หน้าหลัก / รักโบราณ / บ่าวหญิงของศิษย์รัก / บทที่ 6 : นางกลั่นแกล้งข้า!

แชร์

บทที่ 6 : นางกลั่นแกล้งข้า!

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-13 13:02:32

แสงแดดยามเช้าที่สาดทอลงมาในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นวันนี้ ดูแทบไม่ต่างจากทุกวัน แต่สำหรับเสี่ยวซุ่ยแล้ว เช้านี้มีบางอย่างผิดปกติ เพราะทันทีที่นางเดินมาถึงลานซักผ้าใต้ร่มไม้หลังโรงเตี๊ยม ก็พบกับซูหรง ในชุดเสื้อผ้าสีแดงสด กำลังยืนกอดอก รออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนจะสงบนิ่ง แต่สายตานั้นแฝงความน่าหวาดหวั่นใจบางอย่าง ทำเอาร่างกายที่ถูกทำให้มีอาการอย่างเด็กสาวทั่วไปต้องอดสั่นน้อย ๆ ไม่ได้

“เสี่ยวซุ่ย วันนี้เจ้าจะต้องทำงานเพิ่ม” ซูหรงเอ่ยขึ้น ด้วยท่าทีทรงอำนาจ “เริ่มจากไปซักผ้าปูโต๊ะทั้งหมดในร้าน ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอนด้วย ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว เจ้าต้องทำคนเดียวนะ วันนี้คนอื่นน่าจะยุ่ง ๆ กับการเตรียมตัวต้อนรับแขกพิเศษ เห็นว่าสหายเก่าของท่านอวี้ไป๋เฉินจะมาเยี่ยมเยือน”

เสี่ยวซุ่ยชะงักเล็กน้อย นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ปกติของสาวใช้ฝึกหัดทั่วไป งานเหล่านี้รวมทุกอย่างแล้ว ต้องใช้แรงกายมาก และใช้เวลาทั้งวัน หากไม่ใช่เพราะซูหรงตั้งใจสั่งเอง สาวใช้ฝึกหัดไม่น่าจะได้ทำด้วยซ้ำ

“เจ้าค่ะ ข้าจะทำให้เสร็จ…” เด็กสาวพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าเจือความลังเล แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้แต่เพียงรับคำสั่งเท่านั้น

“เช่นนั้นก็รีบทำได้ ของทั้งหมดอยู่ลานกว้างที่ลำธารตรงโน้น ข้าให้คนขนไปรอเจ้าแล้ว” ซูหรงพูดพลางชี้ไปยังกองผ้าสารพัด กับถังซักผ้า และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ลานซักผ้าริมลำธาร ห่างจากหลังโรงเตี๊ยมไปไม่ถึงร้อยก้าว

“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยค้อมศีรษะให้ ก่อนจะเดินไปจัดการกับกองผ้า กับถังไม้ พยายามยกมันไปที่ลำธารที่อยู่ห่างจากหลังโรงเตี๊ยมไปไม่ไกล

บริเวณลานกว้างมีราวไม้ไผ่พาดยาวระหว่างเสาไม้สองต้น ใช้สำหรับตากผ้า ข้าง ๆ มี ถังไม้ทรงกลมใหญ่ตั้งเรียงไว้สามใบ เต็มไปด้วยน้ำที่เพิ่งตักขึ้นใหม่ ๆ มาเตรียมไว้เผื่อนาง น้ำยังเย็นฉ่ำและใสแจ๋วจนเห็นเงาสะท้อนหน้าของผู้ก้มมอง

ยังดีที่วันก่อนพี่หลินอธิบายเรื่องการซักผ้ามาอยู่บ้าง และความรู้ของนางตอนนี้ไม่ได้ถูกผนึกเรื่องการซักผ้า ดังนั้นนางคิดว่าตัวเองน่าจะทำไหวอยู่

เสี่ยวซุ่ยนั่งคุกเข่าอยู่ข้างถังไม้ มือเล็ก ๆ ของนางจับผ้าปูโต๊ะอย่างระมัดระวัง ก่อนจะจุ่มลงในถังน้ำใบที่ผสมเถ้าถ่านไม้เบญจพรรณ และ เปลือกผลไม้แห้งบด ซึ่งเป็นส่วนผสมของน้ำซักผ้าในยุคนี้ ฟองที่เกิดจากการขยี้นั้นไม่มากนัก แต่ช่วยล้างกลิ่นและคราบได้อย่างดี

