วันเวลาที่สดใสในไร่ลำไยดูเหมือนจะถูกหยุดลงอย่างกะทันหันในวันหนึ่ง
เดือนยังจำวันนั้นได้ดี เป็นบ่ายแก่ ๆ ที่แดดเริ่มอ่อนแสงลง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วเหมือนเช่นทุกวัน แต่บรรยากาศในไร่กลับเงียบสงัดผิดปกติ ตอนแรกเดือนคิดว่าพี่ขุนกับพี่เข้มคงออกไปดูงานที่ปลายไร่เหมือนเคย เธอจึงวิ่งตรงไปที่บ้านของพี่เข้ม แต่เมื่อไปถึง กลับพบว่าประตูหน้าบ้านเปิดแง้มอยู่ ความเงียบภายในบ้านทำให้เดือนรู้สึกแปลกใจ “พี่ขุน! พี่ขุนอยู่ไหนคะ!” เดือนเรียกชื่อพี่ชายเสียงใส แต่ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงความเงียบที่ดูดกลืนเสียงเธอหายไป เธอเดินเข้าไปในบ้านอย่างช้า ๆ หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอเดินผ่านห้องครัวที่สะอาดสะอ้าน ห้องรับแขกที่ว่างเปล่า และห้องนอนของขุนที่เปิดประตูทิ้งไว้ บนเตียงนอนของขุน ผ้าห่มถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยของข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว เสื้อผ้าที่เคยแขวนอยู่บนราวก็หายไป ราวกับว่าไม่มีใครเคยพักอยู่ตรงนั้น เดือนเริ่มรู้สึกใจหาย เธอวิ่งออกไปที่ลานหน้าบ้าน มองไปยังไร่ลำไยที่กว้างใหญ่ พยายามมองหาเงาร่างคุ้นตาของขุน แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ไม่มีวี่แววของเขาเลย ไม่นานนัก พี่เข้มก็เดินกลับมาจากท้ายไร่ ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้ากว่าปกติ ดวงตาที่เคยสงบนิ่งกลับมีแววเศร้าปนกังวล “พี่เข้ม! พี่ขุนไปไหนคะ!” เดือนวิ่งเข้าไปหาพี่เข้ม ถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ พี่เข้มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาก้มลงมองเดือน ดวงตาของเขาฉายแววลึกซึ้ง “ขุน…ขุนไปแล้ว” “ไปไหนคะ! ไปเมื่อไหร่!” เดือนถามรัวเร็ว น้ำตาเริ่มคลอเบ้า “เขาไปแล้ว…ไปตั้งแต่เมื่อคืน” พี่เข้มตอบเสียงแผ่ว “เขาไม่ได้บอกอะไรพี่เลย” คำพูดของพี่เข้มเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของเดือน โลกทั้งใบของเธอเหมือนพังทลายลงในพริบตา “ไม่จริง! พี่ขุนไม่เคยไปไหนโดยไม่บอกหนู!” เดือนร้องไห้ออกมา เธอไม่เชื่อว่าพี่ชายที่เคยสัญญากับเธอว่าจะอยู่ตรงนี้ตลอดไป จะจากไปโดยไม่มีคำร่ำลา พี่เข้มโอบกอดเดือนแน่น พยายามปลอบโยนน้องสาวตัวเล็ก ๆ ที่กำลังเสียใจ “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันเดือน…ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไป” วันนั้น เดือนร้องไห้จนหลับไปในอ้อมกอดของพี่เข้ม เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แสงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดมิดเข้ามาปกคลุมไร่ลำไย และปกคลุมหัวใจของเดือน คืนนั้นยาวนานราวกับไม่มีวันสิ้นสุด เดือนนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ในหัวใจเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่ไม่มีใครตอบได้ ทำไมพี่ขุนถึงไป? เขาจะกลับมาไหม? เขาลืมคำสัญญาของเราแล้วใช่ไหม? ไร่ลำไยที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของขุน บัดนี้กลับเงียบสงัดและดูอ้างว้าง เดือนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไปจากชีวิตของเธอ หลังจากวันที่ขุนหายไป