แสงจันทร์เริ่มทอประกายลาง ๆ เมื่อเฉินอี้เดินมายังลานด้านหลังโรงเตี๊ยม เห็นอวี้ไป๋เฉินยืนมองผืนฟ้าอยู่เพียงลำพัง ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเบา ๆ
“นายท่าน ท่านจะร่วมเดินทางไปที่ประตูเงามารหรือไม่?”
อวี้ไป๋เฉินนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจเบา ๆ ดวงตาฉายแววอ่อนล้า แต่ยังคงมีความมั่นคงในจุดยืน
“ข้าคงไม่ไป... ข้าเคยอยู่ท่ามกลางสงครามมากพอ... ข้ารู้ดีว่าความวุ่นวายไม่สิ้นสุด และข้าเลือกแล้วว่าจะปกป้องสิ่งเล็ก ๆ ที่เหลืออยู่” เขากล่าวอย่างช้า ๆ ก่อนเหลือบตามองรอบโรงเตี๊ยม
“ที่แห่งนี้... ไม่ใช่แค่ที่พักของนักเดินทาง แต่มันคือบ้านของพวกเรา ข้าอยากปกป้องมัน รอซูหรงกลับมา ไม่ใช่เดินไปเสี่ยงตายแล้วต้องหันดาบใส่น้องสาวตัวเองอีกครั้ง”
เฉินอี้ได้ฟังก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนค้อมศีรษะ
“ข้าเข้าใจ ข้าจะเป็นดาบแทนท่านเอง หากใครคิดล้ำเส้นความสงบของที่นี่... ข้าจะเป็นคนหยุดมันแทนท่านเอง เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านรับข้ามาอยู่ที่นี่”
“ในเมื่อเขาไม่ไป พวกเราก็ไปกันเถอะ สามคนก็สามคน&rdqu
เช้าตรู่ของวันใหม่ ลมหนาวกรรโชกแรงเหนือแนวหุบเขาอู่ฮุ่ย สายหมอกคลี่คลุมผืนหญ้าเย็นชื้น ขับเน้นแสงเช้าสีส้มอ่อนที่ลอดผ่านแนวเขาให้ยิ่งดูคล้ายภาพฝัน แต่อาจไม่ใช่ฝันดีเท่าไรนัก เมื่อเสียงฝีเท้าของเหล่าผู้ถืออาวุธกำลังย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าแนวหน้าผาสูงชัน ณ ที่ซึ่งถูกเรียกว่าปากทางสู่ประตูเงามาร พวกมารห้าคนยืนเรียงรายกันอย่างมาดมั่น เซี่ยหงประมุขพรรคมาร เสวียนชางผู้ใช้กระบี่และฝีเท้าที่ว่องไว จวินเลี่ยจอมพลังผู้ใช้กระบองคู่ เหอหลงชายชราผู้ใช้โซ่ติดลูกตุ้มเหล็ก และ ฉีเฟิงผู้ใช้เพลงเตะกับใบมีดที่รองเท้า พลังที่แผ่ออกมาจากร่างแต่ละคนเข้มข้นราวพายุคลั่ง สะท้อนถึงไอพลังปราณจากชีวิตสมุนที่พวกเขากลืนกินมาเมื่อคืนทว่ายังไม่ถึงประตูดี เบื้องหน้าพวกเขา กลับปรากฏร่างของชายสามคนที่ยืนขวางไว้ก่อนแล้วจ้าวหยางควงพลองเหล็กคู่ของเขาเบา ๆ แววตาทอประกายเด็ดเดี่ยว อู๋เป่ยถือกระบี่ยืนนิ่ง ดวงตาเยือกเย็นราวผิวน้ำแข็งที่กำลังรอแตกกระจาย และเฉินอี้ที่ยืนตรงกลาง ภายใต้ชุดบ่าวเรียบง่ายนั้น กลับมีร่างเปล่งประกายด้วยไอพลังปราณสีขาวหมุนวนรอบตัว ดวงตาแสดงความมุ่งมั่นของคนที่เล
แสงจันทร์เริ่มทอประกายลาง ๆ เมื่อเฉินอี้เดินมายังลานด้านหลังโรงเตี๊ยม เห็นอวี้ไป๋เฉินยืนมองผืนฟ้าอยู่เพียงลำพัง ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเบา ๆ“นายท่าน ท่านจะร่วมเดินทางไปที่ประตูเงามารหรือไม่?”