หน้าหลัก / รักโบราณ / บ่าวหญิงของศิษย์รัก / บทที่ 5 : นางทำให้ข้าจำต้องเริ่มใหม่

แชร์

บทที่ 5 : นางทำให้ข้าจำต้องเริ่มใหม่

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-12 17:37:34

เช้าวันใหม่ในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเริ่มต้นด้วยเสียงเก็บถาด ล้างหม้อ และกลิ่นหอมของข้าวร้อนผสมกลิ่นซุปสมุนไพรอ่อน ๆ ดังลอยปะปนกับเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เดินขวักไขว่ เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าหม่น เดินอยู่ท่ามกลางนั้นอย่างเงียบ ๆ มือขาวนวลของนางถือตะกร้าผักแนบอก ท่าทางไม่ต่างจากสาวใช้คนอื่น ทว่าในแววตายังเจือร่องรอยของความอึดอัดบางประการ

เมื่อเดินเข้าไปในห้องครัว นางเห็นพี่หลินกำลังสั่งให้สาวใช้อีกคนปอกขิง เตรียมพริกแห้ง และล้างชามดินเผา

“เสี่ยวซุ่ย” พี่หลินเรียกเสียงนิ่งตามเคย “วันนี้เจ้าช่วยต้มถั่วเขียวในหม้อใหญ่นั่น ข้าจะทำข้าวต้มถั่วเป็นมื้อเช้า”

“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเรียบ ก่อนจะเดินไปที่หม้อขนาดใหญ่ ตั้งน้ำ ตวงถั่วตามที่คิดว่าเคยเห็นคนทำมาก่อน ทว่าขณะจะจุดไฟ นางกลับจ้องไม้ฟืนอยู่นานอย่างประหลาด

ไม่น่าจะยาก... เซียนอายุนับพันในร่างเด็กสาวคิดในใจ ก่อนจะพยายามจุดไฟโดยใช้หินเหล็กและฟืนแบบชาวบ้าน แต่หลังพยายามอยู่ครู่ใหญ่ เปลวไฟกลับยังไม่ติดดีนัก ควันกลับฟุ้งขึ้นเต็มหน้า และเมื่อนางพยายามเติมถั่วในน้ำต้ม ก็พลาดทำตกกระเด็นครึ่งถุงจนกลิ้งเต็มพื้นหิน

“อ๊ะ…” นางอุทานเบา ๆ พลางก้มลงเก็บถั่วเขียวทีละเม็ด ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ต่างจากเมื่อวันก่อนที่ดูมั่นคง ทำเอาพี่หลินที่เดินผ่านมาเห็นเข้า ต้องถอนใจเบา ๆ “ค่อย ๆ ทำนะเสี่ยวซุ่ย ถ้าไม่มั่นใจก็เรียกให้ช่วย ไม่ต้องฝืนคนเดียว”

“เจ้าค่ะ ข้าจะระวัง” เสี่ยวซุ่ยรับคำเสียงเบา นางไม่กล้าบอกว่าก่อนหน้านี้เคยใช้เพียงพลังภายในควบคุมไฟและเคลื่อนวัตถุ จนไม่เคยต้องใช้แรงกายจุดฟืนจริง ๆ มานานนับพันปีจนจำวิธีไม่ได้

เมื่อพ้นจากงานครัว นางก็ช่วยเช็ดโต๊ะและยกน้ำชาให้แขก บางครั้งทำได้ดี แต่บางครั้งก็น้ำล้นถ้วย หรือเดินเฉี่ยวแขกเข้า จนเกือบสะดุดล้ม ต้องรีบขอโทษขอโพย

ผู้คนมองนางเป็นเพียงสาวใช้มือใหม่ที่ขยันแต่ยังเก้ ๆ กัง ๆ ไม่มีใครล่วงรู้ว่าในใจของเสี่ยวซุ่ยนั้นแสนจะสับสน

บางอย่างข้ายังทำได้ บางอย่างก็ไม่ได้ ต้องทดสอบตัวเองสักหน่อยว่ายังทำอะไรได้บ้าง ลั่วชิงคิดในใจ