เด็กสาวยกผ้าขึ้นวางพาด กระดานซักผ้า ที่ทำจากไม้แข็งเนื้อหยาบ ขนาดกว้างพอฝ่ามือ ยาวครึ่งศอก ปลายแผ่นทำเป็นร่องตื้น ๆ สำหรับขัดเส้นด้ายโดยไม่ทำลายเนื้อผ้า เสี่ยวซุ่ยพยายามจับผ้าแล้วถูลงกับแผ่นไม้สลับกับการขยี้ด้วยสองมือ  ก้มหน้าตั้งใจจนเส้นผมเปียกน้ำเปียกแนบแก้ม ฟองน้ำสีขาวหม่นค่อย ๆ ไหลลงตามร่องไม้ สะท้อนแดดระยิบ

ทุกคราวที่ขยี้ นางต้องเปลี่ยนแรงกดให้เหมาะกับชนิดของผ้า ผ้าปูโต๊ะเนื้อหยาบ ต้องขยี้แรงกว่า ผ้าบางของม่านประตู ซึ่งอาจเปื่อยได้หากถูแรงเกินควร

เมื่อซักผ้าปูโต๊ะจนหมดชุดแรก นางยกผ้าออกไปล้างในถังน้ำสะอาดอีกใบ ล้างออกจนแน่ใจว่าไม่มีฟองหรือกลิ่นตกค้าง แล้วบิดผ้า  หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง หยิบ คานไม้ไผ่ยาว ยกขึ้นพาดบ่าแล้วนำผ้าไปแขวนเรียงกันทีละผืนตามแนวแสงแดด นางใช้ ก้านไม้เรียวขัดปลาย ผ้าให้ตึงเพื่อไม่ให้ปลิว และคอยปรับระยะห่างให้ลมพัดผ่านได้ทั่วถึง

ครึ่งวันแรกผ่านไปด้วยความเหนื่อยล้า ผ้าจำนวนมาก บวกกับนี่เป็นการซักผ้าเองครั้งแรกในรอบนับพันปี ทำให้การซักกินเวลานาน น้ำในถังซักผ้าทำให้มือเล็ก ๆ แดงช้ำจนเริ่มแตกเปื่อย นางพยายามไม่บ่น ไม่ปริปากสักคำ จนกระทั่งซักเสร้จ นางจึงลุกขึ้นเตรียมกลับโรงเตี๊ยม

 ทว่ายังไม่ทันที่จะกลับไป นางกลับพบว่าซูหรงยืนรออยู่ นายหญิงแห่งโรงเตี๊ยมเดินเข้ามาพร้อมเดินดูผ้าปูโต๊ะ และผ้าม่านที่นางเพิ่งซักไปใหม่ ๆ พร้อมทำหน้าเหมือนสมเพชเต็มประดา

“นี่พวกที่เจ้าเพิ่งซักมาใช่ไหม? เห็นแล้วแทบไม่อยากวางบนโต๊ะรับแขก เจ้ารีบ ๆ ซักให้เสร็จงั้นหรือ หรือว่าไม่ตั้งใจจะซัก?”

“ข้า... ข้าขออภัยเจ้าค่ะ ข้าอาจจะ...”

“ข้ออ้างอีกแล้วหรือเสี่ยวซุ่ย?” ซูหรงขัดขึ้นทันที ก่อนจะมองนางด้วยดวงตาคมบนสีหน้าเยือกเย็น “หากเจ้าคิดทำตัวไม่ตั้งใจทำงานเช่นนี้ ข้าก็ไม่อยากได้เจ้ามาอาศัยร่วมชายคานักหรอก”

คำพูดนั้นเหมือนมีดกรีดลงกลางใจ น้ำตาเริ่มคลอขึ้นมาในตาของเด็กสาว โดยที่นางควบคุมมันไม่ได้

“มันจะมากไปแล้วนะซูหรง” เสี่ยวซุ่ยพยายามจะพูด ทว่ากลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาจนพูดไม่ออก ขาสองข้างอ่อนแรงจนยืนไม่ได้ กลายเป็นทรุดกายลงคุกเข่าขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจ

“นายหญิง...” เด็กสาวคุกเข่าลงตรงหน้าซูหรง เสียงสะอื้นเริ่มแทรกในลำคอ นางอยากจะพูดอย่างอื่น แต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้ คำพูดที่นางพูดออกมาจึงต้องเป็นสิ่งที่นางรู้ว่าผนึกอนุญาตให้พูดเท่านั้น คำพูดของบ่าวหญิงที่อ้อนวอนเจ้านาย ที่ศิษย์ของนางอยากจะฟัง

