ผมใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถพารถหรูของตัวเองมาจอดยังหน้าสถานีที่เคยมาครั้งก่อนได้ ฮิลล์ส่งข้อความมาบอกว่า คนของมันถูกจับขังไว้ในห้องของฝ่ายสืบสวน ผมเดินถามเจ้าหน้าที่ตำรวจแถวนั้นสักพักก็เจอห้องของฝ่ายสืบสวน หน้าห้องถูกแปะป้ายไว้ว่า 'ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต' เอาไงดีล่ะ คนมีมารยาทแบบเราก็เปิดเข้าไปเลยแล้วกัน ประตูห้องมันไม่ได้ล็อกเสียหน่อย แสดงว่าเขาอนุญาตแล้ว
"สวัสดีครับ ผมมาพบสารวัตรศิรชัชครับ" ผมบอกตำรวจในห้องห้าหกคนที่หันมาทางผมเป็นตาเดียว
"อะ เอ่อ มีธุระอะไรครับ" นายตำรวจคนหนึ่งถามผม
"มีธุระส่วนตัวนิดหน่อยครับ"
"เดี๋ยวผมตามให้นะครับ" นายตำรวจคนนั้นรีบเดินเข้าไปในห้องที่ติดฟิล์มมืดห้องหนึ่ง โดยที่ยังไม่เชิญผมเข้าไปนั่งรอ เอายังไงละทีนี้ร้อนก็ร้อน ผมมองหาเก้าอี้ว่างๆ สักตัวนั่งรอก็แล้วกัน
"จะให้ผมบอกสารวัตรว่าใครมาหาครับ" ตำรวจคนเดิมถามผมหลังตากที่ผมนั่งได้ไม่ถึงนาที
"บอกว่าเจ้านายของคนที่สารวัตรไปเอาตัวมาเมื่อคืนครับ" ผมยิ้มเชื่อมความสัมพันธ์ให้กับบรรดาลูกน้องของว่าที่แฟนตัวเอง แต่ทำไมหน้านายตำรวจคนที่มาถามผมถึงได้ซีดลงกันนะ
"งั้นคุณตามผมมาดีกว่าครับ" นายตำรวจคนนั้นเดินนำผมไปยังห้องที่ติดฟิล์มมืดห้องนั้น พอเปิดประตูให้ผมเสร็จตำรวจคนนั้นก็เดินจากไปเลย ผมจึงเดินเข้าไปในห้องนั้นเพียงลำพัง
"สวัสดีครับ" ผมทักทายเจ้าของห้องด้วยความจริงใจและเป็นมิตร แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่อยากเป็นมิตรกับผมเท่าใดนัก
"มีธุระอะไรครับ" เจ้าของห้องถามผมด้วยใบหน้าเย็นชา
"ผมมารับคนของผมครับ" ผมเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่ตั้งตรงข้ามคุณตำรวจสุดเข้ม
"คุณเองเหรอ" แววตาที่จ้องมองมายากจะคาดเดา แต่ก็ช่างเถอะ
"ใช่ครับ ผมเอง"
"คุณส่งคนตามผมทำไม"
"ผมแค่กำลังตามสืบประวัติคนที่ชอบ" ผมตอบด้วยใบหน้าที่คิดว่าใสซื่อที่สุดในชีวิต กะพริบตาปริบๆ ให้ด้วย กลัวเขาไม่รู้ว่าพูดจริง
"สิ่งที่คุณทำมันผิดกฎหมายนะครับ" คุณสารวัตรกัดฟันจนเห็นแนวกรามชัดเจน หวังว่าคงไม่ควักปืนมายิงผมนะ
"ทราบครับ แต่ไม่คิดว่าสารวัตรจะรู้ตัวเร็วขนาดนี้" ตอนนี้คุณสารวัตรหน้าแดงไปจนถึงใบหูเลยแฮะ อายหรือว่าโกรธกันแน่ (น่าจะอย่างหลังนะไซโคลน พอเหอะก่อนแกจะโดนยิงกระบาล)
"รีบบอกสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ มาเถอะครับ ผมไม่มีเวลาเล่นด้วย" น้ำเสียงเย็นยะเยือกถูกส่งมายังผม ใบหน้าของเขานิ่งจนผมแอบเสียวสันหลังเบาๆ
"ผมบอกไปหมดทุกอย่างแล้ว ถ้าจะให้บอกสิ่งที่ต้องการจริงๆ คงมีอย่างเดียว เป็นแฟนผมเถอะ" ปู่ผมสอนไม่ให้โกหก และก็อย่าให้ใครมาโกหกตัวเองได้นี่นา
"ผู้กองกาย! " คุณสารวัตรลุกขึ้นตะโกนลั่นห้องจนได้ยินไปถึงข้างนอก ไม่กี่วินาทีประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างนายตำรวจคนที่เดินมาส่งผมเมื่อกี้
"ครับสารวัตร!" นายตำรวจคนนั้นยังกระหืดกระหอบไม่หาย
"เอาไอ้เด็กเวรนี่ออกไปก่อนผมจะยิงมัน!" คุณสารวัตรออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
"ครับผม!" นายตำรวจคนนั้นรับคำสั่งก่อนเดินเข้ามาจับแขนผมดึงให้ลุกขึ้น