หลังเลิกงานช่วงเย็น เสี่ยวซุ่ยกลับมานั่งคนเดียวในห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่ถูกจัดไว้ให้นางใช้พักผ่อนระหว่างที่กำลังอยู่ในช่วงทดลองงาน นางถือแผ่นไม้กระดานกับถ่านไม้ขึ้นมาวางบนพื้น แล้วค่อย ๆ เขียนชื่อ "ลั่วชิง" ลงไปด้วยลายมือของตน

แต่ทันทีที่ตัวอักษรสัมผัสพื้นไม้ ความเจ็บวาบกลับแล่นผ่านปลายนิ้ว ราวกับเส้นประสาททั้งร่างสะท้าน นางสะดุ้งเงยหน้าขึ้นทันที

“ไม่ได้... แม้แต่ชื่อของข้าก็เขียนไม่ได้...” นางพึมพำเบา ๆ ดวงตาเริ่มมีแววเศร้าแฝงความตระหนกอยู่ลึก ๆ

นางเปลี่ยนมาลองเขียนคำอื่น ๆ เขียนได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนมากจะเป็นคำง่าย ๆ เช่น ข้าว น้ำ ชา ผ้า มือ โต๊ะ ฟืน ล้าง ปิด เปิด นายหญิง ห้อง ส่วนคำยาก ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับชีวิตธรรมดา เช่น ลมปราณ พลังวัตร เซียน เวทมนตร์ ยันต์ มือของนางจะเจ็บขึ้นมาจนไม่อาจจะเขียนได้ต่อไป

“นี่หรือคือขอบเขตของข้าในตอนนี้... มีบางอย่างที่ทำได้... มีบางอย่างที่แม้เริ่มจะเขียนก็เจ็บ” ลั่วชิงก้มหน้าลงอย่างเงียบ ๆ

หากมีโอสถฟื้นพลังอยู่สักเม็ด… ข้าคง... นางคิดในใจ ทว่าสิ่งที่หลุดออกจากปากกลับไม่ใช่เช่นนั้น

“หากมี… ถั่วแดงต้มหวาน… ข้าคงอิ่มกว่านี้…”

ลั่วชิงในร่างเสี่ยวซุ่ยกระพริบตาถี่ หัวใจเต้นเร็วขึ้น สองมือกำชายเสื้อแน่น

“ไม่ใช่… ข้าไม่ได้จะพูดเช่นนั้น…”  เสี่ยวซุ่ยกัดริมฝีปากแน่น ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มแทรกขึ้นในหัวใจ

ข้าว่า…ข้าควรเริ่มวาดยันต์วงจรอักขระเพื่อกระตุ้นนางพยายามคิด ทว่าสิ่งที่ออกมาจากปากกลับเป็น

“ข้าควรเริ่มเย็บผ้ารูปวงกลม…ไว้ทำผ้ารองถ้วยชา…”

คำพูดแปลกประหลาดนั้นหลุดจากปากไปอีกครั้ง ทั้งที่ใจนางไม่ต้องการจะพูดแบบนั้นเลย นางกัดฟันกรอก รู้ตัวเองดีว่านางไม่ใช่เซียนอีกต่อไปในเวลานี้

ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นด้านนอก ก่อนที่บานประตูห้องจะเคาะเบา ๆ สองที

“เสี่ยวซุ่ย อยู่หรือไม่?” เสียงนุ่ม ทุ้ม ดังมาจากอีกฟากของประตู นางลุกขึ้นเปิดประตู ก็พบกับใครบางคนยืนถือถุงผ้าอยู่ในมือ ดวงตาของเขามีแววกังวลบางอย่าง

เขาเป็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบต้น ๆ ผู้มีรูปลักษณ์ที่ไม่ได้งามหยาดเยิ้มหรือสูงศักดิ์เยี่ยงคุณชาย แต่กลับน่ามองในแบบที่หาได้ยากในผู้คนธรรมดา ผิวสองสีคล้ำแดดจากการทำงานกลางแจ้งเป็นประจำ แต่กลับดูสะอาดสะอ้านและสุขภาพดี คิ้วของเขาเข้มเป็นเส้นชัด จมูกของเขาไม่โด่งเด่น แต่ได้รูปดี รับกับริมฝีปากบางสีซีด เส้นผมของเขาดำสนิทมัดไว้ลวก ๆ ด้านหลัง อย่างชายหนุ่มที่ไม่ได้ใส่ใจรูปลักษณ์นัก