อวี้ไป๋เฉินนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจเบา ๆ ดวงตาฉายแววอ่อนล้า แต่ยังคงมีความมั่นคงในจุดยืน“ข้าคงไม่ไป... ข้าเคยอยู่ท่ามกลางสงครามมากพอ... ข้ารู้ดีว่าความวุ่นวายไม่สิ้นสุด และข้าเลือกแล้วว่าจะปกป้องสิ่งเล็ก ๆ ที่เหลืออยู่” เขากล่าวอย่างช้า ๆ ก่อนเหลือบตามองรอบโรงเตี๊ยม“ที่แห่งนี้... ไม่ใช่แค่ที่พักของนักเดินทาง แต่มันคือบ้านของพวกเรา ข้าอยากปกป้องมัน รอซูหรงกลับมา ไม่ใช่เดินไปเสี่ยงตายแล้วต้องหันดาบใส่น้องสาวตัวเองอีกครั้ง”เฉินอี้ได้ฟังก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนค้อมศีรษะ“ข้าเข้าใจ ข้าจะเป็นดาบแทนท่านเอง หากใครคิดล้ำเส้นความสงบของที่นี่... ข้าจะเป็นคนหยุดมันแทนท่านเอง เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านรับข้ามาอยู่ที่นี่”“ในเมื่อเขาไม่ไป พวกเราก็ไปกันเถอะ สามคนก็สามคน&rdqu
ห่างออกไป บนยอดเขาหลิงอวิ๋นในยามราตรี แสงดาวทอประกายระยิบระยับเหนือท้องฟ้าลั่วชิงกำลังนั่งสมาธิ สงบจิตใจในตำหนัก รวบรวมพลังปราณที่มีให้สงบนิ่ง ตอนนี้นางรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่กลับมาเต็มเปี่ยม หลังต้องสะกดพลังอยู่ในร่างเสี่ยวซุ่ยมานาน นางรู้สึกได้ว่าตอนนี้พลังของนางเต็มเปี่ยม พร้อมที่จะออกศึกในวันรุ่งขึ้นแล้ว...ถึงเช่นนั้นนางก็อดสงสัยไม่ได้ว่าสถานการณ์ที่ฝั่งพรรคมารและเฉินอี้เป็นอย่างไร นางจึงกลับไปที่กระจกวารีอีกครั้งนางแตะมือบนกระจกวารี พลันผิวน้ำแปรเปลี่ยนไป เป็นภาพเหตุการณ์ ณ ถ้ำศิลาดำ เสียงหยดน้ำจากผนังหินกระทบพื้นเย็นชื้นดังก้องเป็นจังหวะ เหล่าขุนพลพรรคมารที่รอดชีวิตจากศึกโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น ยืนคุกเข่าเรียงรายตรงหน้าหญิงในชุดดำผู้หนึ่งที่นั่งบนบัลลังก์ ดวงตาของนางตอนนี้เป็นสีม่วงเรืองวาว ข้างกายมีตราประทับเงามารวางอยู่เหนือแท่นศิลาที่สลักด้วยอักขระอันซับซ้อน“ท่านประมุข... เรียกพบพวกเราส่วนตัวด้วยเหตุอันใด” เสียงหนึ่งในขุนพลพรรคมารเอ่ยอย่างยำเกรง ประมุขพรรคมารอวี้เซี่ยหง เหลือบมองพวกเขาอย่างเย็นชา ก่อนกล่าวเสียงแผ่วหากเยือก
ยามบ่ายคล้อย แสงอาทิตย์อาบไล้ลานศิลาหน้าตำหนักหลักของสำนักหลิงอวิ๋น บรรยากาศยังคงเงียบสงบ แต่ในใจของเหล่าเซียนที่รวมตัวกัน ณ ศาลาระฆังทิพย์หลังพักการประชุมไปครู่ใหญ่ ก็ล้วนปั่นป่วนด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน ไม่มีใครพูดอะไรเมื่อเซียนลั่วชิงกลับเข้ามาอีกครั้ง รัศมีสีเงินของนางเรืองรองยิ่งกว่าเดิม“ท่านทั้งหลาย” ลั่วชิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดเจน “เมื่อครู่ ข้าใช้กระจกวารีในตำหนักของข้า ตรวจดูความเคลื่อนไหวของพลังแห่งตราประทับ และพลังปราณของศิษย์บางคนที่เคยสัมผัสมันมาก่อน กระจกวารีสะท้อนให้เห็นภาพที่อยู่ไกลออกไป... ภาพของพรรคมารที่เริ่มรวมกำลังพล เตรียมเคลื่อนไปยังภูเขาอู่ฮุ่ย พวกมันคงหมายใช้ตราประทับเพื่อเปิดประตูเงามารในเวลาอันใกล้ และจากระยะทางที่พวกมันเดินทางอยู่ในตอนนี้... คาดว่า พวกมันจะไปถึงในรุ่งเช้าวันพรุ่งนี้”“ข้าจึงขอให้ท่านทุกสำนัก เตรียมพร้อมเคลื่อนกำลังให้ทันก่อนฟ้าสาง เราจะใช้วิชาเคลื่อนย้ายแสนลี้ของข้า เปิดประตูผ่านตราประทับที่ผูกไว้กับซูหรง บุกไปยังพื้นที่หน้าประตูเงามารโดยตรง”สิ้นคำกล่าวของนาง เสียง
