองมานอนนวด แม้จะอยู่ในโรงแรม ห้องหับมิดชิด คนดูแลมีอายุก็ตามอนาวินลงมือกับความเต่งตึงของก้อนเนื้อที่นูนเด่นขึ้นมาทั้งสองข้างอย่างตั้งใจ ลำคอแห้งผากขึ้นมากะทันหัน เห็นอยู่ทุกวันและสัมผัส ทุกวันอีกเช่นกัน ก็ไม่อาจทำให้หายจากอาการตื่นเต้นได้ แต่ก็ยังคงควบคุมอาการของตัวเองได้เป็นอย่างดี ส่วนฝ่ายคนได้รับการบริการระดับพรีเมียมจากท่านประธานใหญ่เริ่มบิดกายเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยปิดสนิท ริมฝีปากขบกัน หน้าท้องแบนราบแขม่วเกร็งเป็นระยะ ตรงส่วนนี้แม้แต่ป้าสายก็ไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้อง มีแ
ก่อนที่เราสองคนจะแต่งงานกันพี่วินงอแงหัวเสียแทบทุกวัน เหตุผลคืออยากนอนกอดทุกคืนแต่ทำอย่างใจคิดไม่ได้ ในระยะหลังจึงชอบหาข้ออ้างในการไปทำงานต่างจังหวัดแล้วพาเธอไปโน่นไปนี่ด้วยเป็นประจำ แถมยังชอบจับกินด้วย ยิ่งวิชาที่ลงเรียนก่อนจะจบมีแค่สองตัวด้วยเลยทำให้มีเวลาว่างเยอะ พี่วินเลยหอบหิ้วพาไปเที่ยวด้วยได้อย่างที่วางแผนเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า และถึงอย่างนั้นใช่ว่าป๋าจะยอมโดยง่าย ทุกครั้งที่ไปจะต้องมีเพื่อนรักตามติดก้นไปด้วยเสมอ โดยที่ป๋าท่านไม่ทราบเลยว่าเพื่อนรักของลูกสาวคนนี้น่ะเข้าข้างพี่วินมากกว่าป๋าที่บอกกันว่ากลัวนักกลัวหนาซะอีกและถึงจะแต่งงานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ป๋าก็ยังคงเขม่นพี่วินอยู่แต่น้อยกว่าเดิมเยอะเลย เพราะพี่วินเขาเข้าไปช่วยป๋าทำงานด้วยน่ะสิ มามี๊เลยชอบหยอกล้ออยู่บ่อยครั้งว่าอย่างนี้จะไม่รักลูกเขยแสนดีคนนี้ได้ยังไงไหว ส่วนเธอการปรับเปลี่ยนตัวเองหลังจากแต่งงานเธอก็ไม่ต้องปรับอะไรมากนอกเสียจากทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเพื่อให้สมกับตำแหน่งภรรยาของท่านประธานใหญ่ แต่พี่วินเขาบอกว่าอยากให้เธอเป็นเธอมากกว่า ไม่ว่ายังไงก็รักไม่เปลี่ยนแปลง อบอุ่นหัวใจเมื่อสามีบอกรักแทบทุกเวลาอา...