นางจดจำชื่อเขาได้ เขาเป็นบ่าวหนุ่มคนหนึ่งในโรงเตี๊ยมนี้ เหมือนว่าพี่หลินจะเรียกเขาว่า “เฉินอี้” นั่นคงเป็นนามของเขา

“พอดีข้าเห็นเจ้าดูเหนื่อย ๆ ตอนทำงาน เลยเอาเกี๊ยวเหลือจากห้องครัวมาให้กินรองท้อง”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนส่งถุงให้กับเด็กสาว

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยรับไว้พลางโค้งศีรษะ รู้สึกอบอุ่นประหลาดในใจ เมื่อถูกใครสักคนให้ความใส่ใจ แม้ตอนนี้นางจะไม่ใช่ผู้ทรงอำนาจในสายตาของผู้ใดเลยก็ตาม

“เจ้าสบายดีใช่ไหม?” เฉินอี้ถามต่อ “ข้าเห็นเจ้าทำงานหนักทั้งวัน โดนว่าอะไรก็ไม่เคยบ่นเลยสักครั้ง…”

“บางครั้ง ข้าก็กลัวเหมือนกันเจ้าค่ะ… กลัวว่าจะทำอะไรไม่ดีพอ” เสี่ยวซุ่ยตอบเสียงเบา

“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าน่ะทำดีที่สุดในแบบของตัวเองแล้วล่ะ” เฉินอี้ยิ้มเบา ๆ พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ “ข้าเองก็เคยเป็นเด็กฝึกงานมาก่อน ล้างชามทำตกนับสิบใบ พี่หลินบ่นเกือบทุกวัน”

“แต่พอฝึกฝนเรียนรู้บ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชินไปเอง ถ้าเจ้าอดทนไหว วันหนึ่งเจ้าก็จะชำนาญมาก ๆ เลย อดทนไว้ ขยันหมั่นเพียรเรียนรู้ เดี๋ยวก็ผ่านไปได้”

ชายหนุ่มให้กำลังใจ ทำเอาเสี่ยวซุ่ยยิ้มบาง ๆ ยามได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น แม้ในใจของนางจะไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาเช่นที่คนอื่นคิด แต่นาทีนี้ นางกลับรู้สึกเหมือนได้รับ “คำสอน” ที่อ่อนโยน เหมือนครั้งยังเป็นผู้ฝึกตนก่อนจะบรรลุเป็นเซ๊ยน

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางกล่าวกับเขาอีกครั้ง ด้วยเสียงแผ่วเบา แต่จริงใจ

เฉินอี้พยักหน้า ก่อนจะหันหลังกลับไป นางมองแผ่นหลังของเขาจนลับตา แล้วจึงค่อย ๆ ปิดประตูลง กลิ่นของเกี๊ยวยังอุ่นในถุงผ้า และในหัวใจนางเอง ก็คล้ายอบอุ่นขึ้นเช่นกัน แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ราวกับกองไฟน้อย ๆ กลางพายุหิมะที่ซูหรงได้ทำขึ้นมา

นางก้มลงมองมือของตนเองอีกครั้ง มือที่เคยวาดอักขระเคลื่อนย้ายพลังจักรวาล บัดนี้เหลือเพียงมือของเด็กสาวที่เผลอทำน้ำล้นถ้วยไปเมื่อเช้า

“หากนี่คือการใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา... ข้าก็คงต้องเริ่มใหม่... เช่นเดียวกับศิษย์ของข้าในวันวานกระมัง...”