"ปล่อยผม ผมลุกเองได้ครับ" ผมรั้งแขนดึงออกจากมือของนายตำรวจคนนั้น
"สารวัตรช่วยปล่อยคนของผมก่อนครับ แล้วผมจะไป" ผมกอดอกยื่นข้อเสนอ
"ผมยังสอบสวนไม่เสร็จ" คุณสารวัตรตอบกลับอย่างห้วนๆ
"ผมบอกความจริงไปหมดแล้ว" ผมกอดอกยักไหล่ขึ้นเล็กน้อย ก็บอกความจริงไปแล้วจริงๆ อ่ะ
"ความจริงประสาทแบบนั้นเหรอ" หัวคิ้วของคุณสารวัตรขมวดจนแทบจะชนกันอยู่แล้ว เรื่องมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นสักหน่อย จะซีเรียสทำไม
"ใช่ครับ!" ผมพยักหน้ายืนยัน ทั้งหมดที่พูดไปก็คือก็ความจริงทั้งนั้น
"รีบออกไป ก่อนที่ความอดทนผมจะหมด" ดูสิคุณสารวัตรไม่เชื่อที่ผมพูด งั้นเราควรต้องเปลี่ยนข้อตกลง
"งั้นถ้าคุณยอมปล่อยคนของผมไป ผมจะช่วยคุณสืบเรื่องไอ้ตี๋" ผมยื่นข้อเสนอใหม่
"หน้าอย่างคุณเนี่ยนะ" ให้มันมาเป็นคำพูดก็พอ สีหน้าไม่ต้อง
"ใช่...ผมจะส่งตัวลูกน้องไอ้ตี๋ที่อยู่กับผมอีกคนให้คุณ" จากสีหน้าและสายตาดูถูกเมื่อสักครู่ เปลี่ยนเป็นสายตาครุ่นคิดสักครู่
"ผู้กอง ไปพาไอ้สี่ตัวนั่นมา" คุณสารวัตรหันไปสั่งนายตำรวจที่ยืนอยู่ข้างหลังผม ข้อเสนอนี้ดูจะเป็นผล โอเคเริ่มแผนขั้นที่หนึ่งทำตัวให้มีประโยชน์ต่องานของเขา
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมนอนเหม่ออยู่อย่างนั้น แต่แล้วเสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นติ๊ง!ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากริว: “ว่างไหม?”หัวใจผมกระตุกวูบแปลก ๆ ก่อนจะรีบพิมพ์ตอบกลับไปฝุ่น: “มีอะไร?”รออยู่ครู่หนึ่ง ข้อความถัดไปก็เด้งขึ้นมาริว: “มาหาหน่อย”ผมนิ่วหน้า อะไรของเขาวะ?ฝุ่น: “นายอยู่บ้าน?”ริว: “หน้าห้องนาย”หน้าห้อง?!ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที กวาดตามองนาฬิกา…จะเที่ยงคืนแล้วหมอนี่มันคิดอะไรอยู่ถึงมาโผล่แถวนี้เวลานี้วะ?ผมหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออกไปตามที่เขาบอกผมเปิดประตูออกไปก็เจอเขายืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนทุกครั้ง แต่มีบางอย่างในแววตาที่ดูไม่เหมือนเดิม“มาทำไม?” ผมถามพลางกอดอก“คุยกันหน่อย”“เรื่องอะไร?”“เรื่องของเรา”คำว่า ‘เรา’ ทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อย“ไม่มีอะไรให้คุย” ผมบอกเสียงเรียบ “ฉันพูดไปหมดแล้ว”ริวไม่ได้ตอบอะไรในทันที เขาแค่ยกบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้แล้วจุดไฟ สูดมันเข้าปอดก่อนจะพ่นควันออกมาช้า ๆ“…ฉันไม่ชอบความไม่แน่นอน” เขาพูดขึ้นในที่สุด“หืม?”“ฉันไม่ชอบอะไรที่คลุมเครือ” เขาเอียงหน้ามองผม “แล้วฉัน
ผมกอดอกมองสองพี่น้องเถียงกันอย่างไม่รู้จะทำยังไง เรื่องระหว่างผมกับริวมันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้รุยเข้าใจได้"กูสองคนแค่จูบกันไอ้รุย ยังไม่ได้เอากัน"พวกยากูซ่านี่เชื่อถือไม่ได้จริงๆ ไม่ได้เอาพ่อง!"ถ้าจูบกันแล้วก็ต้องเป็นแฟนกันสิ จะมาแอบกินกันเฉยๆ เหมือนไอ้ฮิลล์ไม่ได้นะ" รุยเถียงต่อ"เราแค่จูบกันรุย นายอย่างี่เง่า" น้ำเสียงของไอ้ยากูซ่าขี้เก๊กเริ่มระอา"นายอย่ามาโมโหกลบเกลื่อน" รุยยังคงไม่ยอม"วุ้ยย! มึงจะอะไรนักหนากะอีแค่จูบ ใครๆ เขาก็จูบกันได้ตอนเมา" ผมพูดแทรกขึ้นมา ถ้าผมไม่มีปัญหาทุกอย่างก็น่าจะจบสินะ"พ่องมึงดิ จะมีกี่คนที่จูบพี่ของเพื่อนตอนเมา"มากกว่าจูบกูก็ทำกันมาล่ะ"เออ…มันก็แค่อุบัติเหตุ ใช่ไหม?" ประโยคหลังผมหันไปหาริว เพื่อขอกำลังสนับสนุน"อือ…" ริวพยักหน้า“กูไม่ใช่เด็กแล้วนะริว!"