บทที่ 4 หยุดร้องได้แล้ว!
“โมก กลับบ้านเถอะลูก แม่มารับแล้ว” ปราณีเดินเข้าไปหาลูกชายแล้วประคองแขนให้เขาลุกขึ้น “พี่สองคนกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะจ้ะ ทางนี้ฉันจัดการเอง ขอบคุณนะ” บอกกับหัวหน้างานทั้งสองที่ยอมสละเวลาพักผ่อนมาช่วยดูแลลูกชายด้วยความซาบซึ้ง
“แม่เหรอครับ แม่มาได้ยังไงครับ” เขาพยายามประคองสติ ทำเหมือนไม่เมา “จากบ้านมาที่นี่ตั้งไกลนะครับแม่”
“แม่เดินมากับเจ๊หวังแล้วก็เด็กๆ เรารอลูกกินข้าวเย็นด้วยกัน แต่ลูกยังไม่กลับไปสักทีก็เลยมาตามเพราะเป็นห่วง กลับบ้านไปกินข้าวกันนะลูก”
“ทำไมถึงมาดื่มอยู่ตรงนี้ล่ะคะคุณหนู กลับไปดื่มที่บ้านดีกว่านะคะ” เจ๊หวังเข้าไปประคองเจ้านายน้อยของนางอีกคน
“เหล้าที่บ้านมันเมาช้าครับป้า สู้เหล้าป่าแบบนี้ไม่ได้เมาเร็วดี เมาแล้วก็ลืม ลืมแล้วก็ไม่เจ็บ แล้วอีกไม่นานผมก็จะตาย ผมก็จะลืมเธอได้ตลอดชีวิต”
“อย่าพูดเป็นลางแบบนั้นสิลูก แม่กลัวนะ” ปราณีร้องห้ามน้ำตานอง
“ลืมเธอซะเถอะค่ะคุณหนู ผู้หญิงคนนั้นไม่เหมาะสมกับคุณหนูของหวังหรอกค่ะ เธอเป็นคนติดการพนันคุณหนูก็รู้อยู่เต็มอก อยู่กันไปก็มีแต่ผลาญ” เจ๊หวังกล่าวอย่างเหลืออดพร้อมเสียงสะอื้น
“แต่ผมลืมเธอไม่ได้นี่ครับป้า ป้ารู้ไหมครับว่าเธอมีความสุขแค่ไหนในวันแต่งงาน” นึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของอดีตคนรักกับเพื่อนสนิทในวันนั้น แล้วก็ยิ่งเจ็บปวดที่หัวใจ
“อย่าเสียใจไปเลยค่ะคุณหนู คุณหนูจะต้องเจอผู้หญิงที่ดีกว่าเธอ เชื่อหวังนะคะ”
“ลืมเธอซะลูก คิดถึงความเจ็บช้ำที่เธอทำกับลูกแล้วลืมเธอซะ”
“ผมพยายามแล้วครับคุณแม่ แต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมอยากถามเธอว่าทำไมเธอถึงนอกใจผม ทั้งๆ ที่ผมรักเธอสุดหัวใจ” เขากุมหัวใจที่เต้นด้วยความเจ็บปวด และปล่อยเสียงร้องโฮออกมาอย่างหมดความอดทน พานให้ผู้ใหญ่ทั้งสองร้องตามด้วยความสงสารจับใจ
“หยุดร้องได้แล้ว! ตัวก็โตแต่ทำไมใจถึงเสาะแบบนี้ ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเอาซะเลย.. เพราะอ่อนแอแบบนี้ล่ะสิผู้หญิงเขาถึงทิ้งไปมีคนอื่น” ในที่สุด ชาร์มมิ่ง แอนนาเบล เครน ก็ระเบิดอารมณ์ออกมา เธอเดินอาดๆ ไปยืนต่อหน้าผู้ชายขี้แพ้นามว่าวิโมกข์
“ร้องทำไม ร้องแล้วเธอกลับมาหรือเปล่า ถ้าตัดใจจากเธอไม่ได้ก็ไปแย่งเอาเธอกลับมาสิ แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ก็ต้องลืมเธอให้ได้ ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณรักและดีกับเธอมากแค่ไหน แต่เธอคนนั้นหมดรักคุณแล้วเธอถึงได้ไปจากคุณ เพราะถ้าเธอยังรักคุณอยู่ ต่อให้คุณเลวทรามอย่างไรเธอก็ยังรัก คนเราถ้ามันคิดนอกใจกัน ไม่ว่าทางไหนมันก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ถ้าคนมันมีใจให้กัน ต่อให้มีหนทางเป็นร้อยเป็นพันก็ทำกันไม่ลงหรอก จำเอาไว้ให้ขึ้นใจแล้วก็เลิกทำตัวปัญญาอ่อนแบบนี้ได้แล้ว ฉันไม่อยากให้คุณอายตัวเองเวลาได้พบกับรักครั้งใหม่ หรือคุณคิดว่าจะไม่รักใครอีกแล้ว โง่สิ้นดี!”