เซียนหญิงในร่างบ่าวกล่าวกับตนเอง ขณะที่แสงตะวันยามเย็นที่สาดลอดหน้าต่างเข้ามา ขับให้เงาของเด็กสาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นทอดยาวลงไปอย่างสงบ แม้ไม่เหลือเวทมนตร์ในตัว แต่จิตวิญญาณของผู้ฝึกตนยังมิได้หายไปไหน เพียงแค่ต้องเริ่มเดินทางใหม่ด้วยเท้าเปล่าอีกครั้งก็เท่านั้น

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทพิเศษ (18+) : นางคืนดีกับเขา

    คืนหลังจากที่ซูหรงเเละสามีปรับความเข้าใจกันได้ เสียงหรีดหริ่งเรไรยามราตรีขับขาน ลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านม่านโปร่งของห้องพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พัดพากลิ่นหอมอ่อน ๆ จากโคมไฟน้ำมันซึ่งซูหรงเพิ่งจุดไว้เมื่อครู่ให้หอมอบอวลอยู่ในห้อง นางยืนอยู่ริมหน้าต่างในชุดคลุมบางเบาสีแดงเลือดนกที่แฝงประกายทองจาง ๆ เมื่อถูกแสงจันทร์สาดส่อง อวี้ไป๋เฉินมองนางจากทางประตูหลังเดินเข้ามาเงียบ ๆ ราวกับกลัวทำลายความสงบอันละเอียดอ่อนนี้ “ข้าเคยฝันถึงคืนนี้อยู่หลายครั้ง...” นางเอ่ยเสียงเบาพลางหันกลับมา แววตาอบอุ่นดั่งผู้หญิงธรรมดาที่รอผู้ชายคนหนึ่งกลับมา หลังจากเขาผ่านพ้นจากสงครามในหัวใจ อวี้ไป๋เฉินเดินเข้ามาช้า ๆ พลางยื่นมือออกไปแตะแผ่นหลังบางที่สั่นเพียงเล็กน้อยยามลมพัด “ข้าก็ฝันเช่นกัน...” เขาโน้มตัวลงกระซิบข้างหู ขณะที่สองมือโอบรอบเอวของนางแน่นขึ้น ซูหรงหลับตาแนบกับอกเขา แผ่นอกที่เคยอบอุ่น ตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นไม้เก่า ๆ จากการทำงานในโรงเตี๊ยม หากแต่สำหรับนาง มันหอมเสียยิ่งกว่าดอกไม้ใด ๆ “ข้าเคยคิดว่าเราจะเสียความสัมพันธ์สามีภรรยาไปแล้ว...” นางเอ่ยเสียงสั่น ก้มหน้าลงหลบสายตา “เมื่

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 80 : ข้ายังคงอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ

    วันต่อมา หลังจากศึกเขาอู่ฮุ่ย แสงแดดยามสายส่องลอดหลังคากระเบื้องเก่า เสียงนกกระจิบร้องประสานกับกลิ่นหอมของน้ำเต้าต้มหวานจากในครัว โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นกลับมาสงบอีกครั้งแม้สถานการณ์จะวุ่นวายเพราะต้องซ่อมแซมอาคารหลายจุดหลังเหตุการณ์พรรคมารบุกโจมตี แต่ซูหรงกลับดูสดใสเป็นพิเศษ นางเดินเคียงอวี้ไป๋เฉินสามีของนาง ท่าทีดูสนิทสนมกว่าแต่ก่อนนัก เพราะหลังจากกลับมาเมื่อรู้ความจริงจากเซี่ยหง ทั้งคู่ได้นั่งคุยกันถึงเรื่องในอดีตที่เคยไม่เข้าใจกัน ด้วยความเข้าใจในที่สุดว่าสามีนางไม่ได้ตั้งใจทรยศ ไม่ได้หลอกลวงนางเพราะผลประโยชน์ใดในยุทธภพ หากแต่เป็นชายผู้พยายามละทิ้งอดีตอันโหดร้ายของพรรคมารเพื่อตั้งต้นใหม่อย่างสงบ“เจ้ารู้หรือไม่...” ซูหรงเอ่ยเสียงเบา “ข้าเคยโกรธเจ้ายิ่งนัก ที่เจ้าปิดบังเรื่องพรรคมาร... แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าทำเพื่อจะตัดขาดจากอดีตนั้นอย่างแท้จริง”อวี้ไป๋เฉินไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มเศร้า ๆ ขณะที่นางกุมมือเขาแน่นขึ้น“เรากลับมาเป็นครอบครัวอย่างแท้จริงเถิด... ไม่ใช่แค่สามีภรรยาในนาม แต่เป็นสองคนที่เข้าใจกัน&rdqu

