LOGINหลังจากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ริสาตัดสินใจมาขออาศัยอยู่กับ จี๊ด เพื่อนสนิท และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
ริสา: "แก! ฉันขอไปอยู่กับแกหน่อยสิ ตอนนี้ฉันอยู่หน้าคอนโดแกแล้ว"
จี๊ด (ตกใจ): "เดี๋ยวๆ ทำไมถึงย้ายเร็วนักวะ ไหนว่าจะไปอยู่คอนโดใหม่?"
ริสา: "เรื่องมันยาวอ่ะ ลงมารับฉันก่อน เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง"
ริสาเล่าเรื่องคืนนั้น
เมื่อมาถึงห้อง จี๊ดรินน้ำให้ริสาดื่ม แต่พอริสาเริ่มเล่าเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ จี๊ดถึงกับสำลักน้ำ
ริสา: "ก็ฉันดื่มไปเยอะจนจำอะไรไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็ไปนอนกอดผู้ชายคนนึงแล้ว"
จี๊ด (หน้าเหวอ): "อะไรนะ! แกเนี่ยนะ! ไปนอนกับผู้ชายที่ไม่รู้จัก!?"
ริสา (ก้มหน้า): "ฉันไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นเพราะแกนั่นแหละ! แกชวนฉันดื่มเองนะ"
จี๊ด (พยายามทำความเข้าใจ): "แล้วแกไปอยู่ในห้องเขาได้ยังไงวะ?"
ริสา: "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาแล้ว"
สารภาพ
ริสาเอาแต่มองเพดานอย่างสิ้นหวัง ขณะที่จี๊ดเกิดความสงสัย
จี๊ด: "แต่... ผู้ชายคนนั้นหล่อไหมแก?"
ริสา (ตาเป็นประกาย): "หล่อมาก! ดูอายุเยอะกว่าเราหน่อย คงสัก 4-5 ปี"
จี๊ด (ยิ้ม): "โอ๊ย! แบบนี้ไม่เรียกแก่หรอก เขาเรียกว่าผู้ชายอบอุ่น! ทำไมแกไม่สานต่อวะ เสียดายของ!"
ริสา (ส่ายหน้า): "บ้าหรอ! จะให้ฉันโผล่มาขอเป็นแฟนคนที่เจอกันแค่คืนเดียวเนี่ยนะ! ฉันเลยต้องรีบย้ายออกมาไง กลัวต้องเจอกันอีก"
จี๊ด: "โธ่! เสียดายค่ามัดจำแทนแก"
ริสา: "ไม่ต้องห่วง ห้องนั้นเป็นห้องที่พี่เจ้าของไปต่างประเทศ เขาจ้างฉันรีวิวสินค้า ฉันเลยไม่ต้องจ่ายค่ามัดจำ"
จี๊ด: "แล้วจะกลับบ้านไปหาแม่ไหม? ฉันไม่ได้ไล่นะเว้ย"
ริสา: "ไม่กล้าหรอก แม่ฉันหัวโบราณจะตาย ถ้ารู้เรื่องนี้คงอกแตกตายแน่ ฉันเลยจะมาขออยู่กับแกสักเดือนสองเดือนก่อน ตอนที่ออกมาแม่ยังคิดว่าฉันอยู่คอนโดใกล้ที่ทำงานอยู่เลย"
จี๊ด: "เออๆ แล้วแต่แกเลย ฉันไม่ซีเรียสอยู่แล้ว มีเพื่อนอยู่ด้วยจะได้ไม่เหงา ที่สำคัญจะได้มีคนช่วยทำความสะอาดห้อง!"
สองเดือนต่อมา ริสาใช้ชีวิตตามปกติ ทั้งเรียน ทำงาน และรีวิวสินค้า จนเข้าสู่เดือนที่สาม เธอก็ย้ายกลับบ้านโดยให้เหตุผลกับแม่ว่าเจ้าของห้องกลับมาจากต่างประเทศ
ริสา: "แม่คะ หนูจะย้ายกลับมาอยู่กับแม่แล้วนะ"
มณี (แม่): "ดีเลยลูก แม่มีเรื่องจะคุยกับหนูพอดี"
ริสา: "เรื่องอะไรคะ?"
