โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นยามค่ำคืนนี้เงียบสงัดกว่าทุกวัน หลังจากแขกเหรื่อทยอยกันเข้านอน และเสียงจานชามในครัวก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงลมโชยเบาใต้ชายคาเท่านั้น
ซูหรงนั่งอยู่ในห้องรับรองส่วนตัวของตนเอง ไฟตะเกียงบนโต๊ะส่องสว่างพอให้เห็นใบหน้าของนางซึ่งสงบเยือกเย็น แต่แววตานั้นกลับมีร่องรอยของบางสิ่งที่คล้ายความตั้งใจแน่วแน่ ประเภทที่เตรียมใจสำหรับการกระทำที่ไม่อาจหวนคืนกลับไปได้อีก
บนโต๊ะของนางตอนนี้มีแผ่นยันต์ผืนบาง วัตถุดิบที่นางนำติดตัวมาจากตำหนักบนภูเขาเซียน และน้ำหมึกผสมผงหยก ซึ่งแม้จะเจือจาง แต่ก็ยังเป็นของที่ใช้ในพิธีเฉพาะทางของผู้ฝึกตนขั้นสูงที่อาจารย์เคยสอนนางมาแต่เล็ก
“ข้าคงต้องเลือกทางนี้แล้ว…” นางพึมพำกับตัวเอง พลางวางปลายนิ้วลงบนยันต์ และเริ่มวาดอักขระด้วยปลายพู่กันที่สั่นน้อย ๆ แม้ภายนอกจะสงบ แต่ภายในของนางเต็มไปด้วยหลากความรู้สึกโหมกระหน่ำอยู่ภายในคล้ายพายุ
เมื่อยันต์เสร็จสิ้นก็เป็นเวลาสองยามพอดี นางจึงตัดสินใจจะออกไปตามเสี่ยวซุ่ย แต่เมื่อเปิดประตูออกไป ก็พบว่า เสี่ยวซุ่ยยืนรออยู่หน้าห้องแล้ว เด็กสาวย่อกายลงโค้งศีรษะให้นายหญิงแห่งโรงเตี๊ยมอย่างนอบน้อม ท่าทางสงบนิ่งและมั่นคง ก่อนที่ซูหรงจะเชิญเข้ามาในห้องส่วนตัว
“ตามสบายเถิดท่านอาจารย์” ซูหรงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ใบหน้ายิ้มอ่อน แต่ในแววตามีบางอย่างที่แม้แต่ลั่วชิงในคราบเสี่ยวซุ่ยยังรู้สึกผิดสังเกต “ท่านอาจารย์คงจะสงสัยไม่น้อยว่าข้าอยากจะเจรจากับท่านด้วยเรื่องใด เพราะท่านเองก็ดูเหมือนจะสะกดพลังเอาไว้หลายส่วน ไม่ให้กระทบกระเทือนมนุษย์บนโลก คงจะใช้วิชาอ่านจิตไม่ได้เท่าไรนัก”
“เป็นเช่นนั้น” เสี่ยวซุ่ยตอบเบา ๆ “เจ้าต้องการเจรจาการใดกับข้าก็บอกมาเถอะ ข้ายินดีรับฟังเสมอ”
“นั่งก่อนเถิด” ซูหรงชี้ที่เบาะตรงข้าม ลั่วชิงนั่งลงอย่างสุภาพ สายตาจับจ้องนายหญิงของโรงเตี๊ยมอย่างใจเย็น ซูหรงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นเรียบ ๆ
“ชื่อเสี่ยวซุ่ย เกิดปีเถาะ มาจากภูเขาทางใต้ เคยทำงานในโรงเรียนบนเขาแต่ไม่ได้เรียนหนังสือ ทำได้แค่ล้างชาม จัดของ และไม่รู้หนังสือ... นั่นคือประวัติที่ท่านบอกตอนมาพบข้าเพื่อของานทำ ใช่หรือไม่?”