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 79 : ข้าก็มีกิจให้จัดการจริง ๆ นั่นแหละ

    หลังการเจรจากับเฉินอี้เหมือนจะจบลง ลั่วชิงก็มิได้กล่าวคำใดต่ออีก นางเพียงมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ แล้วหมุนกายหันไปหาซูหรงที่ยืนอยู่ห่างออกไป“ซูหรง” เสียงของนางเรียบนิ่งแต่เปี่ยมด้วยพลัง “พาเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม… ดูแลเขาให้ดี”ปลายนิ้วเรียวของลั่วชิงแตะที่อากาศเบื้องหน้า วงแหวนอักขระยันต์เรืองแสงสีเงินค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนพื้น ขนาดใหญ่พอจะให้คนยืนได้สองคน ก่อนที่นางจะเอ่ยถ้อยคำอำลา“เคลื่อนย้ายแสนลี้สำหรับกลับโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พาเขากลับไป แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ดีล่ะ พวกเจ้าเติบโตขึ้นมามากแล้ว คงใช้ชีวิตกันต่อไปได้แม้จะไม่มีข้า แต่ก็อย่าได้หลงลืมตัวข้าหรือสิ่งที่ข้าได้สอนพวกเจ้าล่ะ”“เจ้าค่ะ... ถึงข้าจะอยากให้ข้ากับท่านอาจารย์อยู่ด้วยกันต่อไป ทว่าข้าเองก็ได้เลือกว่าจะกลับไปอยู่ในโลกมนุษย์ จัดการความเข้าใจผิดที่มีกับสามี กับถ่ายทอดความรู้หลายอย่างแก่ผู้คนเบื้องล่าง ป้องกันไม่ให้คนหลงใหลในวิถึมารอีก... อย่างนั้นน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ... ลาก่อนนะเจ้าคะ” ซูหรงค้อมศีรษะ ก่อนจะเดินนำบ่าวหนุ

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 78 : ข้าถามเขาให้มั่นใจ

    ลั่วชิงไม่ได้ตอบอะไรบ่าวหนุ่ม นางยังคงยืนนิ่ง ขณะที่พวกเซียนพากันไปรับตัวอู๋เป่ยและจ้าวหยางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากพวกเซี่ยหงถูกจับกุมและตราประทับมารถูกยึดคืนไปเรียบร้อยแล้ว ร่างของทั้งสองเต็มไปด้วยบาดแผลจนแทบไม่อาจขยับตัว พวกศิษย์เซียนพาพวกเขานอนลงบนแคร่หามวิเศษที่ลอยกลางอากาศเองได้แม้ไม่มีคนยก แล้วลอยมาถึงลั่วชิงและอีกสองผู้นำเซียน“ท่านทั้งสองคนนี้ คือผู้บาดเจ็บจากการป้องกันประตูเงามารไว้ก่อนพวกเราจะมาถึง เป็นผู้กล้าหาญและมีคุณธรรมยิ่ง” ลั่วชิงละสายตาจากเฉินอี้ ไปกล่าวต่อหน้าผู้นำเซียนทั้งสองที่มาด้วยกัน “ข้าคิดว่าพวกเขาควรได้อะไรตอบแทนความกล้าหาญนี้”ผู้นำเซียนเครายาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อีกผู้หนึ่งคือเซียนอ้วนพุงพลุ้ยหัวเราะเสียงดัง พร้อมหยิบเครื่องรางสองชิ้นออกมา แล้วกล่าวขึ้น“ของวิเศษพวกนี้ ข้าคงมอบให้พวกเขาตอบแทนในความกล้าหาญ แต่ตอนนี้พาพวกเขาไปที่เขาหลิงอวิ๋นเถอะ พวกข้าจะรักษาพวกเขาเอง”ลั่วชิงใช้ยกมือขึ้นแหวกม่านอากาศเปิดทางให้กองทัพเซียนมุ่งหน้าออกจากช่องเขาอู่ฮุ่ยอีกครั้ง ทุกสายตากำลังจับจ้องมายังร่างของนางไม่เพียงด้วยความ

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 77 : ข้าให้โอกาสนางอีกครั้ง