แสงแดดยามบ่ายคล้อยทอดเงาแนบผืนหินบนยอดเขาหลิงอวิ๋น กลีบดอกเหมยร่วงลงเงียบงันตามแรงลม ขณะที่ภายในลานด้านหน้าตำหนักเซียน ส่วนเฉินอี้นั้นยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ใบหน้าเงยมองหมู่เมฆที่อยู่เหนือยอดเขาอย่างครุ่นคิดซูหรงก้าวเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าแน่วแน่ นางถือม้วนสารผนึกในมือ พร้อมกล่องอีกใบ ก่อนจะยื่นให้ชายหนุ่มตรงหน้า“เฉินอี้ ข้ากับเหล่าเซียนจะเดินทางไปจัดการประตูเงามาร ส่วนเจ้าก็ช่วยลงจากเขา นำสารนี้ส่งให้สามีของข้า” นางเอ่ยเสียงเรียบ ขณะที่บ่าวหนุ่มรับสารนั้นมาไว้ในมือ “แล้วก็เอาโอสถเซียนพวกนี้มอบให้กับสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิงที่บาดเจ็บ พวกเขาจะได้ฟื้นกลับคืนมาเป็นปกติ”“แล้วเสี่ยวซุ่ยล่ะขอรับ” เขากล่าวหลังครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองซูหรง นายหญิงนิ่งไปชั่วครู่ ราวกับไม่พร้อมอธิบาย ทว่าก็ไม่รู้จะซ่อนมันต่อไปได้อย่างไร แต่สุดท้ายนางก็ส่ายหน้าช้า ๆ“นางยังต้องอยู่ที่นี่” ซูหรงกล่าวด้วยเสียงเบา “นาง... ยังมีธุระต้องอยู่บนเขานี้กับข้า นางมีอะไรที่ยังต้องเรียนรู้อีกมาก ส่วนเจ้าควรกลับไปทำห
ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมธาร ถัดจากเรือนพักของสำนักหลิงอวิ๋น เฉินอี้ยืนอยู่กลางลานหิน พยายามร่ายรำท่าที่เสี่ยวซุ่ยเคยสอน ลมหายใจสม่ำเสมอ พลังปราณในร่างเขานิ่งสงบแต่มั่นคง แม้ไม่ใช่ศิษย์ในสำนัก แต่หลังจากช่วยคุ้มกันซูหรงและเสี่ยวซุ่ยตลอดการเดินทาง เขาได้รับอนุญาตให้อยู่พักรักษาตัวและฝึกฝนในบริเวณเรือนรับรองเช่นกันเสียงสายลมพลิ้วผ่าน ปลายเสื้อของเขาไหวเบา ๆ ทว่ายังไม่ทันจะได้ร่ายรำต่อ เขาก็สัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนประหลาดบางอย่างที่แทรกเข้ามาในอากาศ“ทักษะกระบวนท่าของเจ้านั้นดีพอสมควร แต่ยังไม่รู้จักปล่อยพลังให้ไหลเวียนเป็นอิสระ” เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลังเขา เฉินอี้สะดุ้ง ลืมตาขึ้นทันที แล้วหันกลับไป เห็นร่างของหญิงผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้เงาไม้ นางสวมชุดคลุมสีเงินปักลายเมฆเรืองแสงจาง ๆ ผมยาวส่วนหนึ่งถูกรวบขึ้นเป็นมวยอย่างเรียบร้อย บางส่วนที่ยาวประหลังพลิ้วไหวตามสายลม ใบหน้านิ่งสงบ ยังดูอ่อนวัยกว่า แต่เปี่ยมรัศมีลึกล้ำประหนึ่งภูผาในฤดูหนาว“ท่านเป็นใคร?” เขาถามอย่างระมัดระวัง“ข้าคือ ลั่วชิง เซียนหญิงแห่งหลิงอวิ๋น อาจารย์ของซูห