ซูหรงถาม ลั่วชิงในคราบเสี่ยวซุ่ยก็พยักหน้าเบา ๆ ไม่พูดอะไร
“แล้วข้าก็ได้บันทึกเรื่องราวในของท่านที่แจ้งเอาไว้ เขียนมันไว้ในบัญชีทะเบียนบ่าวของโรงเตี๊ยม ว่าเสี่ยวซุ่ยคือสาวใช้คนหนึ่งที่ไม่เคยฝึกวิชา ไม่เคยอ่านเขียน ไม่เคยเรียนรู้วิชาจากสำนักใด”
“เจ้าต้องการอะไรต่องั้นหรือ?” เสี่ยวซุ่ยกล่าว พลางยิ้มบาง ๆ แต่ก็ยังไม่คิดว่าซูหรงจะกล้าทำอะไร ทว่าในวินาทีนั้นเอง ซูหรงก็ดึงผืนยันต์บางออกมาวางกลางโต๊ะ
เสี่ยวซุ่ยหรี่ตาในทันใด แผ่นยันต์นั้นมีลายผนึกบางประการที่นางเคยได้สอนซูหรงเมื่อครั้งอยู่บนเขา มันเป็นลวดลายของวิชาโบราณสำหรับรับมือกับพวกที่ใช้เวทมนตร์ปลอมแปลงร่างซึ่งพลังปราณน้อยกว่าตัวผู้ใช้ โดยจะทำให้ร่างที่จำแลงกลายเป็นร่างจริง ผนึกพลัง และบีบให้ความสามารถทุกด้าน ไม่ว่าจะพลังปราณ หรือการแสดงออกทางสติปัญญา ให้ตรงกับสิ่งที่แสดงออกมา นางเคยใช้มันผนึกปีศาจที่จำแลงเป็นอีกามาสืบข่าวของตำหนักเซียน ให้มันกลายเป็นดังอีกาโดยแท้จริง รวมถึงเคยผนึกปีศาจที่จำแลงเป็นมนุษย์เพื่อหวังจับชาวบ้านกิน ให้มันได้กลายเป็นมนุษย์ที่ไม่มีพลังพิเศษใด ๆ และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์เยี่ยงคนสามัญ
ตอนนี้วิชานั้นกำลังถูกนำมาใช้กับตัวนางเอง! ที่ตอนนี้กำลังลดระดับพลังให้เทียบเท่าคนสามัญ ซึ่งน้อยกว่าศิษย์ของนาง!
“ซูหรง เจ้า…” ลั่วชิงเริ่มเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ แต่ช้าไปแล้ว
“ท่านก็คงรู้อยู่แล้วว่า พลังของข้าตอนนี้เหนือกว่าท่านที่อยู่ในร่างเสี่ยวซุ่ย” น้ำเสียงของซูหรงนิ่ง เรียบ และเย็น ฟังแล้วราวกับพายุหิมะที่กำลังโหมกระหน่ำ
“ซูหรง เจ้าไม่รู้ว่านี่คือวิชาอันตรายเพียงใด มันจะทำให้...”
“มันจะไม่เป็นอะไรหรอก หากท่านอยากอยู่ช่วยเหลือข้าจริง ๆ ข้าก็จะให้ท่านได้อยู่ช่วยข้าต่อไปนาน ๆ โดยไม่ต้องมาเสแสร้งอีกไงล่ะ...” ซูหรงกล่าวพลางวางยันต์ลงตรงหน้าผากของเสี่ยวซุ่ย พร้อมถ่ายทอดพลังปราณลงไปในยันต์นั้น มือของนางที่แตะยันต์รวมพลังมากเสียจนจนเกิดประกายแสงออกมา สว่างจ้ายิ่งกว่าแสงตะเกียงในห้อง “ถ้าท่านอยากเสแสร้งอยู่ในโลกสามัญนัก... ข้าก็จะให้ท่านเสแสร้งได้สมจริงไปตลอดชีวิต”
เสี่ยวซุ่ยร้องเบา ๆ ใบหน้าเจ็บปวดอย่างฉับพลัน มือเล็กสั่นระริก นัยน์ตากลมโตเต็มไปด้วยความตกใจ ร่างของนางไหววูบ เหมือนพลังงานทั้งหมดกำลังถูกดูดเข้าใบบริเวณหน้าผาก
“ซูหรง… เจ้าไม่…!”
