ณ ห้องผู้จัดการ
ก๊อกๆๆ!! ฉันยกมือขึ้นมาเคาะประตูห้องผู้จัดการ หลังจากที่ยืนทำใจอยู่หน้าห้องมาสักพักใหญ่แล้ว “เข้ามา!!” เสียงที่คุ้นหูดังเล็ดลอดออกมาจากในห้อง แอ๊ดดด!! สิ้นเสียงอนุญาตฉันก็ไม่รอช้าที่จะผลักประตูกระจกบานใหญ่เข้าไปในห้องตามคำสั่งทันที สิ่งที่ฉันเห็นเป็นอย่างแรกหลังจากที่เดินเข้ามาในห้องแล้ว คือร่างของคุณคิมหันต์ที่กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับกองเอกสารบนโต๊ะของตัวเอง แสงแดดที่เล็ดลอดผ่านเข้ามาจากกระจกห้องข้างหลังโต๊ะทำงานสาดส่องมาที่ร่างสูงตอนนี้คุณคิมหันต์อยู่ในชุดเสื้อเชิ๊ตแขนยาวที่ถูกปลดกระดุมตัวบนออกมาสองเม็ดกับเนคไปสีกรมที่ถูกปลดออกมาให้หลวม แขนเสื้อที่ถูกพับขึ้นมาโชว์ให้เห็นแขนเรียวล่ำสุขภาพดีของเขา ตึกตักๆๆ!! ภาพของคุณคิมหันต์ที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า มันทำฉันใจเต้นแรงขึ้นมาดื้อๆอีกแล้ว แค่เห็นหน้าของเขาหน้าอกข้างซ้ายของฉันมันก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ สมองมันเบลอจนลืมเรื่องกังวลก่อนหน้านี้ไปจนหมดเลยด้วยซ้ำ ทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้อีกแล้วเนี่ย?!! “คุณคิม…เอ่อ…ผู้จัดการมีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ?” เกือบเผลอเรียกชื่อเขาไปซะแล้ว เวลาอยู่ที่บริษัทฉันคิดว่าไม่ควรจะเรียกกชื่อเขาตรงๆ แต่เรียกเป็นตำแหน่งแทนจะดีกว่า จะได้ไม่ถูกคนอื่นมองไม่ดี…มากไปกว่านี้ “เข้ามาใกล้ๆสิ!” คนตรงหน้าออกคำสั่งทั้งๆที่ยังเอาแต่ก้มหน้ามองเอกสารตรงหน้า ไม่คิดจะหันมามองหน้าฉันเลยด้วยซ้ำ “ถ้าผู้จัดการมีอะไรให้ฉันทำก็สั่งมาได้เลยค่ะ” ฉันเลือกยืนอยู่กับที่ ไม่เดินเข้าไปใกล้อย่างที่เขาสั่ง ความจริงฉันคิดอะไรได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วล่ะ เรื่องที่คุณคิมหันต์มีคู่หมั้นแล้ว ฉันไม่รู้หรอกว่ามันคือเรื่องจริงรึเปล่า แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาจริงๆล่ะก็ ฉันคิดว่าฉัน…ไม่ควรเข้าไปใกล้เขามากกว่านี้ ฉันไม่ควร…เข้าไปใกล้เขาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ “เธอเป็นอะไรไป?” จู่ๆคนตรงหน้าก็หยุดชะงักจากงานตรงหน้า ก่อนจะหันมาขมวดคิ้วจ้องฉันด้วยสายตาที่ดูสงสัย “เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้…” “เกว!” “คะ?” “เธอต้องแทนชื่อตัวเองว่าเกว ไม่ใช่ฉันสิ!” คำพูดนี้มันคืออะไรกันแน่นะ? มันคือคำบอกเล่า คำร้องขอ หรือคำสั่งกันแน่! “ฉันคิดว่าถ้าพูดแบบนั้นคนอื่นอาจจะมองไม่ดีก็ได้นะคะ” “ใครมันจะไปกล้า!!” แววตาของคุณคิมหันต์ยังคงความสงสัยอยูไม่เปลี่ยน แต่น้ำเสียงของเขากลับดูเยือกเย็นยังไงชอบกลแฮะ แต่ที่พูดแบบนี้นี่เพราะไม่รู้จริงๆสินะ? ถามมาได้ว่าใครจะกล้า จะใครซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่คนในบริษัทน่ะ “สรุปแล้วผู้จัดการเรียกฉันมาทำไมกันแน่คะ?” “เกว!!!” สายตาเรียบนิ่งจ้องลึกมาที่ฉันอีกแล้ว สายตาแบบนี้…เขากำลังเตือนฉันว่าถ้าฉันยังดื้อไม่ทำตามที่เขาสั่งล่ะก็…ฉันซวยแน่!! “เฮ้อออ! คุณคิมเรียกเกวมาทำไมกันแน่คะ?” สุดท้ายสถานการณ์ก็จบลงอย่างเดิมอีกแล้ว ฉัน…ปฏิเสธคุณคิมหันต์ไม่ได้เลยจริงๆ “เข้ามาใกล้ๆฉันสิ” คนตรงหน้าเอนตัวไปพิงเก้าอี้ ก่อนจะยกมือขึ้นมากอดอกแล้วมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งตามเดิม “เข้าใจแล้วค่ะ” แม้จะอยากปฏเสธแต่สุดท้าย…ฉันก็ต้องเดินตรงเข้าไปใกล้เขาตามคำสั่งอย่างห้ามไม่ได้เลย “ตรงนั้น…เรียกว่าใกล้แล้วเหรอเกว?” จากตอนแรกที่ยืนอยู่ใกล้ประตู ฉันก็เดินเข้าไปยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานงานของเขา แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่พอใจ “แล้วขนาดไหนถึงจะเรียกว่าใกล้ล่ะคะ?” “จะเดินมาหาฉันดีๆ หรือจะให้ฉันเดินไปลากเธอมาเองหืม?” คนตรงหน้าถามออกมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง จะว่าไป…แววตาของเขามันดูแปลกๆไปรึเปล่านะ? มันไม่ใช่แววตาที่น่ากลัว แต่เป็นแววตาที่เรียบนิ่งและสั่นไหวแบบแปลกๆ ดูจากกรามที่ขบกันแน่นอยู่นั้น เหมือนว่าเขาจะพยายามควบคุมสีหน้าและแววตาของตัวเองอยู่รึเปล่านะ? เขาเป็นแบบนี้เป็นเพราะคำขอของฉันเมื่อคืนงั้นเหรอ? ที่บอกว่าไม่อยากให้มองด้วยสายตาท่น่ากลัวแบบเดิมอีก เขา…พยายามทำแบบนั้นอยู่รึเปล่านะ? ตึกๆๆ!! ฉันเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปยืนอยู่ตรงหน้าของคนตัวสูงอย่างว่าง่าย เหมือนว่าร่างกายของฉันมันจะชินกับคำสั่งของเขาไปซะแล้วล่ะ แค่เขาสั่งออกมา แม้สมองจะบอกว่าไม่ แต่ร่างกานชยมันกลับขยับออกไปอย่างอัตโนมัติเลย “คุณคิมมีอะไรจะสั่งเกวรึเปล่าคะ?” ฉันถามพลางก้มลงไปมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้า “ฉันมีของจะให้” “ของ? ของอะไร…อ้ะ! คุณคิม!” หมับ!! ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆคนตรงหน้าก็คว้าเอวฉันแน่น ก่อนจะยกตัวฉันขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทำงานข้างตัวเขาอย่างง่ายดาย ฟึ่บ!! คุณคิมหันต์อุ้มฉันมาไว้บนโต๊ะตัวเอง ก่อนที่ตัวเขาจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วใช้แขนตัวเองเท้าโต๊ะกั้นตัวฉันเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้ พร้อมกับโน้มหน้าตัวเองเข้ามาใกล้ฉันมาก ใกล้…จนปลายจมูกของเราสองคนชนกันซะแล้วสิ “คุณคิมจะทำอะไรคะ?” “เธอนั่นแหละเป็นอะไรเกว?” นั่นน่ะสิ ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แค่เห็นหน้าเขาความรู้สึกหงุดหงิดมันก็ผุดขึ้นมา จนแทบไม่อยากมองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ ยิ่งนึกถึงเรื่องคู่หมั้นอะไรนั่นฉันก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก แถมอีกใจนึงฉันแอบรู้สึกน้อยใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังน้อยใจเรื่องอะไรกันแน่?! “เกว…ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่คำพูดโกหกของฉันคงหลอกคนตรงหน้าไม่ได้หรอก ฟึ่บ!! คุณคิมหันต์ไม่พูดอะไรต่อ แต่กลับเอื้อมมือไปหยิบของบางอย่างที่วางอยู่ข้างหลังมาขึ้นมา หน้าตามัน…ดูเหมือนรีโมทอะไรสักอย่างเลย “เห็นกระจกมู่ลี่ที่แขวนอยูรอบๆห้องฉันมั้ยเกว?” พอคุณคิมหันต์พูดฉันก็เริ่มหันไปมองรอบๆห้อง จริงด้วย! เพราะห้องทำงานของเขาเป็นห้องกระจกแทบจะทั้งห้องเลย เลยมีมู่ลี่สีดำแขวนปิดเอาไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวอยู่รอบๆห้อง “ทำไมคะ?” “ถ้าเธอไม่บอกฉันว่าเธอเป็นอะไร? ฉันจะกดรีโมทเปิดมู่ลี่ให้พนักงานข้างนอกเห็น ว่าเราสองคน…ทำอะไรกันอยู่ในห้อง?!!”“อ้ะ!” ฉันร้องลั่นขึ้นมาเมื่อคนตัวสูงกระแทกเอวสวนจนรู้สึกจุกไปหมด “แต่ฉันชอบสุดๆไปเลยล่ะ~” เสียงกระซิบบองชอบที่แหบพร่า บวกกับแววตาหื่นกระหายของคนตรงหน้าทำให้ความเขินอายที่มีในตอนแรก เลแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่มที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก “จุ๊บ!! อื้ม~” ฉันก้มลงไปประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากหนา จู่ๆฉันก็เกิดความคิดประหลาดๆขึ้นมา คราวนี้ฉันอยากจะลองเป็นคนเดินเกมส์ดูบ้าง ฉันอยากจะรู้…ว่าฉันสามารถทำให้คนตรงหน้าเสียสติได้มาก เท่ากับที่เขา…ทำให้ฉันเสียสติจวนจะบ้าตายอย่างในตอนนี้รึเปล่านะ? ฉันส่งเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปเกี่ยวตระหวัดดูดเม้มกับเรียวลิ้นของเขาอย่างร้อนแรง เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน และช่วงชิมรสหวานจากปากของเขาอย่างหื่นกระหาย เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน “อืมมม~” เสียงครวญครางที่ดังออกมาจากในลำคอของคนใต้ร่าง มันทำให้ฉัพอใจมากเลยล่ะ แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก ฉันอยากเห็นเขา…พอใจสัมผัสของฉันมากกว่านี้ “อ่าส์ เกว~” ฉันเปลี่ยนตำแหน่จาริมฝีปากของคนตัวสูง มาซุกไซร้ซอกคอแกร่งของเขาแทน ฉันใช้เรียวลิ้นของตัวเองไล้เลียและดูดเม้มไปตามผิวเนียนของเขาอย่างหื่นกระหาย ให้เหมือนกับที่เข