มณี: "คือว่า... ถ้าแม่จะมีคนดูแล... หนูจะโอเคไหม?"
ริสา (ตกใจ): "หมายถึง... แม่มีคนมาจีบหรอคะ? เขาเป็นคนดีไหม? แล้วแม่คบกับเขามานานแค่ไหนแล้ว ทำไมไม่เล่าให้หนูฟังเลย!"
มณี: "ก็สักพักใหญ่ๆ แล้วจ่ะ แม่กลัวหนูไม่สบายใจ"
ริสา (ยิ้ม): "โธ่แม่... ถ้ามันเป็นความสุขของแม่ หนูจะไปขัดขวางทำไม"
มณี: "แต่... เมื่อก่อนหนูเคยบอกแม่เองนะ ว่าไม่ให้แม่มีใคร เพราะสงสารพ่อ"
ริสา: "แม่! นั่นมันตอนที่หนูยังเด็ก! หนูไม่เข้าใจว่าพ่อจากไปแล้วจะไม่มีวันกลับมา ตอนนั้นหนูแค่ 7-8 ขวบเองนะ! แม่ไม่ยอมเปิดใจให้ใครเพราะคำพูดของหนูในตอนนั้นเหรอคะ!"
มณี (ยิ้ม): "ไม่หรอกลูก ไม่ว่าหนูจะอายุเท่าไหร่ แม่ก็เห็นความสำคัญของหนูที่สุด ถ้าหนูไม่โอเค แม่ก็พร้อมที่จะทำตามที่หนูต้องการ"
ริสา (กอดแม่): "ไม่หรอกค่ะแม่ แม่ทำเพื่อตัวเองเถอะค่ะ หนูโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ ถ้าแม่...อยากมีใครซักคนคอยดูแล หนูก็ไม่ขัดขวางค่ะ"
มณีมองหน้าลูกสาวด้วยความซึ้งใจ
นัดเจอว่าที่พ่อเลี้ยง
หลายเดือนต่อมา ริสายังคงใช้ชีวิตตามปกติ แต่แล้ววันหนึ่ง มณีก็โทรมานัดให้ริสาไปทานข้าวด้วย
มณี: "ริสาว่างไหมวันนี้? แม่มีนัดทานข้าว อยากชวนหนูไปด้วย"
ริสา: "นัดกับใครคะ?"
มณี (ยิ้ม): "คนที่แม่บอกว่าเขาพร้อมจะดูแลแม่... เขาอยากเจอหนู"
ริสา: "ทำไมเขาต้องอยากเจอหนูด้วยคะ...?"
มณี: "คือว่า... แม่จะแต่งงานกับคุณลุงเขา... แม่เลยอยากให้หนูไปเจอกับครอบครัวเขาด้วย"
ริสา (หน้าเสีย): "ครอบครัว? หมายถึงเขามีภรรยาอยู่แล้วเหรอคะ! แม่จะไปเป็นน้อยเขาเหรอ!"
มณี (รีบปฏิเสธ): "ไม่ใช่แบบนั้นลูก! ครอบครัวของเขาหมายถึงเขามีลูกชายอยู่คนนึง"
ริสา (ถอนหายใจ): "หนูเข้าใจแล้วค่ะ แล้วแม่นัดเขาไว้แล้วใช่ไหม?"
มณี: "ใช่จ้ะ ขอบใจลูกสาวมากนะ"
ร้านอาหารหรู
ริสาไปถึงร้านอาหารตามนัดและได้พบกับ คุณลุงศักดิ์ชัย ชายสูงวัยที่ดูภูมิฐานและใจดี มณีแนะนำริสาให้เขารู้จัก
มณี: "ริสา ลูก นี่คุณลุงศักดิ์ชัย เขาอยากเจอหนู คุณศักดิ์ชัยคะ นี่ริสา ลูกสาวมณีค่ะ"
ริสา (ยิ้ม): "สวัสดีค่ะคุณลุง"
ศักดิ์ชัย: "สวัสดีลูก นั่งก่อนเลยนะ"
มณี: "คุณสั่งอาหารหรือยังคะ?"
ศักดิ์ชัย: "ผมรอคุณอยู่ครับ ไม่รู้ว่าลูกสาวคุณชอบกินอะไรเลยยังไม่ได้สั่งไว้"
ริสาเห็นแววตาแห่งความสุขของแม่ก็รู้สึกดีใจ "แล้วลูกชายคุณลุงไม่ได้มาด้วยหรอคะ?"