แสงสว่างจากยันต์แผ่กระจายทั่วห้อง ก่อนที่ยันต์จะแทรกเข้าไปกลางหน้าผากของเด็กสาว แล้วพลันสลายหายไปพร้อมกับแสงที่ดับลงทันที ทิ้งไว้เพียงกลิ่นธูปโบราณ และเสียงหอบหายใจของร่างเด็กสาวที่ซวนเซอยู่ตรงหน้า
ซูหรงลุกขึ้นยืน ก้าวเข้าไปหาเด็กสาวตรงหน้า แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบ
“เสี่ยวซุ่ย… ได้ยินข้าไหม?”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นอย่างเงอะงะ แววตาเต็มไปด้วยความงุนงง และแววขลาด
“นายหญิง... เอ่อ... ข้า...”
เสียงนั้นไม่ใช่น้ำเสียงของลั่วชิง เซียนหญิงผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไป ตอนนี้มันเป็นเพียงเสียงของสาวใช้ธรรมดาคนหนึ่ง ที่ขาดความรู้ ประสบการณ์ก็ไม่ได้มีมากมายอะไร เป็นดังคนธรรมดาสามัญโดยแท้จริง
ซูหรงขยับริมฝีปากเล็กน้อย ลมหายใจหนักขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามไปอีกประโยค
“ลำดับสมุนไพรที่เจ้าเรียงไว้ในห้องครัววันนี้คืออะไร? จำได้หรือไม่?”
“สมุน...ไพร?” เด็กสาวกะพริบตา “เอ่อ... ข้าไม่แน่ใจเจ้าค่ะ ข้าแค่... เห็นมันรก ๆ ก็เลยเรียงตามขนาด... ข้าทำผิดหรือเปล่าเจ้าคะ?”
ซูหรงเดินวนรอบนาง มองท่าทางของเด็กสาวอย่างถี่ถ้วน ตอนนี้นางไม่มีความสง่างามเลยแม้แต่น้อย ไหล่ตก เดินไม่มั่นคง สองมือกำเกาะชายผ้าตนเองแน่นด้วยความประหม่า หวาดเกรงว่าจะโดนตำหนิหรือลงโทษจากเจ้านาย
“เจ้าอ่านออกไหม?” ซูหรงหยิบกระดาษจดรายการสมุนไพรยื่นให้กับเด็กสาว
“เอ้อ... ตัวนี้... เป็นรูปอะไรเหรอเจ้าคะ?” เสี่ยวซุ่ยขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงหลบตาต่ำ เหมือนละอายที่ตนเองไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งใดที่ปรากฏบนนั้นกระดาษ น้ำเสียงของนางเหมือนเด็กสาวผู้เขินกลัวจะถูกตี
“ไปพักก่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะให้พี่หลินมาสอนงานเพิ่ม”
“เจ้าค่ะ...” เสี่ยวซุ่ยรับคำ เสียงสั่น ๆ ก่อนจะก้มตัวแล้วเดินออกจากห้องไป ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งมองยิ่งไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรเลยแม้แต่น้อย ซูหรงยืนพิงโต๊ะอย่างเงียบงัน มองตามนางเดินออกไปจากห้อง กลิ่นธูปผนึกยังหลงเหลืออยู่ในอากาศ นางมองลงมือของตัวเองที่สั่นเบา ๆ
ซูหรงหลับตาลงช้า ๆ ความรู้สึกสั่นไหวไหลท่วมอก ไม่แน่ใจว่าคือความเสียใจ หรือความสาแก่ใจ หรือความกลัวว่านางอาจทำลายบางสิ่งที่สำคัญไปตลอดกาล แต่นางพยายามหายใจออกยาว ๆ บอกกับตัวเองในใจว่าบัดนี้ไม่มีอาจารย์ลั่วชิงผู้ทำตัวเป็นเหมือนมารดาของนาง มาพยายามจะช่วยเหลือนางเพราะความไม่วางใจ เหมือนนางเป็นเด็กน้อยขาดประสบการณ์อีกต่อไป มีเพียงแต่บ่าวหญิงคนใหม่ให้นางต้องสอนงานเท่านั้น