    เซี่ยหงกระอักเลือดออกมาจากปาก แต่แววตาของนางยังไม่ถอดใจ ดวงตาข้างหนึ่งหลับสนิทเพราะเลือดจากศีรษะที่มีแผล จ้องมองลั่วชิงด้วยแววแข็งกร้าว แม้จะถูกลั่วชิงโจมตีจุดลมปราณทั่วร่างจนสาหัส ทว่าพลังความแค้นของนางยังไม่มอดดับ ร่างของนางค่อย ๆ ปล่อยพลังปราณสีม่วงออกมาอย่างเชื่องช้า“เจ้า...คิดว่าข้าจะยอมพ่ายเพียงแค่นี้หรือ...” นางคำรามเบา ๆ“เจ้าโดนโจมตีจุดลมปราณไปถึงเพียงนั้น ยังฝืนใช้พลังอีกงั้นรึ? มันเจ็บปวดทรมานมากเลย อย่าฝืนดีกว่า” ลั่วชิงพยายามเตือน แต่ไม่เป็นผล ไอพลังลมปราณสีม่วงเข้มเริ่มพวยพุ่งขึ้นรอบตัวประมุขพรรคมารอีกครั้ง แม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยคสามเจ็บปวดก็ตามในพริบตา เทวรูปมารหกกรองค์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นคลุมร่างของนางอีกหน ขนาดใหญ่โตเท่าอาคารสี่ห้าชั้นเหมือนเดิม ท้องฟ้าและขุนเขาสะท้านด้วยไอพลังปราณที่ปั่นป่วนหนักหน่วงกว่าเดิมมาก แม้จะมีบาดแผลทั่วร่าง เซี่ยหงก็ยืนประสานมืออยู่ด้านในศีรษะของเทวรูปนั้น กัดพันด้วยความโกรธเกรี้ยว“เจ้าควรหยุดแล้ว... ก่อนที่สิ่งที่เหลืออยู่ของเจ้า จะหายไปหมด” ลั่วชิงกล่าวเบา ๆ ขณะที

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 76 : ข้าเข้าใจแล้ว

    เสียงก้าวย่างของเทวรูปมารหกกรที่สร้างจากพลังปราณยังดังก้องทั่วแนวเขาอู่ฮุ่ย ฝีเท้าหนักหน่วงของมันสะเทือนผืนดินทุกครั้งที่ย่างเหยียบ จนกระทั่งมันมาถึงประตูเงามารทว่าเบื้องหน้าประตูเงามารอันสูงใหญ่กลับมีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนต้านทานอยู่ ซูหรงนั่นเองศิษย์หญิงของลั่วชิงกางสองมือขึ้นเหนือศีรษะ ร่ายยันต์พลังปราณสีเงินเป็นรูปวงกลม ก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่ส่องแสงระยับ แขนยักษ์ที่ถือดาบมหึมาของเทวรูปมารเริ่มฟาดลงมาราวกับสายฟ้าฟาด แต่เกราะยันต์กลับต้านรับไว้ได้ แม้จะแตกร้าวลง ซูหรงก็ร่ายอาคม ฟื้นฟูกลับขึ้นมาใหม่ภายในพริบตา“คิดจะขวางข้าเรอะ พี่สะใภ้!?”เสียงของเซี่ยหงคำรามออกมาจากในศีรษะของเทวรูป พลางควบคุมแขนยักษ์ฟาดซ้ำลงไปอีกครั้งแรงกระแทกสะเทือนสะท้าน เกราะยันต์พลังปราณสายไปในพริบตา ซูหรงย่อตัวลงน้อย ๆ พร้อมกัดฟัน ก่อนที่ปลายนิ้วจะเขียนอักขระกลางอากาศ ร่ายยันต์ใหม่ขึ้นมาอีกชุด“ตราบใดที่ข้ายังยืนอยู่ เจ้าจะไม่มีวันผ่านประตูนี้ไปได้!” ซูหรงตะโกนอย่างเด็ดเดี่ยว ทว่าเซี่ยหงกลับหัวเราะเยาะ“เดี๋ยวก็ได้ล้มแล้ว! เจ้าคนอ่อนแอ... สายข่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status