วันต่อมาเมื่อวานหลังจากกลับมาจากห้องของคุณคิมหันต์แล้ว ฉันก็นั่งทำโอทียาวมาจนถึงเช้าเลยล่ะ ยังไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนเลย ง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ยกริ๊งงง!! ระหว่างที่กำลังนั่งเฝ้าล็อบบี้รอเวลาออกกะอยู่นั้น เสียงมือถือที่วางอยู่หน้าล็อบบี้ก็ดังขึ้นมา รินณ์ที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆเลยทำหน้าที่รับสายแทน“สวัสดีค่ะ”“อาหารเช้าสองที่เหรอคะ?”“ได้ค่ะ เดี๋ยวทางเราจะเตรียมไว้ให้นะคะ”“ให้ใครไปเสริฟ์นะคะ?”“พนักงานที่ชื่อ…เกวลิน”“ได้ค่ะ อีกสามสิบนาทีเราจะเอาอาหารไปให้นะคะ”ทันทีที่วางสายฉันกับรินณ์หันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย“มีอะไรเหรอรินณ์?” “ก็แฟน…เอ่อ…คุณคิมหันต์อ่ะ เขาขอให้เกวเอาอาหารเช้าเสริฟ์ให้น่ะสิ” รินณ์มองซ้ายมองขวาก่อนจะเขยิบมากระซิบใกล้ๆฉันคุณคิมหันต์ให้ฉันเอาอาหารไปเสริฟ์ให้เนี่ยนะ? คิดจะแกล้งอะไรฉันอีกล่ะเนี่ย?ห้องพักกริ๊งงง!! ฉันกดออดที่หน้าห้องพักของคุณคิมหันต์ หลังจากที่เข็นรถเข็นอาหารมาส่งให้เขาถึงหน้าห้อง ตามคำสั่งที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้แอ๊ดดด!! ผ่านไปเพียงไม่กี่วิ คนตัวสูงก็เปิดประตูห้องออกมา แต่ทันทีที่ฉันเห็นร่างของคนที่อยู่ในห้อง ฉันถึงกับเบิกตาโ
ห้องพักวีไอพีกริ๊งงง!! ฉันตัดสินใจกดออดหน้าประตูห้องพักวีไอพีห้องหนึ่ง หลังจากที่ยืนทำให้อยู่หน้าห้องมาได้สักพักหนึ่งแล้วแอ๊ดดด!! ผ่านไปไม่กี่วินาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาช้าๆ ก่อนจะปรากฏร่างของคนตัวสูงที่ยืนยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์อยู่หลังประตู“ฉันเอากระเป๋ามาให้…”หมับ!! ยังไม่ทันที่จะพูดจบ คนตัวสูงก็คว้าร่างฉันเข้าไปในห้องอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่ลากเข้ามาในห้องด้วยกันอีกทีปัง!! ฉันสะดุ้งตกใจเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นมาซะลั่นห้อง “คุณคิมหันต์! คุณจะทำอะไรเนี่ย?”ตุบ!! คนตัวสูงเตะกระเป๋าใชเดินทางใบใหญ่ของตัวเอทีกันเองมาด้วยออกไป ก่อนจะดันตัวฉันให้ติดกับประตห้องไม่ให้ไปไหน“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเกวลิน”“นั่นน่ะสิค่ะ เกวก็ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่ในฐานะแขกวีไอพีด้วยเหมือนกันค่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ออกจะดุนิดหน่อย “คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?”“ฉันคิดถึงเธอเกว~”ตึกตักๆๆ!! คนตัวสูงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเลี่ยงตอบคำถามของฉัน เป็นการกระซิบเบาที่ข้างหูฉันแทน ซึ่งวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีทำให้ฉันใจสั่นขึ้นมาได้ดีเลยล่ะ“เราไม่ได้เจอกันตั้งเดือนนึงเลยนะเก