คืนหลังจากที่ซูหรงเเละสามีปรับความเข้าใจกันได้ เสียงหรีดหริ่งเรไรยามราตรีขับขาน ลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านม่านโปร่งของห้องพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พัดพากลิ่นหอมอ่อน ๆ จากโคมไฟน้ำมันซึ่งซูหรงเพิ่งจุดไว้เมื่อครู่ให้หอมอบอวลอยู่ในห้อง นางยืนอยู่ริมหน้าต่างในชุดคลุมบางเบาสีแดงเลือดนกที่แฝงประกายทองจาง ๆ เมื่อถูกแสงจันทร์สาดส่อง อวี้ไป๋เฉินมองนางจากทางประตูหลังเดินเข้ามาเงียบ ๆ ราวกับกลัวทำลายความสงบอันละเอียดอ่อนนี้ “ข้าเคยฝันถึงคืนนี้อยู่หลายครั้ง...” นางเอ่ยเสียงเบาพลางหันกลับมา แววตาอบอุ่นดั่งผู้หญิงธรรมดาที่รอผู้ชายคนหนึ่งกลับมา หลังจากเขาผ่านพ้นจากสงครามในหัวใจ อวี้ไป๋เฉินเดินเข้ามาช้า ๆ พลางยื่นมือออกไปแตะแผ่นหลังบางที่สั่นเพียงเล็กน้อยยามลมพัด “ข้าก็ฝันเช่นกัน...” เขาโน้มตัวลงกระซิบข้างหู ขณะที่สองมือโอบรอบเอวของนางแน่นขึ้น ซูหรงหลับตาแนบกับอกเขา แผ่นอกที่เคยอบอุ่น ตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นไม้เก่า ๆ จากการทำงานในโรงเตี๊ยม หากแต่สำหรับนาง มันหอมเสียยิ่งกว่าดอกไม้ใด ๆ “ข้าเคยคิดว่าเราจะเสียความสัมพันธ์สามีภรรยาไปแล้ว...” นางเอ่ยเสียงสั่น ก้มหน้าลงหลบสายตา “เมื่
วันต่อมา หลังจากศึกเขาอู่ฮุ่ย แสงแดดยามสายส่องลอดหลังคากระเบื้องเก่า เสียงนกกระจิบร้องประสานกับกลิ่นหอมของน้ำเต้าต้มหวานจากในครัว โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นกลับมาสงบอีกครั้งแม้สถานการณ์จะวุ่นวายเพราะต้องซ่อมแซมอาคารหลายจุดหลังเหตุการณ์พรรคมารบุกโจมตี แต่ซูหรงกลับดูสดใสเป็นพิเศษ นางเดินเคียงอวี้ไป๋เฉินสามีของนาง ท่าทีดูสนิทสนมกว่าแต่ก่อนนัก เพราะหลังจากกลับมาเมื่อรู้ความจริงจากเซี่ยหง ทั้งคู่ได้นั่งคุยกันถึงเรื่องในอดีตที่เคยไม่เข้าใจกัน ด้วยความเข้าใจในที่สุดว่าสามีนางไม่ได้ตั้งใจทรยศ ไม่ได้หลอกลวงนางเพราะผลประโยชน์ใดในยุทธภพ หากแต่เป็นชายผู้พยายามละทิ้งอดีตอันโหดร้ายของพรรคมารเพื่อตั้งต้นใหม่อย่างสงบ“เจ้ารู้หรือไม่...” ซูหรงเอ่ยเสียงเบา “ข้าเคยโกรธเจ้ายิ่งนัก ที่เจ้าปิดบังเรื่องพรรคมาร... แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าทำเพื่อจะตัดขาดจากอดีตนั้นอย่างแท้จริง”อวี้ไป๋เฉินไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มเศร้า ๆ ขณะที่นางกุมมือเขาแน่นขึ้น“เรากลับมาเป็นครอบครัวอย่างแท้จริงเถิด... ไม่ใช่แค่สามีภรรยาในนาม แต่เป็นสองคนที่เข้าใจกัน&rdqu