ศักดิ์ชัย: "น่าจะกำลังมา เดี๋ยวเราทานอาหารไปพลางๆก่อนก็ได้"
การเผชิญหน้า
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังทานอาหารและพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง ศักดิ์ชัยเอ่ยปากชวนริสามาทำงานที่บริษัทของเขา แต่จู่ๆ โทรศัพท์ของริสาก็ดังขึ้น
ริสา: "คุณแม่คะ พอดีมีงานด่วนค่ะ หนูต้องรีบไปก่อนนะคะ สวัสดิ์ดีค่ะคุณลุง"
ริสาพูดจบก็รีบลุกเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว ศักดิ์ชัยหันไปถามมณีอย่างสงสัย
ศักดิ์ชัย: "ลูกสาวคุณทำงานแล้วเหรอครับ? ไหนบอกยังเรียนไม่จบ"
มณี: "อ๋อ...พอดีริสาเขาทำงานเป็นพวกอินฟลูเอนเซอร์น่ะค่ะ มีทั้งงานถ่ายแบบและขายของออนไลน์"
ศักดิ์ชัย: "โอ้โห...ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย ตัวเล็กแค่นี้เอง คงเก่งเหมือนคุณ"
ขณะที่ริสากำลังเดินออกไป เธอก็สวนกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูคุ้นตา เธอจำได้ทันทีว่าเป็นผู้ชายในคืนนั้น! ริสาตกใจจนแทบช็อก รีบใช้กระเป๋าปิดหน้าแล้ววิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มหยุดชะงักทันทีที่เดินสวนกับริสา เขาหันหลังกลับไปมองเห็นแค่แผ่นหลังของหญิงสาวที่กำลังวิ่งหนีไป แม้จะรู้สึกคุ้นๆ แต่ก็จำไม่ได้ เขาพึมพำกับตัวเอง "สงสัยจะคิดมากไป" ส่วนริสาก็โล่งอก พึมพำกับตัวเอง "เกือบไปแล้ว! ทำไมโลกกลมแบบนี้นะ แต่เขาคงจำเราไม่ได้หรอก"
ธนามาถึงโต๊าะอาหาร
ธนา ชายหนุ่มนักธุรกิจผู้สุขุมและนิ่งขรึมเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสง่างามและนั่งลงตรงข้ามมณี
ศักดิ์ชัย: "อ้าว...มาแล้วเหรอลูก?"
ธนา: "ก็เห็นนี่ครับ ไม่น่าถาม"
มณีหน้าซีดกับคำพูดของธนา แต่ศักดิ์ชัยหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า "อย่าไปถือสาเลยนะครับ ลูกชายอยู่กับพ่อก็เป็นแบบนี้แหละ"
ธนาหันมามองมณีด้วยสายตาเรียบเฉย "สวัสดีครับ ผมธนา...ลูกชายคุณพ่อ ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
มณี: "สวัสดีค่ะ น้า... เอ่อคือ..."
ธนา: "ผมรู้แล้วครับ น้าคือน้ามณี... เมียใหม่ของพ่อผม"
มณีหน้าซีดทันทีที่ได้ยินคำพูดห้วนๆ ของเขา
ศักดิ์ชัย: "แกจะห้วนไปถึงไหนวะไอ้ลูกคนนี้! พูดแบบนี้ น้าเขาก็ทำตัวลำบากสิ!"
ธนา: "จะลำบากอะไรกันครับ โตๆ กันแล้ว"
เขาถามขึ้นมาต่อ "แล้วนี่ จานของใคร มีใครที่ผมต้องแนะนำตัวอีกไหม? ถ้าไม่มีผมจะได้กลับไปทำงานต่อ"
มณี: "น้องเขากลับไปแล้วค่ะ... ลูกสาวน้า"
ธนา: "อ๋อครับ...ไม่เป็นไร ไม่ได้สำคัญอะไรมาก"
ธนาลุกขึ้นและเดินจากไปทันที ทิ้งให้ศักดิ์ชัยต้องหันมาปลอบมณี "อย่าไปใส่ใจเลยนะครับ เด็กผู้ชายที่ไม่มีแม่ก็เป็นแบบนี้แหละ คุณอย่าคิดมากเลยนะ"
มณีมองตามหลังธนาด้วยความเข้าใจ "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเห็นแววตาเขาแล้ว เขาคงไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากแม่ เขาก็เลยดูแข็งๆ หน่อย"
ธนาขับรถออกมาจากร้านอาหารด้วยใจที่ยังคงหงุดหงิด เขาบึ่งรถไปตามถนนสายเดิมที่ขับมาหลายร้อยรอบ แต่แล้วสายตาก็พลันหยุดนิ่งเมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ผมยาวสลวย หน้าตาคุ้นๆ...