วิโมกข์ได้แต่ยืนตะลึง อึ้งไปกับคำบริภาษของสาวน้อย ที่สะบัดหน้าหนีไปทันทีที่พูดจบ คำพูดของเธอแทงใจดำของเขาเข้าอย่างจัง
‘เพราะอ่อนแอแบบนี้ล่ะสิผู้หญิงเขาถึงทิ้งไปมีคนอื่น.. เธอคนนั้นคงหมดรักคุณแล้วเธอถึงได้ไปจากคุณ แต่ถ้าเธอยังรักคุณต่อให้คุณเลวทรามอย่างไรเธอก็ยังรักคุณ คนเราถ้ามันคิดนอกใจกัน ไม่ว่าทางไหนมันก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ถ้าคนมันมีใจให้กัน ต่อให้มีหนทางเป็นร้อยเป็นพันก็ทำกันไม่ลงหรอก จำเอาไว้ให้ขึ้นใจแล้วก็เลิกทำตัวปัญญาอ่อนแบบนี้ได้แล้ว ฉันไม่อยากให้คุณอายตัวเองเวลาได้พบกับรักครั้งใหม่’
“โมก” ปราณีเขย่าแขนลูกชายที่ยืนแข่งเป็นหิน ใจหนึ่งก็ห่วงเด็กสาวที่วิ่งหายไปทางไหนก็ไม่รู้ จะไล่ลูกสาวให้วิ่งตามไปก็กลัวพลัดหลงกันไปอีก
“หวังจะไปตามคุณหนูชาร์มมิ่งเองค่ะ” เจ๊หวังมองเห็นความห่วงใยนั้นจึงรับอาสาไปเอง “คุณนายพาคุณหนูๆ กลับไปที่บ้านก่อนนะคะ”
“ขอบใจจ้ะเจ๊หวัง”
“ผมไปเองครับป้า เพราะผมชำนาญเส้นทางในนี้มากกว่า ทุกคนกลับไปรอผมที่บ้านนะครับ” วิโมกข์ขัดขึ้นมาพร้อมเหตุผล แล้วรีบเดินไปตามเส้นทางเดียวกับที่เธอเดินไป
“พี่โมกเขาหายเมาแล้วเหรอคะแม่” วิเวียนกระซิบถามเมื่อเห็นพี่ชายเดินตัวตรง ผิดไปจากตอนแรกที่ยืนยังโงนเงน
“แม่คิดว่าคำพูดของหนูชาร์มมิ่งอาจจะทำให้พี่ชายของลูกสร่างเมา” ปราณีมองตามไปด้วยความเป็นห่วง
“หวังก็ขอให้คำพูดของคุณหนูชาร์มมิ่งเรียกสติคุณหนูของหวังได้นะคะ” ถึงแม้คำพูดของเด็กสาววัยแรกแย้มคนนั้นจะฟังดูก้าวร้าวไปสักนิด แต่นางก็เห็นด้วยอย่างยิ่งทุกคำ “เรากลับไปรอคุณหนูที่บ้านกันเถอะค่ะ”
ชาร์มมิ่งหยุดพักหายใจให้คล่องขึ้นเมื่อรู้สึกเหนื่อย มองไปตามเส้นทางรอบๆ ที่มีแสงไฟสลัวเป็นช่วงๆ แล้วคิดไตร่ตรองว่าตัวเองนั้นเดินมาจากทางไหน
“แล้วจะกลับทางไหนล่ะเนี่ย ไม่น่าหนีมาแบบนี้เลยเรา” สองมือขยี้ผมตัวเองอย่างจนตรอกที่ทำอะไรไม่ยั้งคิด เดินไปยังม้านั่งไม้ที่ตอกติดกับพื้นดินแบบง่ายๆ แล้วนั่งลง
ความคิดเริ่มฟุ้งซ่านมากขึ้นเมื่อหายเหนื่อย ตามติดมาด้วยความรู้สึกกลัวเมื่อเจอบรรยากาศวังเวงของสถานที่ ถึงแม้จะพอมีแสงไฟสอดส่องอยู่บ้าง แต่ความมืดก็ยังมีมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อมองไปทางต้นยางพาราที่เห็นเป็นเงาสูงใหญ่มากมายเหล่านั้น
“พวกเขาโกรธที่เราไปว่าเขาหรือเปล่านะ ก็เลยไม่ยอมมาตามหาเรา โทรศัพท์..” ลุกขึ้นล้วงไปตามกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อตรวจดูว่าได้พกมาด้วยหรือเปล่า
หวี่ๆๆๆ หวี่ๆๆๆ พึ่บ
“กรี๊ดดดด...” กรีดร้องสุดเสียง เมื่อก้มลงไปมองที่หน้าอกแล้วเห็นแมลงสีดำตัวหนึ่งเกาะอยู่ เธอโก่งตัวหนีสุดชีวิตพร้อมกับเบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความกลัว
“เป็นอะไรคุณ” เสียงกรี๊ดของเธอทำให้วิโมกข์วิ่งตามมาจนเจอ
“ช่วยชาร์มด้วย ชาร์มกลัว ฮือ ๆ ๆ ฮือ ๆ ๆ”
“กลัวอะไรล่ะ บอกผมมาซิ” วิโมกข์มองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากเด็กสาวรูปร่างผอมสูงที่กำลังตัวงอเหมือนกุ้ง
“นม ๆ มันเกาะอยู่ตรงนมชาร์ม ฮือ ๆ ๆ ฮือ ๆ ๆ” เธอยังคงงอตัวอยู่แบบนั้น ไม่กล้ายืดตัวตรงเพราะกลัวมันจะบินใส่หน้า
หัวคิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ นางถึงตัดสินใจเองไม่ได้แบบนี้ “ใครมาขอเงินอีกเหรอครับป้า” เขาเดาสุ่ม นึกถึงบรรดาเมียเล็กเมียน้อยของบิดาที่ชอบตีหน้าเศร้ามาขอเงินลงทุน “ไม่ใช่หรอกค่ะคุณหนู อีนางพวกนั้นหวังจัดการเองได้ค่ะ แต่คนนี้หวังจัดการยากจริง ๆ ค่ะ คุณหนูไปดูเองเถอะค่ะ รีบ ๆ ไปสิคะ” “ก็ได้ครับ ขึ้นรถสิครับป้า” เขาเรียกนางให้ขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ เขยิบก้นไปข้างหน้าเพื่อให้มีที่ว่างเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย เจ๊หวังไม่ได้อยากจะขึ้นซ้อนท้ายรถเครื่องคันเล็กนี้สักนิด แต่เพราะความเร่งรีบทำให้นางตัดใจก้าวขาขึ้นไปนั่งคร่อมแล้วกอดเอวคุณหนูเอาไว้แน่น “ผมจะไปแล้วนะ กอดแน่น ๆ นะครับ ระวังมอเตอร์ไซค์ทำหล่นนะครับ” เขาแซวแล้วค่อย ๆ บิดคันเร่งขี่ออกไป เพียงแค่เห็นแผ่นหลังของแขกผู้มาเยือน วิโมกข์ก็ถึงกับยืนนิ่งเป็นหินไปชั่วขณะ เพราะจำได้ติดตา ก่อนจะเดินไปนั่งประจันหน้ากับเธอ “ต้องการพบผมเรื่องอะไร” เขาถามเธอ แต่สายตานั้นไปมองอยู่ที่เด็กชายตัวน้อยหน้าตาน่ารักน่าชังแทน และเดาได้ทันทีว่
สุดท้ายเขาก็หนีเธอไม่พ้น แต่เขาไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอ “ไงมีน เจอกันอีกแล้วนะ” บารมีกล่าวทักทาย ไม่ยอมปล่อยแขนเพื่อนรักเพราะกลัวเขาจะชิ่งหนีไป “สวัสดีโมก” มีนาทักทายอดีตคนรักที่เมินหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ยอมกล่าวแม้คำทักทายกับตน “เราต้องรีบไปประชุม ขอตัวนะมีน” บารมีเอ่ยขึ้นแล้วดันวิโมกข์ให้เดินนำหน้า “แล้วเรื่องหุ้นจะว่ายังไง” มีนาตั้งคำถามตามหลังคนที่พยายามจะเดินหนี บารมีจับแขนเพื่อนรักแล้วหยุดเดิน หันไปทางหญิงสาวด้วยท่าทางใสซื่อ “ทำไมเหรอมีน คุณอยากจะขอซื้อคืนจากเราใช่ไหม” “ทำไมมีนต้องซื้อด้วยล่ะ ในเมื่อหลุยส์เขาไม่ได้ขายให้พวกคุณนี่” มีนาสังเกตท่าทีของชายหนุ่มทั้งสองเมื่อพูดจบ แน่นอนว่าบารมีทำหน้าแปลก ๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่กับอดีตคนรักไม่มีแววหวั่นไหวแม้แต่น้อย “โอนหุ้นคืนมาให้มีน มีนรู้นะว่าหลุยส์แค่โอนหุ้นให้พวกคุณสองคนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เขาดันมาตายเสียก่อน พวกคุณก็เลยจะฮุบมันเอาไว้เอง” สามีที่ทุ่มเทกับบริษัทมีหรือที่จะยอมลาออกอย่างง่ายดาย เขาต้องดีดลูกคิดลูกรางเอาไว้เรียบร้อยแล้วก่อนที่จะทำแบบนั้น “ทำไมถึงมาก