หลังการเจรจากับเฉินอี้เหมือนจะจบลง ลั่วชิงก็มิได้กล่าวคำใดต่ออีก นางเพียงมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ แล้วหมุนกายหันไปหาซูหรงที่ยืนอยู่ห่างออกไป“ซูหรง” เสียงของนางเรียบนิ่งแต่เปี่ยมด้วยพลัง “พาเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม… ดูแลเขาให้ดี”ปลายนิ้วเรียวของลั่วชิงแตะที่อากาศเบื้องหน้า วงแหวนอักขระยันต์เรืองแสงสีเงินค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนพื้น ขนาดใหญ่พอจะให้คนยืนได้สองคน ก่อนที่นางจะเอ่ยถ้อยคำอำลา“เคลื่อนย้ายแสนลี้สำหรับกลับโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พาเขากลับไป แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ดีล่ะ พวกเจ้าเติบโตขึ้นมามากแล้ว คงใช้ชีวิตกันต่อไปได้แม้จะไม่มีข้า แต่ก็อย่าได้หลงลืมตัวข้าหรือสิ่งที่ข้าได้สอนพวกเจ้าล่ะ”“เจ้าค่ะ... ถึงข้าจะอยากให้ข้ากับท่านอาจารย์อยู่ด้วยกันต่อไป ทว่าข้าเองก็ได้เลือกว่าจะกลับไปอยู่ในโลกมนุษย์ จัดการความเข้าใจผิดที่มีกับสามี กับถ่ายทอดความรู้หลายอย่างแก่ผู้คนเบื้องล่าง ป้องกันไม่ให้คนหลงใหลในวิถึมารอีก... อย่างนั้นน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ... ลาก่อนนะเจ้าคะ” ซูหรงค้อมศีรษะ ก่อนจะเดินนำบ่าวหนุ
ลั่วชิงไม่ได้ตอบอะไรบ่าวหนุ่ม นางยังคงยืนนิ่ง ขณะที่พวกเซียนพากันไปรับตัวอู๋เป่ยและจ้าวหยางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากพวกเซี่ยหงถูกจับกุมและตราประทับมารถูกยึดคืนไปเรียบร้อยแล้ว ร่างของทั้งสองเต็มไปด้วยบาดแผลจนแทบไม่อาจขยับตัว พวกศิษย์เซียนพาพวกเขานอนลงบนแคร่หามวิเศษที่ลอยกลางอากาศเองได้แม้ไม่มีคนยก แล้วลอยมาถึงลั่วชิงและอีกสองผู้นำเซียน“ท่านทั้งสองคนนี้ คือผู้บาดเจ็บจากการป้องกันประตูเงามารไว้ก่อนพวกเราจะมาถึง เป็นผู้กล้าหาญและมีคุณธรรมยิ่ง” ลั่วชิงละสายตาจากเฉินอี้ ไปกล่าวต่อหน้าผู้นำเซียนทั้งสองที่มาด้วยกัน “ข้าคิดว่าพวกเขาควรได้อะไรตอบแทนความกล้าหาญนี้”ผู้นำเซียนเครายาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อีกผู้หนึ่งคือเซียนอ้วนพุงพลุ้ยหัวเราะเสียงดัง พร้อมหยิบเครื่องรางสองชิ้นออกมา แล้วกล่าวขึ้น“ของวิเศษพวกนี้ ข้าคงมอบให้พวกเขาตอบแทนในความกล้าหาญ แต่ตอนนี้พาพวกเขาไปที่เขาหลิงอวิ๋นเถอะ พวกข้าจะรักษาพวกเขาเอง”ลั่วชิงใช้ยกมือขึ้นแหวกม่านอากาศเปิดทางให้กองทัพเซียนมุ่งหน้าออกจากช่องเขาอู่ฮุ่ยอีกครั้ง ทุกสายตากำลังจับจ้องมายังร่างของนางไม่เพียงด้วยความ