“ข้ายังอยากทำงานอยู่ที่นี่ อย่าไล่ข้าไปเลยเจ้าค่ะ... ข้ายังไม่รู้จะไปที่ไหน... ข้ายังเรียนรู้ไม่พอ แต่ข้าจะพยายามให้มากขึ้น... ขอเพียงท่านเมตตาเถิด”

ซูหรงเห็นเสี่ยวซุ่ยเอ่ยขึ้นก็นิ่งไปชั่วขณะ มองใบหน้าที่เปียกน้ำตาของบ่าวหญิงตรงหน้า แววตาเสี่ยวซุ่ยไม่ได้มีเพียงความอ่อนแรง แต่แฝงด้วยความสับสน ว้าวุ่น และความกลัวอย่างแท้จริง ช่างน่าสมเพชจนยากจะบอกว่านั่นคืออดีตอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยเป็นเสมือนมารดาของตน... นั่นแหละที่นางปรารถนา การทำให้เซียนหญิงที่มีอำนาจเหนือนางต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้

“ลุกขึ้น เจ้าไปพักก่อน ผ้าพวกนี้มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกนะ แต่คราวหน้าตั้งใจให้มากกว่านี้แล้วกัน” ซูหรงตอบเสียงเรียบ เหมือนไม่ไยดี แต่ในแววตากลับมีประกายแปลกประหลาดบางอย่าง  ความรู้สึกคล้ายชัยชนะ หรืออาจจะเป็นเพียงความโล่งใจ ที่ยันต์ยังทำงานได้จริง

เสี่ยวซุ่ยเดินกลับไปที่โรงเตี๊ยม ทอดกายลงนั่งพักผ่อน กอดเข่าอยู่ใต้ต้นพลับหลังโรงครัว ใบหน้าซบกับท่อนแขน น้ำตาที่เหือดแห้งแล้วทิ้งคราบบนพวงแก้มเล็ก ๆ นางไม่ได้ตั้งใจร้องไห้หรือสะอื้น ทว่าสัญชาตญาณของร่างนี้ทำให้นางสั่นกลัวหรือร้องไห้ได้เมื่อถูกซูหรงดุด่า มันอ่อนแอเกินกว่าที่นางคิดไว้พอสมควร

แต่แล้วเสี่ยวซุ่ยก็ต้องหยุดชะงักแล้วแหงนหน้าขึ้น เมื่อเสียงฝีเท้าดังขึ้นเงียบ ๆ ก่อนจะมีถ้วยน้ำชาอุ่น ๆ วางลงตรงหน้านาง เขาคือเฉินอี้ บ่าวหนุ่มที่เมื่อวานเอาเกี๊ยวมาให้นางนั่นเอง!

“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากเลยสิ...” เสียงของเฉินอี้ เอ่ยอย่างอ่อนโยน ก่อนจะย่อตัวนั่งลงข้าง ๆ

“ข้าเห็นเจ้าซักผ้ามากมายตั้งแต่เช้า แถมเมื่อครู่ยังเห็นเจ้าโดนนายหญิงตำหนิจนร้องไห้อีก...”

“ข้าไม่อยากโดนไล่ออก... ข้าไม่มีที่ไป” เสี่ยวซุ่ยพูดเสียงแผ่วเบา ซึ่งมันก็เป็นความจริง สภาพนี้นางไม่สามารถขึ้นเขากลับวิหารเซียนได้แน่นอน จะใช้พลังเวทสื่อจิตเรียกศิษย์มารับก็ไม่ไหว

“ไม่มีใครในโรงเตี๊ยมนี้ที่เก่งแต่เกิดหรอกนะ เจ้าอาจจะพลาดไปบ้าง... แต่นั่นไม่ใช่ว่าเจ้าแย่อะไร” เขาบอก พลางส่งยิ้มจาง ๆ “ข้าเองก็เคยโดนว่าแบบนี้ ไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง แต่พี่หลินก็บอกว่าคนที่ไม่ท้อ... ยังไงก็จะก้าวหน้า”