ในขณะที่ทั้งคู่ที่ยืนสบตากันธนา รุกด้วยท่าทีที่นุ่มนวล "ทำอะไรกันอยู่ครับ ไม่เห็นชวนพี่มาบ้างเลย อุตส่าห์รอให้ชวน ก็ไม่เห็นชวน เลยต้องเดินมากดกริ่ง"ริสาถึงกับเขิน ธนาจับไปที่แก้มสีชมพูของคนตรงหน้า "หน้าแดงใหญ่เลย เขินพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ"ริสาที่ยังอึ้งรีบดึงสติแล้วเดินกลับไปนั่งที่โซฟา "ริสาแค่ทำตัวไม่ถูกค่ะ พี่จะกลับมาทำไมไม่บอกล่วงหน้า ยังส่งข้อความคุยกันอยู่เลย กลับมาแล้วน่าจะบอกริสาหน่อย"ธนา เดินตามมานั่งลงตรงข้ามเธอ "ก็พี่ยุ่งๆ กับห้องใหม่อยู่เลยยังไม่เข้าที่เข้าทาง... ทำไม ถ้ารู้ว่าเป็นพี่ย้ายมาอยู่ข้างห้อง จะช่วยพี่จัดของเหรอ"ริสา "เปล่าสักหน่อย ริสาก็แค่... แค่ทำตัวไม่ถูก ที่พี่มาอยู่ตรงหน้าแบบกะทันหันแบบนี้"ธนา เสียงนุ่มนวลและจริงใจ "หลายเดือนที่ผ่านมา พี่ขอโทษริสานะ ที่พี่ไม่ได้อยู่ข้างๆ ริสา"ริสา "จะขอโทษทำไมคะ มันเป็นความต้องการของริสาเอง มันทำให้ริสาทำใจง่าย การที่ไม่เจอหน้าพี่ในช่วงนั้น... ถ้าริสาต้องเจอพี่ในตอนนั้นมันมีแต่ความเจ็บปวดของการสูญเสีย"ธนานั่งนิ่งเงียบ สีหน้าเริ่มเศร้าลงมา พร้อมกับคำถามที่แสนจริงใจ "แล้วตอนนี้... เจอหน้าพี่... แล้วยังเจ็บปวดอยู่ไห
หกเดือนผ่านไป...หลังเหตุการณ์ที่พลิกผันชีวิต ริสา เลือกที่จะย้ายออกจากบ้านตามความต้องการของตัวเอง ทว่าเพื่อคลายความกังวลของของแม่ เธอจึงยอมรับข้อเสนอของพ่อเลี้ยงที่มอบคอนโดมิเนียมให้เป็นที่พักพิง และรอคอยวันที่เธอพร้อมจะกลับมาริสาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่คอนโด เธอทำงานรับงานรีวิวบ้าง ขายของออนไลน์บ้าง พยายามดำเนินชีวิตให้กลับสู่ภาวะปกติ ทว่าบาดแผลจากการสูญเสียครั้งใหญ่ยังคงฝังลึกในใจ ไม่มีวันลบเลือนเสียงตะกุกตะกักดังมาจากห้องข้างๆ ริสาเปิดประตูออกไปดูด้วยความแปลกใจ "อ้าว! ห้องนี้มีคนซื้อแล้วเหรอ... เพื่อนบ้านใหม่จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนะ" เธอพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะปิดประตูและกลับมานั่งดูทีวีต่อหลังจากที่ริสาปิดประตู... ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว คิ้วเข้มคมคาย ก้าวออกมาจากลิฟต์ เขาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของตน แต่สายตาและใบหน้ากลับจับจ้องไปยังประตูห้องข้างๆ ที่เพิ่งปิดลง รอยยิ้มเล็กๆ แห่งความหวังฉายชัดบนใบหน้า ก่อนที่เขาจะเดินเข้าสู่ห้องใหม่ที่เพิ่งขนข้าวของเข้ามา เขาเปิดม่านรับแสงแดดยามบ่ายอ่อนๆ ยืนเท้าเอวทอดสายตาไปยังวิวเบื้องหน้าอันกว้างไกล ก่อนจะหันมาพึมพำกับตัวเอง"นี่แหละค