และก็เป็นจริงอย่างที่วิโมกข์กังวล เขาและบารมีต้องบินไปและกลับระหว่างประเทศไทยกับประเทศสิงคโปร์เป็นว่าเล่นในช่วงสองเดือนแรกหลังจากงานศพหลุยส์ เพื่อชี้แจงเรื่องหุ้นที่ได้รับโอนจากคนตายและวันนี้พวกเขากลับมาเพื่อเข้าประชุมในฐานะผู้ถือหุ้น ร่วมกับผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ ท่ามกลางสายตากังขาของทุกคน “ทำไมเขามองเราแบบนั้นวะ” บารมีกระซิบเบา ๆ ให้ได้ยินกันสองคน “ก็อยู่ดี ๆ มึงกับกูกลายเป็นผู้ถือหุ้นคนสำคัญขึ้นมาน่ะสิ” วิโมกข์คุยภาษาไทยโทนเสียงปกติห้านาทีต่อมาการประชุมก็เริ่มต้นขึ้น แต่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นที่หน้าประตู และมันก็ถูกเปิดออกด้วยมือของผู้ที่บุกรุกเข้ามา “อะไรกันนี่ เธอเข้ามาได้อย่างไร ที่นี่ห้องประชุมนะ ไม่ใช่บ่อนที่เธอจะเดินเข้าออกได้ตามใจ” บิดาของหลุยส์ เซียะ ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นลูกสะใภ้นอกคอกบุกเข้ามา “นึกว่าหนูอยากจะมานักเหรอคะคุณพ่อ ถ้าคุณพ่อยอมตกลงกับหนูดี ๆ ตั้งแต่แรก หนูคงไม่ทำถึงขนาดนี้หรอกค่ะ” “ฉันไม่มีอะไรต้องตกลงกับเธอ กลับไปซะ” “แต่หนูมี ถ้าวันนี้หนูไ
บทที่ 7 ผู้ชายคนนั้นเขาไม่ได้โกรธนายหรอก“ถ้าฉันบอกว่าใช่ล่ะ” หลุยส์ตอบทันที มองเพื่อนทั้งสองคนด้วยสายตาจริงจัง “ครอบครัวของฉันเป็นตระกูลใหญ่ที่คอยแต่ชิงดีชิงเด่นกันเอง ถึงฉันจะไว้ใจพ่อแม่แต่ฉันก็เชื่อใจพวกท่านไม่ได้ เพราะท่านยังมีลูกและหลานอีกหลายคน ถ้าท่านไม่ยอมแบ่งผลประโยชน์ให้ลูกชายฉันอย่างที่ท่านพูดจริงๆ ล่ะ ลูกฉันก็คงไม่ต่างไปจากขอทาน ฉันคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุดแล้วโมก ทศ อย่างน้อยลูกฉันก็ยังได้เงินปันผลทุกปี พวกนายช่วยฉันด้วยนะ ฉันเชื่อว่านายสองคนจะไม่โกงลูกฉันหรอก”“ถ้านายไว้ใจฉัน ฉันก็จะยอมช่วยนาย” วิโมกข์รับปากเป็นคนแรกเพราะเห็นแก่เด็กและอยากแก้แค้นอดีตคนรักอยู่ในที“ถ้าโมกมันรับปากฉันก็เอาด้วยคน” บารมีรับปากอย่างกลัดกลุ้ม นึกสงสัยว่าคนรวยมากๆ นี่เขาสุขหรือทุกข์กันแน่ “แล้วพ่อกับแม่นายจะไม่เคืองฉันสองคนเหรอ”“เขาคงจะโกรธฉันจนไม่อยากมองหน้าเลย ลูกชายคนโตของครอบครัวขายหุ้นให้เพื่อนเพื่อแก้แค้นที่ถูกตัดออกจากกองมรดก” หลุยส์ เซียะ กล่าวอย่างขมขื่นในโชคชะตาของตัวเอง “ฉันขอบใจนายสองคนมากนะ ฉันจะรีบไปจัดการเรื่องเอกสารแล้วเราจะนัดเจอกันที่นี่อีกที”หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ทุกคนก็กลับมา