ปั่ก!"ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายเหรอ..." ริวตบหัวรุย"อู้ยยส์...เจ็บนะ พะ..พี่" ไอ้รุยเริ่มกลัวเมื่อเห็นสายตาของพี่ชายตัวเองริวถอนหายใจก่อนล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด เขาพ่นควันออกจากปากก่อนพูดประโยคที่สิ้นคิดที่สุดออกมา"คบก็คบสิ""ชะ...ช่ายย ห๊ะ!! เดี๋ยวๆ คบอะไร ใครคบกัน" ผมถามด้วยความตกใจ"
…ไซโคลน Talk…ผมยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องพักในโรงแรม มองแสงไฟของโตเกียวที่ส่องสว่างอยู่เบื้องล่าง แต่ความคิดของผมกลับไม่ได้อยู่ที่ทิวทัศน์เหล่านั้นเลยโทรศัพท์ในมือสั่นอีกครั้ง แจ้งเตือนข้อความจากไต้ฝุ่น“มาถึงแล้ว”ผมกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ นิ้วโป้งแตะไปบนหน้าจอโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบชักมือกลับราวกับของร้อนสารวัตร… มาถึงญี่ปุ่นแล้วจริง ๆผมถอนหายใจแรง กดโทรศัพท์ปิดเสียงก่อนจะโยนมันลงบนโต๊ะ ผมเงยหน้ามองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ เห็นภาพสะท้อนของชายหนุ่มที่พยายามทำเป็นไม่สนใจอะไร แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่นผมคิดว่า… ถ้าออกมาห่างไกลขนาดนี้แล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นผมคิดว่า… ถ้าหายไปจากสายตาเขาแล้ว อีกฝ่ายก็คงไม่รู้สึกอะไรแต่เปล่าเลย…สารวัตรตามมาถึงที่นี่และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมไม่ได้แน่ใจว่าตัวเองอยากให้เขาหาเจอหรือไม่…สไนเปอร์ Talk…ผมยืนอยู่หน้าโรงแรมหรูใจกลางโตเกียว มองขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เป็นห้องพักของไซโคลนไต้ฝุ่นเป็นคนบอกผมว่าไซโคลนอยู่ที่นี่ และถึงแม้เขาจะไม่ได้บอกเลขห้องตรง ๆ แต่แค่มีข้อมูลนี้ก็มากพอแล้วผมกำโทรศัพท์แน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆถ้าผมขึ้นไป
…สไนเปอร์ Talk…ผมมองจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า แต่มันกลับเบลอไปหมดคดียังคงเดินหน้า งานทุกอย่างยังคงต้องทำเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างในใจที่คอยฉุดรั้งให้ผมไม่มีสมาธิไซโคลนไม่อยู่แล้วจริง ๆเขาหายไปจากชีวิตผมแบบสมบูรณ์แบบ… ไม่มีร่องรอย ไม่มีการติดต่อกลับ ไม่มีแม้แต่เงาของเขาให้เห็นผมถอนหายใจ กวาดสายตามองโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวจะโทรไปดีไหม?นิ้วผมเลื่อนไปที่ชื่อของเขา ก่อนจะชะงัก… และกดปิดหน้าจอไปถ้าเขาอยากให้ผมตามหา… เขาคงจะทิ้งอะไรไว้ให้ผมบ้างแต่เขาเลือกที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ แปลว่าเขาคงต้องการแบบนั้นจริง ๆ“เฮ้อ…” ผมเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงาน“เข้ามา”จ่าแชมป์โผล่หน้าเข้ามา “สารวัตร ผมมีข่าวบางอย่าง”ผมเลิกคิ้ว “ข่าวอะไร?”“คนของเราสืบมาให้แล้วครับ…” จ่าแชมป์ส่งแฟ้มเอกสารให้ผม “คุณไซโคลนอยู่ที่ญี่ปุ่นจริง ๆ และดูเหมือนเขาจะตั้งใจอยู่ที่นั่นอีกนาน”ผมนิ่งไป ก่อนจะเปิดแฟ้มออกดู รายละเอียดที่ระบุอยู่ตรงหน้ามันชัดเจนจนผมปฏิเสธไม่ได้และมีรูปที่ไซโคลนไปไหนมาไหนกับริวอย่างสนิทสนม…ใจผมคล้ายๆ มีอะไรหนักๆ กดทับไว้จนเจ็บผม… กำลังจะเสียเขาไปแล้วจริง ๆ