ริสาหลับไปได้ราว 3 ชั่วโมง จากความอ่อนเพลียและความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจ จนเสียงสะอื้นเงียบลงไปธนานั่งเฝ้าไม่ห่าง ค่อยๆ ขยับเข้าไปมองใบหน้าเธอใกล้ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดที่ทิ่มแทงหัวใจเขา... เขาใช้ปลายนิ้วแตะไปที่ผ้าปิดแผลด้วยความรู้สึกผิดและลูบกลุ่มผมของเธอเบาๆ สัมผัสรอยน้ำตาข้างแก้มที่ยังไม่แห้งกรัง ปากเขาพึมพำแต่คำว่า "ขอโทษ" อย่างไม่หยุดหย่อนน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้ ยอมรับความรู้สึกผิดอย่างแท้จริงชั่วขณะต่อมา ริสารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งสัมผัสกายและใบหน้า เธอสะดุ้งเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้น พบว่าเป็นธนา ชายที่เธอรักมากที่สุด สายตาอ่อนล้าและเจ็บปวดในใจของเธอสบกับเขา เป็นสายตาที่ผสมผสานระหว่างความรักและความทนทุกข์ริสาไม่ได้ถาม ไม่ด่าทอ หรือแม้แต่ไล่เขาไป เธอกลับเงียบสนิทราวกับเขาไม่มีตัวตน ยิ่งทำให้ธนารู้สึกทรมานในหัวใจมากขึ้น"ริสา... ทำไมต้องเงียบแบบนี้ด้วย จะด่า จะว่า จะไล่พี่ก็ยังดี! พูดกับพี่สักคำได้ไหม พี่ขอร้อง พี่ขอโทษนะ อย่าเงียบแบบนี้เลย ให้โอกาสพี่สักครั้ง พี่ยอมรับผิดทุกอย่าง จะว่าพี่ยังไงก็ได้ แต่อย่าเงียบแบบนี้" ธนาอ้อนวอนด้วยเสียงสั่นเครือและใบหน้าเปื้อนน
ทันทีที่ธนาก้าวออกมาจากห้องพักฟื้น เขาเหมือนสูญสิ้นเรี่ยวแรง ร่างสูงใหญ่ทรุดฮวบลงนั่งคุกเข่าต่อหน้ามณีและศักดิ์ชัย ด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกินหัวใจจนแทบจะแหลกสลายเมฆที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รับรู้ถึงบรรยากาศอันหนักอึ้ง เขาเลือกที่จะเดินเลี่ยงออกไปอย่างเงียบเชียบ ปล่อยให้ครอบครัวได้เผชิญหน้าและสะสางเรื่องราวกันเองธนาก้มหน้าต่ำ ติดพื้นห้องเย็นเฉียบ น้ำตาเอ่อคลอ ก่อนจะเริ่มกล่าวคำขอโทษและสารภาพผิดทั้งหมดออกมาอย่างยากลำบาก"ผมขอโทษครับคุณน้า... ทุกอย่างเป็นความผิดของผมคนเดียว ถ้าผมชัดเจนและทำให้น้องมั่นใจในความสัมพันธ์ของเรามากกว่านี้... เรื่องของเราคงไม่ต้องปิดบังใคร... เป็นเพราะผม... ตั้งแต่แรก..."ธนาหยุดหายใจ พยายามรวบรวมสติ "ทั้งๆ ที่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นตั้งแต่ที่เรายังไม่รู้จักกัน... ผมน่าจะทำให้มันถูกต้องตั้งแต่ทีแรก..."คำว่า 'ความผิดพลาดตั้งแต่ทีแรก' ทำให้มณีที่กำลังปวดร้าวอยู่แล้วยิ่งชะงักงัน"อะไรคือความผิดพลาดตั้งแต่ครั้งแรก... ตั้งแต่ยังไม่รู้จักกัน... น้าไม่เข้าใจ !" มณีเอ่ยถามเสียงสั่นเทาแฝงความประหลาดใจธนาเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มณีฟังอย่างละเอียดยิบ พ