ไร่ลำไยที่เคยเต็มไปด้วยความอบอุ่นก็เหมือนมีเงาอะไรบางอย่างปกคลุมอยู่ เดือน ยังคงแวะเวียนมาที่บ้านพี่เข้มเสมอ แต่ภาพของเด็กชายผู้ร่าเริงที่เคยวิ่งเล่นอยู่รอบ ๆ กลับเหลือเพียงความว่างเปล่า พี่เข้ม เองก็ดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเขาที่เคยมีประกายความสุขุมและอ่อนโยน บัดนี้กลับเคร่งขรึมและหมองลง เขาทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แต่กลับไม่ค่อยพูดจาเหมือนเมื่อก่อน รอยยิ้มที่เคยมีให้เดือนก็เลือนหายไป “พี่เข้ม…พี่ขุนจะกลับมาไหมคะ” เดือนเคยถามพี่เข้มในวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งลับมีดอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน พี่เข้มเงยหน้าขึ้นมองเดือนช้า ๆ ดวงตาของเขามีความเจ็บปวดบางอย่างซ่อนอยู่ “ไม่รู้สิเดือน…พี่ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” เขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น แต่เดือนรับรู้ได้ถึงความหนักอึ้งในใจของพี่เข้ม ความจริงแล้ว การหายไปของขุนนั้นมีที่มาที่ไปที่ซับซ้อนกว่าที่เดือนเด็กน้อยจะเข้าใจนัก ในวันนั้นที่ขุนหายไป... ขุน ได้บอกกับพี่เข้มว่าเขาอยากไปเรียนต่อในเมือง ใบสมัครทุนเรียนต่อในกรุงเทพฯ วางกางอยู่บนโต๊ะกินข้าว แต่ข้าง ๆ กันคือแบบแปลนขยายเรือนแปรรูปผลไม้ที่พี่เข้มเพิ่งสเกตช์ไว้ “พี่…ถ้าผมได้ทุนนี้ ผมจะต้องไปอยู่กรุงเทพฯ อย่างน้อยสี่ปีนะ” เสียงของขุนในตอนนั้นเบามาก เหมือนคนพูดไม่เต็มเสียง พี่เข้มไม่ได้เงยหน้าจากแบบแปลน เขากลับตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่ขุนไม่เคยลืม “อยู่ที่นี่ก็เรียนรู้ได้ ไม่เห็นต้องไปไกลถึงกรุงเทพฯ ให้เหนื่อย” ประโยคนั้นสั้น แต่คมกว่ามีดเล่มไหน มันไม่ได้ห้าม แต่กลับ “ตัดไฟ” ในแววตาของขุน ไปอย่างเงียบ ๆ หลังจากวันนั้น ขุนไม่ได้พูดถึงเรื่องเรียนต่ออีกเลย ไม่ได้ยื่นใบสมัคร ไม่ได้หยิบเอกสารมาพูดซ้ำ เขาแค่เงียบลง…เงียบลงทุกวัน จนกระทั่งเขาหายไปจากบ้านในวันนั้น แม่ ของพี่เข้มและขุนบอกว่า “รอเขาใจเย็นลง เดี๋ยวก็กลับมา” น้ำเสียงของแม่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าลูกชายแค่งอน พ่อ ก็เสริมว่า “อย่าไปตาม เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็รู้” พ่อเชื่อว่าลูกชายจะต้องกลับมาเมื่อเจอความลำบาก แต่ พี่เข้ม… เขาพูดว่า “มันแค่งอน เดี๋ยวก็กลับ” เขาคิดว่าน้องชายคงน้อยใจที่เขาไม่เห็นด้วยกับการไปเรียนในเมือง และคงจะกลับมาเมื่อคิดได้ แต่เขาลืมไปว่า บางความเงียบ ถ้าไม่ฟัง มันจะกลายเป็นรอยร้าวที่ไม่มีวันเย็บกลับ พี่เข้มมัวแต่ยุ่งกับการขยายไร่ มัวแต่ดูบัญชี ปรับแผนงาน ปรับคน เขาเห็นว่าน้องชายที่เคยยืนข้างหลังเขาเสมอ เริ่มเงียบขึ้นทุกวัน เริ่มตื่นสาย เริ่มไม่ค่อยพูด เขาเห็น…แต่เขาไม่ได้ถาม “เพราะในหัวพี่…มีแต่คำว่า ‘แกต้องโตให้ได้’ ไม่เคยถามเลยว่า แกไหวมั้ย” จนวันหนึ่ง…เด็กคนนั้นก็หายไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย ไร่ลำไยยังคงผลิตผลผลิตงดงาม แต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพี่เข้มกลับหายไป เขากลายเป็นคนเคร่งขรึม ไม่ร่าเริงเหมือนเคย แผ่นหลังที่เคยดูมั่นคง บัดนี้กลับดูแบกรับอะไรบางอย่างไว้หนักอึ้ง