เสี่ยวซุ่ยพยักหน้าเบา ๆ สายตานิ่งขึ้นเล็กน้อย นางมองใบหน้าของเฉินอี้ แล้วรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่นางไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความอบอุ่นที่ไม่เกี่ยวกับพลัง ไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญ ไม่เกี่ยวกับตำหนักบนเขา มันคือความรู้สึกของ “มนุษย์” ที่อยู่เคียงข้างมนุษย์ด้วยกัน

“ข้าต้องอดทน... จะเรียนรู้ให้มากขึ้น” นางตอบเขากลับไป สายลมเย็นยามเย็นพัดผ่าน เด็กสาวมองมือของตนเองอีกครั้ง มือที่เมื่อครู่ยักสั่นระริก บัดนี้สงบนิ่งอยู่บนตักของตนเอง

นางไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่รู้ก็คือตอนนี้นางไม่ได้อยู่ลำพัง ยังมีคนที่คอยให้กำลังใจนางอยู่

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทพิเศษ (18+) : นางคืนดีกับเขา

    คืนหลังจากที่ซูหรงเเละสามีปรับความเข้าใจกันได้ เสียงหรีดหริ่งเรไรยามราตรีขับขาน ลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านม่านโปร่งของห้องพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พัดพากลิ่นหอมอ่อน ๆ จากโคมไฟน้ำมันซึ่งซูหรงเพิ่งจุดไว้เมื่อครู่ให้หอมอบอวลอยู่ในห้อง นางยืนอยู่ริมหน้าต่างในชุดคลุมบางเบาสีแดงเลือดนกที่แฝงประกายทองจาง ๆ เมื่อถูกแสงจันทร์สาดส่อง อวี้ไป๋เฉินมองนางจากทางประตูหลังเดินเข้ามาเงียบ ๆ ราวกับกลัวทำลายความสงบอันละเอียดอ่อนนี้ “ข้าเคยฝันถึงคืนนี้อยู่หลายครั้ง...” นางเอ่ยเสียงเบาพลางหันกลับมา แววตาอบอุ่นดั่งผู้หญิงธรรมดาที่รอผู้ชายคนหนึ่งกลับมา หลังจากเขาผ่านพ้นจากสงครามในหัวใจ อวี้ไป๋เฉินเดินเข้ามาช้า ๆ พลางยื่นมือออกไปแตะแผ่นหลังบางที่สั่นเพียงเล็กน้อยยามลมพัด “ข้าก็ฝันเช่นกัน...” เขาโน้มตัวลงกระซิบข้างหู ขณะที่สองมือโอบรอบเอวของนางแน่นขึ้น ซูหรงหลับตาแนบกับอกเขา แผ่นอกที่เคยอบอุ่น ตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นไม้เก่า ๆ จากการทำงานในโรงเตี๊ยม หากแต่สำหรับนาง มันหอมเสียยิ่งกว่าดอกไม้ใด ๆ “ข้าเคยคิดว่าเราจะเสียความสัมพันธ์สามีภรรยาไปแล้ว...” นางเอ่ยเสียงสั่น ก้มหน้าลงหลบสายตา “เมื่

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 80 : ข้ายังคงอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ

    วันต่อมา หลังจากศึกเขาอู่ฮุ่ย แสงแดดยามสายส่องลอดหลังคากระเบื้องเก่า เสียงนกกระจิบร้องประสานกับกลิ่นหอมของน้ำเต้าต้มหวานจากในครัว โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นกลับมาสงบอีกครั้งแม้สถานการณ์จะวุ่นวายเพราะต้องซ่อมแซมอาคารหลายจุดหลังเหตุการณ์พรรคมารบุกโจมตี แต่ซูหรงกลับดูสดใสเป็นพิเศษ นางเดินเคียงอวี้ไป๋เฉินสามีของนาง ท่าทีดูสนิทสนมกว่าแต่ก่อนนัก เพราะหลังจากกลับมาเมื่อรู้ความจริงจากเซี่ยหง ทั้งคู่ได้นั่งคุยกันถึงเรื่องในอดีตที่เคยไม่เข้าใจกัน ด้วยความเข้าใจในที่สุดว่าสามีนางไม่ได้ตั้งใจทรยศ ไม่ได้หลอกลวงนางเพราะผลประโยชน์ใดในยุทธภพ หากแต่เป็นชายผู้พยายามละทิ้งอดีตอันโหดร้ายของพรรคมารเพื่อตั้งต้นใหม่อย่างสงบ“เจ้ารู้หรือไม่...” ซูหรงเอ่ยเสียงเบา “ข้าเคยโกรธเจ้ายิ่งนัก ที่เจ้าปิดบังเรื่องพรรคมาร... แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าทำเพื่อจะตัดขาดจากอดีตนั้นอย่างแท้จริง”อวี้ไป๋เฉินไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มเศร้า ๆ ขณะที่นางกุมมือเขาแน่นขึ้น“เรากลับมาเป็นครอบครัวอย่างแท้จริงเถิด... ไม่ใช่แค่สามีภรรยาในนาม แต่เป็นสองคนที่เข้าใจกัน&rdqu