…ไซโคลน Talk…ผมไม่ได้หลบหน้าเล่น ๆ แต่ผมเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมไม่ได้ติดต่อกลับไปหาสารวัตรอีกเลย ไม่มีการส่งกาแฟ ไม่มีการไปหา ไม่มีแม้แต่ข้อความทิ้งไว้เหมือนทุกทีผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดื้อรั้นและไม่เคยยอมแพ้ แต่ครั้งนี้… บางทีผมอาจต้องเป็นฝ่ายปล่อยมือจริง ๆตอนแรกมันก็ยากอยู่หรอก กว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึง ไม่ให้เผลอกดโทรหาหรือส่งข้อความไป ผมต้องข่มใจตัวเองอยู่หลายครั้ง ต้องดื่มให้หนักขึ้น ต้องเอางานมากลบความคิด แต่สุดท้ายแล้ว… มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักทุกคืนก่อนนอน ผมยังคงเผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หวังว่าบางทีสารวัตรอาจจะเป็นฝ่ายส่งข้อความมาก่อน หรืออย่างน้อยอาจจะมีมิสคอลสักสายแต่ไม่มีเลย…เหมือนเขาหายไปจากชีวิตของผมโดยสมบูรณ์ผมเอนตัวพิงกระจกห้องพักโรงแรมในโตเกียว มองแสงไฟของเมืองที่ยังคงสว่างไสว ทว่าความเงียบในห้องมันกลับกดดันผมยิ่งกว่าความวุ่นวายข้างนอกผมคิดถึงสารวัตร…คิดถึงคนที่เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉยเวลาถูกแหย่ คิดถึงคนที่บ่นว่าผมกวนประสาทแต่ก็ยังยอมให้มากวนอยู่ทุกวันผมไม่ได้อยากหนีมาไกลขนาดนี้หรอก แต่ผมรู้ว่า ถ้ายังอยู่ที่เดิม ผมคงไม่มีวันอดใจไม่ไหวแล้วกระโจนไปหาเขาอีกตาม
…สไนเปอร์ Talk…ไซโคลนไม่ได้พูดเล่น เขาเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้รับข้อความหรือสายโทรศัพท์จากไซโคลนอีกเลย ไม่มีการแวะมาหา ไม่มีใครส่งกาแฟมาให้ที่โรงพักตอนเช้า และแน่นอน… ไม่มีใครมารอผมเลิกงานอีกเลยผมคิดว่าตัวเองควรจะโล่งใจ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเหรอ? ผมอยากให้ไซโคลนออกไปจากชีวิต อยากให้ไซโคลนอยู่ห่างจากปัญหาทั้งหมด เขาอยากปกป้องไซโคลนจากความวุ่นวายนี้…แต่ทำไมมันถึงรู้สึกไม่ใช่แบบนั้นวะ?ในช่วงแรกผมพยายามไม่คิดอะไรมาก มันก็ดีแล้วที่เขาได้ไปใช้ชีวิตปกติของตัวเอง ไม่ต้องมาลำบากกับผมแต่พอผ่านไปเป็นอาทิตย์ ไซโคลนก็ยังไม่ติดต่อมา“หมอนั่นคงจะลืมฉันไปแล้วจริง ๆ” ผมพึมพำช่วงเวลาที่ไม่มีไซโคลนอยู่รอบตัว ทำให้รู้ว่า… ชีวิตของผมขาดอะไรบางอย่างไปจริง ๆไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าที่ปกติจะมีกาแฟจากร้านประจำส่งมาให้พร้อมโน้ตแซว ๆ จากไซโคลน หรือแม้แต่ช่วงเย็นที่ผมมักจะเจอเขามานั่งรออยู่ในห้อง พอไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว วันเวลาของผมกลับดูเงียบเหงาอย่างน่าประหลาดผมทำงานเหมือนเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม ออกไปสืบคดีเหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันผิดแปลกไปหมด“สารวัตร… คุณโอเคหรือเปล่า?”เส