เด็กหญิงยังมาแวะหน้าบ้านทุกวัน เหมือนลมหายใจยังรอใครบางคน เธอยังยืนที่พุ่มพุดซ้อน รอคนที่เคยยื่นมือมาลูบหัวเธอเบา ๆ แต่ตอนนี้มีเพียงสายลมที่พัดผ่าน ใบไม้ที่หล่นกราวแทนคำทัก พี่เข้มยังอยู่ที่เดิม แต่แววตาเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขายังคงดูแลไร่ ขยายโรงเรือน ทำงานหนักขึ้นจนคนในหมู่บ้านเอ่ยปากชม แต่ในบ้านไม้หลังนี้กลับไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีมงกุฎใบไม้ ไม่มีเสียงเด็กชายอ้อนขอขนมจากแม่ วันหนึ่ง เดือนเปิดลิ้นชักใต้เตียงในห้องขุนโดยบังเอิญ เธอเจอกล่องเหล็กใบเล็ก ด้านในมีแค่ของไม่กี่ชิ้น มงกุฎใบลำไยที่เธอเคยสาน รูปวาดของเธอกับขุน และกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนด้วยลายมือรีบ ๆ “ถ้าวันหนึ่งพี่ไม่อยู่ตรงนี้… จำไว้นะเดือน ว่าพี่เคยยืนอยู่ตรงนี้เพื่อเธอจริง ๆ ไม่ได้ลืม ไม่ได้หายไป แค่…อยากกลับมาให้ดีกว่าเดิม” มือของเดือนสั่น…น้ำตาไหลหยดลงบนกระดาษใบนั้น ภาพในหัวที่เคยมัว กลับชัดเจนขึ้นในวินาทีนั้นเองบรรยากาศในบ้านของ พี่เข้ม เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองให้กับ บัณฑิตใหม่ อย่าง ขุนพอล และ ลินดา เดินทางมาร่วมงานด้วย พวกเขานำไวน์ชั้นดีและขนมเค้กมาเป็นของขวัญ ข้าวหอมช่วยจัดเตรียมอาหารเย็นชุดใหญ่ มีทั้งอาหารพื้นบ้านและอาหารที่ขุนชอบเป็นพิเศษโต๊ะอาหารถูกจัดวางไว้นอกชานบ้าน ใต้แสงไฟสลัว ๆ ที่ห้อยระย้าจากต้นไม้ใหญ่ เสียงดนตรีเบา ๆ คลอเคล้าไปกับเสียงพูดคุยและเสียงแก้วกระทบกันเดือน มาถึงพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เธอสวมชุดที่เรียบง่ายแต่ดูสง่างาม ดวงตาเป็นประกายเมื่อมองมาที่ขุน“ยินดีด้วยอีกครั้งนะคะพี่ขุน” เดือนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่จริงใจขุนยิ้มตอบ “ขอบคุณนะเดือน” เขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดเมื่อได้เห็นเธออยู่ตรงนี้ทุกคนนั่งล้อมวงกันที่โต๊ะอาหาร พี่เข้มรินไวน์ให้ทุกคน พอลยกแก้วขึ้น“ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ของเราด้วยนะขุน” พอลกล่าว “นายเก่งมากจริง ๆ”ทุกคนยกแก้วขึ้นชนกัน เสียง “ไชโย!” ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงลินดายิ้มให้ขุน “ดีใจด้วยนะคะขุน ที่ดิน 50 ไร่ที่พี่เข้มให้…อยู่ติดกับไร่ดอกไม้ของลินดาเลยนะ” เธอเอ่ยขึ้น “ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกได้เลยนะ”ขุนพยั
หลังจากวันนั้นที่คาเฟ่ ขุน ตัดสินใจที่จะกลับไปเรียนต่อในเมืองตามคำแนะนำของ พี่เข้ม แม้ในใจลึก ๆ จะมีความรู้สึกบางอย่างที่อยากจะอยู่ใกล้ เดือน และไร่ลำไย แต่เขาก็รู้ว่าการเรียนคือโอกาสสำคัญที่พี่ชายมอบให้ และเป็นสิ่งที่เขาเคยใฝ่ฝันมาตลอดขุนเดินทางกลับเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เขาทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนัก ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุดและห้องปฏิบัติการ ความรู้ใหม่ ๆ ที่ได้รับทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขามองเห็นอนาคตที่สดใสขึ้นเรื่อย ๆ และตั้งใจว่าจะนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนา "บ้านไร่ในฝัน" ของเขาให้เป็นจริงตลอดช่วงเวลาที่ขุนเรียนอยู่ในเมือง เขาจะโทรศัพท์กลับมาคุยกับพี่เข้มและข้าวหอมเป็นประจำ เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบและข่าวคราวของไร่ลำไย และแน่นอนว่าเขามักจะแอบถามถึง เดือน เสมอเดือนเองก็ใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งและมีความสุขกับการทำงานที่คาเฟ่ดอกไม้ของ ลินดา เธอเติบโตเป็นหญิงสาวที่มั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังคงเฝ้ารอคอยการกลับมาของขุนเสมอเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว…ในที่สุด วันที่ ขุน รอคอยก็มาถึง วันรับปริญญา ของเขาพี่เข้มและข้าวหอมพร้อมด้วย ต้นฝัน ลูกสา
เสียงเรียกชื่อของ เดือน แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกทั้งใบของ ขุน หยุดนิ่ง ดวงตาของทั้งคู่สบกัน ขุนเห็นความตกใจและแปลกใจในแววตาของเดือน ส่วนเดือนก็เห็นความรู้สึกบางอย่างที่เธออ่านไม่ออกในดวงตาของเขาลูกค้าหนุ่ม ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างก็หันมามองขุนด้วยความสงสัยเล็กน้อย เดือนที่ตั้งสติได้ก่อน รีบส่งยิ้มให้ลูกค้าพร้อมรับออเดอร์อย่างเป็นธรรมชาติ“พี่ขุนมาเมื่อไหร่คะ” เดือนถามขณะที่เธอกำลังชงกาแฟให้ลูกค้า มือของเธอดูคล่องแคล่ว แต่ขุนก็สังเกตเห็นว่ามันสั่นไหวเล็กน้อย“เมื่อวาน” ขุนตอบสั้น ๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เดือน ไม่ได้สนใจลูกค้าคนอื่น ๆ เลยเมื่อเดือนชงกาแฟเสร็จและส่งให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันมาเผชิญหน้ากับขุนอย่างเต็มที่“มาเที่ยวคาเฟ่เหรอคะ” เดือนพยายามยิ้มให้เขาอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นยังคงสวยงาม แต่ดูต่างไปจากรอยยิ้มสดใสในวัยเด็กอย่างสิ้นเชิง มันคือรอยยิ้มของหญิงสาวที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย“มาเยี่ยมหลาน” ขุนตอบ และในที่สุดเขาก็เดินเข้าไปยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ “พี่เข้มมีลูกสาวแล้ว ชื่อต้นฝัน”ดวงตาของเดือนเป็นประกายด้วยความยินดี “จริงเหรอคะ! ดีใจด้วยจังเล
หลังจากวันที่ ขุน จากไปอีกครั้งพร้อมกับคำสัญญาที่ยังค้างคา เดือน ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ เธอปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาจนหมดสิ้น ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดือนรู้ดีว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป และเธอจะต้องเข้มแข็งให้ได้เวลาผ่านไป เดือนเริ่มเติบโตเป็นสาวเต็มตัว ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นความคิดและจิตใจ เธอตัดสินใจที่จะไม่จมอยู่กับความเศร้า แต่จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด เพื่อรอคอยวันที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ด้วยความช่วยเหลือของ พี่เข้ม และ ข้าวหอม เดือนได้มีโอกาสเข้าไปทำงานใน ไร่ดอกไม้เรือนกระจกของลินดา ซึ่งอยู่ทางเหนือของไร่ลำไย เธอเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เรียนรู้การดูแลดอกไม้ การจัดดอกไม้ และการบริหารจัดการคาเฟ่ดอกไม้ที่สวยงามลินดา มองเห็นความตั้งใจและความมุ่งมั่นในตัวเดือน เธอเอ็นดูเดือนเหมือนน้องสาวคนเล็ก คอยสอนงาน ให้คำแนะนำ และเป็นที่ปรึกษาในทุก ๆ เรื่อง ลินดาไม่ได้สอนแค่เรื่องงาน แต่ยังสอนเรื่องการใช้ชีวิต การจัดการกับอารมณ์ และการมองโลกในแง่บวก“ดอกไม้ก็เหมือนใจคนนะเดือน” ลินดาเคยพูดขึ้นในวันหนึ่งขณะที่ทั้งคู่กำลังจัดดอกไม้อยู่ในเรือนกระจก “ถ้าเราดูแลมันดี