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 79 : ข้าก็มีกิจให้จัดการจริง ๆ นั่นแหละ

    หลังการเจรจากับเฉินอี้เหมือนจะจบลง ลั่วชิงก็มิได้กล่าวคำใดต่ออีก นางเพียงมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ แล้วหมุนกายหันไปหาซูหรงที่ยืนอยู่ห่างออกไป“ซูหรง” เสียงของนางเรียบนิ่งแต่เปี่ยมด้วยพลัง “พาเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม… ดูแลเขาให้ดี”ปลายนิ้วเรียวของลั่วชิงแตะที่อากาศเบื้องหน้า วงแหวนอักขระยันต์เรืองแสงสีเงินค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนพื้น ขนาดใหญ่พอจะให้คนยืนได้สองคน ก่อนที่นางจะเอ่ยถ้อยคำอำลา“เคลื่อนย้ายแสนลี้สำหรับกลับโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พาเขากลับไป แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ดีล่ะ พวกเจ้าเติบโตขึ้นมามากแล้ว คงใช้ชีวิตกันต่อไปได้แม้จะไม่มีข้า แต่ก็อย่าได้หลงลืมตัวข้าหรือสิ่งที่ข้าได้สอนพวกเจ้าล่ะ”“เจ้าค่ะ... ถึงข้าจะอยากให้ข้ากับท่านอาจารย์อยู่ด้วยกันต่อไป ทว่าข้าเองก็ได้เลือกว่าจะกลับไปอยู่ในโลกมนุษย์ จัดการความเข้าใจผิดที่มีกับสามี กับถ่ายทอดความรู้หลายอย่างแก่ผู้คนเบื้องล่าง ป้องกันไม่ให้คนหลงใหลในวิถึมารอีก... อย่างนั้นน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ... ลาก่อนนะเจ้าคะ” ซูหรงค้อมศีรษะ ก่อนจะเดินนำบ่าวหนุ

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 78 : ข้าถามเขาให้มั่นใจ

    ลั่วชิงไม่ได้ตอบอะไรบ่าวหนุ่ม นางยังคงยืนนิ่ง ขณะที่พวกเซียนพากันไปรับตัวอู๋เป่ยและจ้าวหยางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากพวกเซี่ยหงถูกจับกุมและตราประทับมารถูกยึดคืนไปเรียบร้อยแล้ว ร่างของทั้งสองเต็มไปด้วยบาดแผลจนแทบไม่อาจขยับตัว พวกศิษย์เซียนพาพวกเขานอนลงบนแคร่หามวิเศษที่ลอยกลางอากาศเองได้แม้ไม่มีคนยก แล้วลอยมาถึงลั่วชิงและอีกสองผู้นำเซียน“ท่านทั้งสองคนนี้ คือผู้บาดเจ็บจากการป้องกันประตูเงามารไว้ก่อนพวกเราจะมาถึง เป็นผู้กล้าหาญและมีคุณธรรมยิ่ง” ลั่วชิงละสายตาจากเฉินอี้ ไปกล่าวต่อหน้าผู้นำเซียนทั้งสองที่มาด้วยกัน “ข้าคิดว่าพวกเขาควรได้อะไรตอบแทนความกล้าหาญนี้”ผู้นำเซียนเครายาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อีกผู้หนึ่งคือเซียนอ้วนพุงพลุ้ยหัวเราะเสียงดัง พร้อมหยิบเครื่องรางสองชิ้นออกมา แล้วกล่าวขึ้น“ของวิเศษพวกนี้ ข้าคงมอบให้พวกเขาตอบแทนในความกล้าหาญ แต่ตอนนี้พาพวกเขาไปที่เขาหลิงอวิ๋นเถอะ พวกข้าจะรักษาพวกเขาเอง”ลั่วชิงใช้ยกมือขึ้นแหวกม่านอากาศเปิดทางให้กองทัพเซียนมุ่งหน้าออกจากช่องเขาอู่ฮุ่ยอีกครั้ง ทุกสายตากำลังจับจ้องมายังร่างของนางไม่เพียงด้วยความ