หนึ่งเดือนผ่านไปวันเวลาผ่านไปเร็วราวกับพลิกหน้ากระดาษ ตอนนี้ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วที่ฉันมาฝึกงานที่นี่ ทุกๆวันที่อยู่ที่นี่ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะไม่คิดถึงคนที่ตัวเองรักอย่างคุณคิมหันต์ แต่ถึงอย่างนั้น…ฉันก็ยังสนุกกับการฝึกงานที่นี่อยู่นั่นแหละและดูเหมือนว่าใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะกลับไปหาคนที่ตัวเองรักสักที“เอ้า! ทุกคน ใกล้ถึงเวลาที่แขกวีไอพีขอบโรงแรมจะมาแล้ว รีบออกมาต้อนรับกันเร็ว” เสียงของผู้จัดการตะโกนร้องเรียกพนักงานทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้โรงแรมเมื่อสองวันก่อนผู้จัดการแจ้งมาว่าในวันนี้จะมีแขกวีไอพีมาพักที่โรงแรม ซึ่งแขกคนนี้เป็นแขกคนสำคัญมากๆเลยล่ะ ลือกันว่าเขาเป็นเพื่อนของท่านประธานคนใหม่ของที่นี่ ดังนั้นเราจึงต้องให้การต้อนรับแขกวีไอพีคนนี้ให้ดีที่สุดและห้ามทำอะไรผิดพลาดโดยเด็ดขาด“ไปกันเถอะเกว” เสียงของรินณ์ที่ยืนอยู่หน้าล็อบบี้เรียกให้ออกไปยืนรอด้วยกัน“อื้อ!” ฉันกันรินณ์ออกไปรอต้อนรับแขกวีไอพีคนดังกล่าวที่หน้าประตูโรงแรม พร้อมกับผู้จัดการและพี่แอนเอี๊ยดดด!! ยืนรอกันได้อยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็มีรถหรูคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูโรงแรมพนักงานชายเดินไปเปิดประตูรถ ก่อนท
หลังจากได้ฟังคำตอบจากปากของเกวลินแล้ว สิ่งที่ค้างคาใจผมในตอนแรกก็คลายลง ผมตัดสินใจเดินออกมาจากร้านนั้น แล้วก็มาเดินเล่นที่ริมหาดกับไอ้กวินท์แทนระหว่างที่เดินเล่นอยู่ผมก็ทบทวนคำพูดของเกวลินอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เกวลินต้องการมาตลอดก็คืออิสระ เพราะเธอโตมากับตระกูลของผม เลยทำให้เธอคิดว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณตระกูลของผม ไอ้สิ่งที่ผูกมัดเกวลินมาตลอดคือ…ตระกูลอัศวนันทร์ และตัวผมนี่แหละผมไม่อยากสูญเสียเกวลินไป ผมอยากให้เกวลินอยู่กับผมไปตลอดเลยด้วยซ้ำ เพราะผมรักเธอ แต่มันคงไม่ง่ายสำหรับเกวลิน แม้เธอจะรักผม แต่เธอก็มีความต้องการเหมือนกัน และสิ่งที่เธอต้องการก็คือ…อิสระ เธอต้องการอิสระมาโดยตลอด เพราะงั้น…ผมตัดสินใจแล้วว่าผม…จะยอมให้อิสระกับเกวลิน อย่างที่เธอต้องการ“ดูเหมือนแกกับเด็กคนนั้นจะรักกันมากเลยนะ” ไอ้กวินท์พูดเหมือนเด็กฝึกงานที่มากับเกวลินไม่มีผิด“ไม่ใช่เรื่องของแก”“ครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นแกร้อนรนแบบนี้อ่ะ”“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเหอะ”“นี่! ฉันกำลังเตือนสติแกอยู่นะเว้ย! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรน้องเขาถึงหนีมาอยู่ที่นี่ได้อ่ะ แต่จากที่ฟังเมื่อกี้…น้องเขาคงจะรัก