วันเดินทางมาถึง ท้องฟ้าแจ่มใสผิดกับคืนก่อน ๆ ที่มืดครึ้ม ขุน ตื่นแต่เช้า จัดกระเป๋าเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดลงในกระเป๋าเดินทางใบเก่า ความรู้สึกตื่นเต้นระคนสับสนยังคงวนเวียนอยู่ในใจหลังจากทานอาหารเช้าที่ ข้าวหอม เตรียมไว้ให้ ขุนก็เดินออกมาที่หน้าบ้าน พี่เข้ม ยืนรออยู่แล้ว ข้าง ๆ เขาคือรถกระบะคันเก่าของไร่ สีซีดจางไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังดูดีและใช้งานได้“รถคันนี้…พี่ให้แกเอาไปใช้ในเมือง” พี่เข้มพูดขึ้น น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ แต่แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “มันอาจจะเก่าหน่อย แต่ก็ยังวิ่งได้ดี ดูแลมันดี ๆ นะ”ขุนมองรถคันนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ เขาไม่คิดว่าพี่เข้มจะให้รถเขาไปใช้ในเมือง “ขอบคุณครับพี่”พี่เข้มวางมือบนไหล่น้องชาย “ไปถึงแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”ขุนพยักหน้า เขารับกุญแจรถมาจากพี่เข้ม ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถ เตรียมตัวที่จะก้าวเข้าไปก่อนที่จะสตาร์ทรถ ขุนเหลือบมองไปยัง บ้านของเดือน ที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบที่ปกคลุมอยู่ แต่ในใจก็อดคิดถึงเธอไม่ได้เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเสียบกุญแจและบิดสตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์เก่า ๆ ดังกระหึ่มขึ้นมาใน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความคิดคำนึงถึงคำสัญญาในวัยเด็ก ขุน ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ยังหนักอึ้ง แต่เขาก็พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นมาช่วยงานในไร่ลำไยเหมือนเช่นเคยขณะที่ขุนกำลังช่วย พี่เข้ม ตัดแต่งกิ่งลำไยอยู่กลางไร่ พี่เข้มก็วางกรรไกรลง เขามองไปยังขุนด้วยแววตาที่จริงจังกว่าปกติ“ขุน…แกอยากกลับไปเรียนไหม” พี่เข้มเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหันขุนชะงักมือที่กำลังตัดกิ่งไม้ เขาเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าพี่เข้มจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา“เรียนเหรอครับพี่” ขุนทวนคำถามพี่เข้มพยักหน้า “ใช่…พี่รู้ว่าแกอยากเรียนมาตลอด พี่…พี่ขอโทษนะที่วันนั้นพี่พูดไม่ดี” น้ำเสียงของพี่เข้มแผ่วลงเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เก็บงำมานาน “พี่อยากจะชดเชยให้แก”ขุนยืนนิ่ง เขามองพี่ชายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งแปลกใจ ตื้นตัน และสับสน เขาไม่เคยคิดว่าพี่เข้มจะพูดคำว่าขอโทษ และไม่เคยคิดว่าพี่ชายจะยังจำความฝันเรื่องการเรียนของเขาได้“พี่ได้คุยกับ อาจารย์สมศักดิ์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ท่านเป็นเพื่อนเก่าของพ่อเรา ท่านบอกว่าถ้าแกสนใจ ท่านจะช่วยดูเรื่องทุนการศึกษาให้