ไม่ทราบว่าพวกคุณเป็นญาติของคนไข้หรือเปล่าครับ...ทุกคนเงียบกริบ ธนา, มณี, และศักดิ์ชัย ก้าวเข้าไปหาคุณหมอพร้อมกันด้วยความหวังอันริบหรี่คุณหมอ สีหน้าเคร่งเครียดและเศร้าสร้อย"ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ..."คำพูดนั้น... ทำให้ ธนา ทรุดตัวลงกับพื้น มณีร้องไห้โฮอย่างสุดเสียงธนา เสียงแตกพร่า คุณหมอ... หมายความว่ายังไงครับ! ริสา... !คุณหมอ "คนไข้ปลอดภัยครับ แต่เนื่องจากคนไข้ได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงจากการตกบันได... ทำให้... เราไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กในครรภ์ไว้ได้ครับ คนไข้มีภาวะแท้งคุกคามจากการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง..."ความเงียบเข้าปกคลุมทุกคนศักดิ์ชัยถึงกับกุมขมับอย่างเคร่งเครียด ส่วนธนาคุกเข่าตัวสั่นงันงกลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดมณีหยุดร้องไห้ชั่วขณะด้วยความสับสนมณี เสียงแหบแห้ง "เด็ก... เด็กอะไรคะ! ลูกสาวฉัน... ริสา... ริสาท้องเหรอคะ...!"ศักดิ์ชัยหันไปมองธนาอย่างไม่เชื่อสายตา "ธนา... นี่แก... เป็นแก...แกทำอะไรลงไป...!"ธนา ไม่สามารถตอบได้ เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดจากการสูญเสียที่มาพร้อมกับการรับรู้ถึงการมีอยู่ของลูก! และการสูญเสียครั้งนี้เกิดจ
จีน่า รีบวิ่งตามออกมา "เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป!"ริสาไม่สนใจรีบเดินลิ่ว จีน่า รีบวิ่งตามมาคว้าแขนเธอไว้"ฉันบอกว่าหยุด!" นี่เธอมีปัญหากับพี่ชายของเธอเพราะรูปถ่ายใบนั้นเหรอ! ฉันไม่คิดว่าเขาจะยังเก็บไว้อยู่! และอีกอย่างนึง รูปนั้น..."ริสา ไม่ฟังสะบัดแขนจีน่าออกอย่างรวดเร็ว แล้วรีบวิ่งไปที่ลิฟท์ แต่ลิฟท์ไม่เปิด เธอจึงวิ่งไปทาง บันไดหนีไฟ ทันที เพื่อที่จะรีบออกจากที่น่ารังเกียจนี้ให้เร็วที่สุดธนา ที่วิ่งตามมาเห็นคนรักที่ตกบันไดไปต่อหน้าต่อตา หัวใจของเขาร่วงหล่นตามร่างเธอลงไป เขาตกใจจนแทบหยุดหายใจ ริสากลิ้งลงไปจนถึงขั้นสุดท้ายของบันได แล้วเธอก็ แน่นิ่งไปทันทีที่ ธนา วิ่งมาถึงร่างของเธอ เขาไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่มือของตัวเอง รีบช้อนร่างบางของเธอขึ้นมา... เลือด ที่ไหลออกมาจากไรผมของเธอ และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เลือดที่ไหลออกมาจากช่วงล่างของเธอ เต็มไปถึงขา"ริสา... ริสา..." เขาพยายามเรียกชื่อเธอและเขย่าเบาๆ แต่เธอก็ไม่ได้สติน้ำตาเขาไหลพรากออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด ราวกับมีดนับพันเล่มกรีดแทงกลางอก เขาไม่มีเวลาเสียใจ ความหวาดกลัวเข้ากัดกินจนไร้สติ รีบอุ้มร่างของเธอขึ้น