บทที่ 6 ทำเพื่อลูกหลายปีผ่านไปหลังจากผิดหวังจากความรัก วิโมกข์ก็ทุ่มเทกับการบริหารสวนยางและฟาร์มหอยเป๋าฮื้อของเขาเต็มที่ ภายในระยะเวลาไม่ถึงห้าปี เขาก็สามารถใช้หนี้เงินกู้ธนาคารหลายร้อยล้านได้หมด กลายเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่ได้รับการยกย่องจากหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดความร่ำรวยของตัวเองไว้แค่นั้น ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างต่อเนื่องออกสู่ตลาดโลก“ฉันคิดว่าชาตินี้แกจะอยู่แต่ในสวนในไร่ซะอีก” บารมีประชดใส่เพื่อนรักที่มาเยี่ยมถึงหาดใหญ่ สี่ปีที่ผ่านมาเพื่อนของเขาคนนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก จากชายหนุ่มที่ร่าเริง ขี้เล่น พูดจาดี กลายเป็นคนเคร่งขรึม ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร พูดจาขวานฝ่าซาก กลายเป็นคนหยิ่งๆ ดิบๆ เถื่อนๆ ไปเลย กอปรกับรูปร่างเหมือนนายแบบ และหน้าตาคมเข้มแบบคนใต้แต่ได้ความขาวแบบคนจีน จึงทำให้รูปลักษณ์เขาดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เพียงแต่.. “ถ้านายยิ้มง่ายกว่านี้อีกสักนิด สาวๆ ทั้งสงขลาคงเสร็จนาย”“หน้าตาไม่มีประโยชน์เท่ากับเงินหรอกไอ้ทศ” วิโมกข์ยิ้มเยาะ หยิบขวดเบียร์กรอกใส่ปาก “ต่อให้มึงขี้เหร่จนหมาเมิน แต่ถ้ามึงมีเงินนางงามยังยอมเป็นเมียน้อยมึงเลย”“มึงอคติกับชีวิตไ
บทที่ 5 คนเดิมฮึ่ม! ชายหนุ่มถึงกับทำหน้าไม่ถูก เมื่อได้ยินเด็กสาววัยละอ่อนพูดออกมาตรงๆ แบบนั้น แต่เมื่อเห็นอาการของเธอก็เข้าใจ จึงก้มตัวลงให้ต่ำกว่าเธอแล้วมองไปยังจุดที่เธอบอกพร้อมกับส่องไฟฉาย“แค่แมงพลัดน่ะคุณ ไม่มีพิษหรอก ไม่ต้องกลัว”“เอามันออกไปที ชาร์มกลัว ฮือๆๆ ฮือๆๆ” เธอขอร้องทั้งน้ำตาเมื่อเขาไม่ยอมทำอะไรกับมันสักทีคำขอของเธอทำเอาเขาหายใจไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว เขาจะทำแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมันเลือกที่เกาะได้เหมาะเจาะแบบนั้น แล้วเสื้อของเธอก็เป็นแบบพอดีตัว ถ้าเขาจับไป.. สุดท้ายเขาจึงใช้ไฟฉายเขี่ยมันให้หนี แต่เพราะขามันเหนียวหรือเพราะมันชีกอก็ไม่รู้ มันจึงไม่ยอมบินหนีไปจากตรงนั้นเลย“จับมันสิคะ อย่าเขี่ยแบบนั้นเดี๋ยวมันบินใส่ชาร์ม ชาร์มกลัว ฮือๆๆ ฮือๆๆ” เธองอตัวลงต่ำยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาสะกิดมันแบบนั้นความกลัวของเธอทำให้วิโมกข์ตัดสินใจจับแมลงตัวนั้นด้วยมือของเขา พยายามไม่ให้สัมผัสโดนเธอแต่มันก็ยังมีบ้างแผ่ว ๆ เพราะเธออยู่ไม่นิ่งเลย“ผมจับมาแล้ว” เขาบอกกับคนที่ยังหลับหูหลับตาร้องไห้ชาร์มมิ่งค่อย ๆ หยุดร้องแล้วมองไปที่มือของเขา เมื่อเห็นแมลงตัวนั้นถูกจับออกไปแล้วจริง ๆ จึงยืดตั