[คิมหันต์]ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งผมขับรถตามรถของเกวลินมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมทะเลร้านหนึ่ง เกวลินกันเพื่อนของเธอคงจะมากินอาหารกันที่นี่ ผมไม่อยากให้เกวบินคลาดสายตาผมไป เลยตามเกวลินเข้ามาในร้านด้วยเหมือนกันแต่ผมไม่เข้าใจว่าไอ้กวินท์มันจะตามผมมาถึงที่นี่ด้วยทำไมเนี่ย?“นั่งตรงนี้มั้ยเกว?”“ได้สิ” เกวลินกับเพื่อนของเธอเลือกนั่งลงบนโต๊ะๆหนึ่งในร้านอาหาร ฟุ่บ!! ผมที่เดินตามอยู่ห่างๆ เลยเดินเข้าไปนั่งใกล้กับโต๊ะของเกวลิน ซึ่งระยะห่างระหว่างผมกันเกวลินก็ห่างกันเพียงแค่โต๊ะอาหารคั่นกลางไว้แค่โต๊ะเดียวเท่านั้นตุบ!! ส่วนไอ้กวินท์ที่ตามติดมาด้วยก็ดันเลือกที่จะมานั่งข้างๆผมอีกซะงั้น ที่มีตั้งเยอะแยะจะมานั่งติดผมทำไมเนี่ย?“แกจะตามฉันมาด้วยทำไมเนี่ย?”“ฉันไม่ได้ตามแกมาซะหน่อย ลืมไปแล้วรึไงว่ารถที่แกขับมาน่ะ รถฉันเว้ย!” มันพูดด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ความจริง ผมสังเกตเห็นตั้งแต่ที่โรงแรมล่ะ ไอ้กวินท์เอาแต่ชะเง้อมองตามใครสักคนอยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างจากผมเลยสักนิด และผมก็เดาว่าคนที่มันกำลังตามอยู่คงจะเป็นเพื่อนที่อยู่กับเกวลินตอนนี้แน่ๆ“ใครว่ะ? แฟนเหรอ?” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
[คิมหันต์]ณ บริษัท เอ.เอส.เอ็นก๊อกๆๆ!! เสียงเคาะประตูห้องทำงานหน้าห้องของผมดังขึ้น“เข้ามา” ธนินเดินเข้ามาในห้องหลังจากได้รับอนุญาตจากผมแล้ว“เรื่องที่ให้ไปสืบเป็นไงบ้าง?“ ทันทีที่เห็นหน้าของธนินผมก็เอ่ยถามถึงงานที่ผมมอบหมายไปให้เมื่อวานนี้ “ได้ที่อยู่ของคุณเกวลินมาแล้วครับ” ซึ่งก็เป็นเรื่องไหนไม่ได้เลน นอกจากเรื่องของเกวลิน ยัยตัวแสบที่แอบหนีผมไปไงล่ะ เมื่อวานทันทีที่รู้ว่าเกวลินหนีไป ผมก็รีบยกหูโทรหาให้ธนินไปสืบหาที่อยู่ของเกวลินทันที “เกวลินอยู่ไหน?”“คุณเกวลิน ย้ายไปฝึกงานอยู่ที่โรงแรมพาวิลเลียนที่ต่างจังหวัดครับ” ได้ยินชื่อโรงแรมที่ธนินเอ่ยแล้วผมถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เพราะเหมือนว่าชื่อโรงแรมนี้จะฟังดูคุ้นหูเอามากเลยล่ะ“โรงแรมพาวิลเลียนเหรอ?”“ครับ โรงแรมในเครือตระกูลอัครวานิชครับ” และผมก็อดที่จะยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เมื่อสิ่งที่ผมสงสัยได้รับการยืนยันจากธนินโรงแรมพาวิลเลียน ในเครือตระกูลอัครวานิช คือโรงแรมที่ไอ้กวินท์ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาลัยของผมบริหารอยู่นี่เอง ตืดๆๆ!! ทันทีที่รู้ว่าเกวลินอยู่ที่นั่น ผมก็ไม่รอช้ารีบยกหูกดโทรออกหาไอ้กวินท์มันอย่า