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 77 : ข้าให้โอกาสนางอีกครั้ง

    เซี่ยหงกระอักเลือดออกมาจากปาก แต่แววตาของนางยังไม่ถอดใจ ดวงตาข้างหนึ่งหลับสนิทเพราะเลือดจากศีรษะที่มีแผล จ้องมองลั่วชิงด้วยแววแข็งกร้าว แม้จะถูกลั่วชิงโจมตีจุดลมปราณทั่วร่างจนสาหัส ทว่าพลังความแค้นของนางยังไม่มอดดับ ร่างของนางค่อย ๆ ปล่อยพลังปราณสีม่วงออกมาอย่างเชื่องช้า“เจ้า...คิดว่าข้าจะยอมพ่ายเพียงแค่นี้หรือ...” นางคำรามเบา ๆ“เจ้าโดนโจมตีจุดลมปราณไปถึงเพียงนั้น ยังฝืนใช้พลังอีกงั้นรึ? มันเจ็บปวดทรมานมากเลย อย่าฝืนดีกว่า” ลั่วชิงพยายามเตือน แต่ไม่เป็นผล ไอพลังลมปราณสีม่วงเข้มเริ่มพวยพุ่งขึ้นรอบตัวประมุขพรรคมารอีกครั้ง แม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยคสามเจ็บปวดก็ตามในพริบตา เทวรูปมารหกกรองค์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นคลุมร่างของนางอีกหน ขนาดใหญ่โตเท่าอาคารสี่ห้าชั้นเหมือนเดิม ท้องฟ้าและขุนเขาสะท้านด้วยไอพลังปราณที่ปั่นป่วนหนักหน่วงกว่าเดิมมาก แม้จะมีบาดแผลทั่วร่าง เซี่ยหงก็ยืนประสานมืออยู่ด้านในศีรษะของเทวรูปนั้น กัดพันด้วยความโกรธเกรี้ยว“เจ้าควรหยุดแล้ว... ก่อนที่สิ่งที่เหลืออยู่ของเจ้า จะหายไปหมด” ลั่วชิงกล่าวเบา ๆ ขณะที

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 76 : ข้าเข้าใจแล้ว

    เสียงก้าวย่างของเทวรูปมารหกกรที่สร้างจากพลังปราณยังดังก้องทั่วแนวเขาอู่ฮุ่ย ฝีเท้าหนักหน่วงของมันสะเทือนผืนดินทุกครั้งที่ย่างเหยียบ จนกระทั่งมันมาถึงประตูเงามารทว่าเบื้องหน้าประตูเงามารอันสูงใหญ่กลับมีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนต้านทานอยู่ ซูหรงนั่นเองศิษย์หญิงของลั่วชิงกางสองมือขึ้นเหนือศีรษะ ร่ายยันต์พลังปราณสีเงินเป็นรูปวงกลม ก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่ส่องแสงระยับ แขนยักษ์ที่ถือดาบมหึมาของเทวรูปมารเริ่มฟาดลงมาราวกับสายฟ้าฟาด แต่เกราะยันต์กลับต้านรับไว้ได้ แม้จะแตกร้าวลง ซูหรงก็ร่ายอาคม ฟื้นฟูกลับขึ้นมาใหม่ภายในพริบตา“คิดจะขวางข้าเรอะ พี่สะใภ้!?”เสียงของเซี่ยหงคำรามออกมาจากในศีรษะของเทวรูป พลางควบคุมแขนยักษ์ฟาดซ้ำลงไปอีกครั้งแรงกระแทกสะเทือนสะท้าน เกราะยันต์พลังปราณสายไปในพริบตา ซูหรงย่อตัวลงน้อย ๆ พร้อมกัดฟัน ก่อนที่ปลายนิ้วจะเขียนอักขระกลางอากาศ ร่ายยันต์ใหม่ขึ้นมาอีกชุด“ตราบใดที่ข้ายังยืนอยู่ เจ้าจะไม่มีวันผ่านประตูนี้ไปได้!” ซูหรงตะโกนอย่างเด็ดเดี่ยว ทว่าเซี่ยหงกลับหัวเราะเยาะ“เดี๋ยวก็ได้ล้มแล้ว! เจ้าคนอ่อนแอ... สายข่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status