เซี่ยหงกระอักเลือดออกมาจากปาก แต่แววตาของนางยังไม่ถอดใจ ดวงตาข้างหนึ่งหลับสนิทเพราะเลือดจากศีรษะที่มีแผล จ้องมองลั่วชิงด้วยแววแข็งกร้าว แม้จะถูกลั่วชิงโจมตีจุดลมปราณทั่วร่างจนสาหัส ทว่าพลังความแค้นของนางยังไม่มอดดับ ร่างของนางค่อย ๆ ปล่อยพลังปราณสีม่วงออกมาอย่างเชื่องช้า“เจ้า...คิดว่าข้าจะยอมพ่ายเพียงแค่นี้หรือ...” นางคำรามเบา ๆ“เจ้าโดนโจมตีจุดลมปราณไปถึงเพียงนั้น ยังฝืนใช้พลังอีกงั้นรึ? มันเจ็บปวดทรมานมากเลย อย่าฝืนดีกว่า” ลั่วชิงพยายามเตือน แต่ไม่เป็นผล ไอพลังลมปราณสีม่วงเข้มเริ่มพวยพุ่งขึ้นรอบตัวประมุขพรรคมารอีกครั้ง แม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยคสามเจ็บปวดก็ตามในพริบตา เทวรูปมารหกกรองค์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นคลุมร่างของนางอีกหน ขนาดใหญ่โตเท่าอาคารสี่ห้าชั้นเหมือนเดิม ท้องฟ้าและขุนเขาสะท้านด้วยไอพลังปราณที่ปั่นป่วนหนักหน่วงกว่าเดิมมาก แม้จะมีบาดแผลทั่วร่าง เซี่ยหงก็ยืนประสานมืออยู่ด้านในศีรษะของเทวรูปนั้น กัดพันด้วยความโกรธเกรี้ยว“เจ้าควรหยุดแล้ว... ก่อนที่สิ่งที่เหลืออยู่ของเจ้า จะหายไปหมด” ลั่วชิงกล่าวเบา ๆ ขณะที
เสียงก้าวย่างของเทวรูปมารหกกรที่สร้างจากพลังปราณยังดังก้องทั่วแนวเขาอู่ฮุ่ย ฝีเท้าหนักหน่วงของมันสะเทือนผืนดินทุกครั้งที่ย่างเหยียบ จนกระทั่งมันมาถึงประตูเงามารทว่าเบื้องหน้าประตูเงามารอันสูงใหญ่กลับมีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนต้านทานอยู่ ซูหรงนั่นเองศิษย์หญิงของลั่วชิงกางสองมือขึ้นเหนือศีรษะ ร่ายยันต์พลังปราณสีเงินเป็นรูปวงกลม ก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่ส่องแสงระยับ แขนยักษ์ที่ถือดาบมหึมาของเทวรูปมารเริ่มฟาดลงมาราวกับสายฟ้าฟาด แต่เกราะยันต์กลับต้านรับไว้ได้ แม้จะแตกร้าวลง ซูหรงก็ร่ายอาคม ฟื้นฟูกลับขึ้นมาใหม่ภายในพริบตา“คิดจะขวางข้าเรอะ พี่สะใภ้!?”เสียงของเซี่ยหงคำรามออกมาจากในศีรษะของเทวรูป พลางควบคุมแขนยักษ์ฟาดซ้ำลงไปอีกครั้งแรงกระแทกสะเทือนสะท้าน เกราะยันต์พลังปราณสายไปในพริบตา ซูหรงย่อตัวลงน้อย ๆ พร้อมกัดฟัน ก่อนที่ปลายนิ้วจะเขียนอักขระกลางอากาศ ร่ายยันต์ใหม่ขึ้นมาอีกชุด“ตราบใดที่ข้ายังยืนอยู่ เจ้าจะไม่มีวันผ่านประตูนี้ไปได้!” ซูหรงตะโกนอย่างเด็ดเดี่ยว ทว่าเซี่ยหงกลับหัวเราะเยาะ“เดี๋ยวก็ได้ล้มแล้ว! เจ้าคนอ่อนแอ... สายข่