[เกวลิน]“ยินดีต้อนรับน้องๆฝึกงานทุกคนเลยนะคะ” เสียงของผู้จัดการโรงแรมเอ่ยขึ้น หลังจากที่พาพวกเราที่เป็นเด็กฝึกงานใหม่ ไปแนะนำสถานที่ต่างๆในโรงแรมเสร็จแล้ว“ต่อไปนี้ก็ตั้งใจทำงาน แล้วก็ขอให้โชคดีกับการฝึกงานนะคะ” พี่แอนพี่พนักงานอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น“ขอบคุณค่ะ” ฉันและเพื่อนอีกคนที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกันเอ่ยขอบคุณผู้จัดการและพี่แอนพร้อมๆกัน“วันนี้ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ เราสองคนกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาเริ่มงานพรุ่งนี้อีกที”“ได้ค่ะ”“งั้นพี่ไปก่อนนะ” ร่ำลากันเสร็จผู้ตัดการกับพี่แอนก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองกันต่อ เหลือไว้แค่ฉันกับเพื่อนร่วมฝึกงานกันอยู่สองคน“หวัดดี เราชื่อรินณ์นะ” เพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมาทักทายด้วยสีหน้าที่สดใส“หวัดดี เราชื่อเกว”“เกวมาจากกรุงเทพเหรอ?”“อื้อ แล้วรินณ์อ่ะ?”“เราเรียนที่นี่แหละ แล้วก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย” อ่อ เป็นคนที่นี่สินะ“อ่อ อื้ม!”“แล้วนี่…เกวจะกลับเลยรึเปล่า? เราไปกินข้าวกันมั้ย?”“โทษทีนะ พอดีเราเพิ่งย้ายมาที่นี่เมื่อวานเองอ่ะ คงต้องขอตัวกลับไปจัดของที่ห้องก่อน” “อ่อ งั้นไม่เป็นไร ไว้ไปกินข้าวกั
[คิมหันต์]เช้าวันต่อมา พรึ่บ!! ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ หลังจากที่หลับพักผ่อนจากกิจกรรมอันเหน็ดเหนื่อยเมื่อคืนไปทั้งคืนอย่างเต็มที่แล้ว แสงแดดที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีดำในห้องของตัวเองสาดส่องเข้ามา ทำผมถึงกับต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับสายตาของตัวเองให้คงที่ขวับ!! เมื่อสายตากลับมาอยู่ในสภาพคงที่แล้ว ผมจึงพลิกตัวมาอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ด้วยความหวังที่ว่าจะเจอกันคนตัวเล็กอย่างเกวลินนอนอยู่ข้างๆกาย"..." แต่แล้วสิ่งที่ผมเจอมีเพียงแค่รอยยับของผ้าปูที่ว่างเปล่าและไร้ซึ่งร่างของคนตัวเล็กเกวลินตื่นแล้วเหรอ?ฟุ่บ!! ผมคิดว่าคนตัวเล็กคนจะตื่นก่อนผมไปแล้ว ผมจึงลุกออกจากเตียง ก่อนจะเดินหยิบกางเกงนอนของตัวเองมาใส่ แล้วเดินออกไปจากห้อง ด้วยความหวังที่ว่าเกวลินคงจะอยู่ข้างนอกห้อง หรือที่ไหนสักที่ในบ้านนั่นแหละ"..." แต่ผมกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจมากกว่าเดิม เมื่อลงมาแล้วไม่เจอกับเกวลินอยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน ในครัวก็ไม่อยู่ ในห้องรับแขกก็ไม่เจอ "เกวลิน!" ผมลองตะโกนร้องเรียกชื่อของคนตัวเล็ก แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆตอบรับกลับมาใจผมเริ่มสั่นไหวขึ้นมา จู่ๆความคิดที่ไม่ดีก็ดันโผล่เข้ามาในหัว ตอนนี้ผมกำลังคิดว่า