บ้านคิมหันต์
หลังจากแยกกับทิวเขาที่มหาลัยแล้ว ฉันก็แวะไปทำธุระที่ธนาคารต่อ กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ห้าโมงกว่าแล้ว ดีนะที่ขากลับฉันไม่ต้องเหนื่อยหลบหน้าเจ้าของบ้านแล้ว เพราะก่อนเข้ามาฉันไม่เห็นรถของผู้ชายคนนั้นจอดอยู่หน้าบ้านแล้ว เลยเดินเข้ามาจากประตูหน้าได้อย่างสบายใจ เฮ้อออ! วันนี้ทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้เนี่ย? อยากรีบกลับไปอาบน้ำนอนเร็วๆจัง “อ้าวหนูเกว ออกไปไหนมาเหรอจ้ะ?” ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้าน ฉันก็ได้ยินเสียงทักทายจากป้ากานที่กำลังยืนทำอาหารอยู่ในครัว “เอ่อ…เกวออกไปมหาลัยมาน่ะค่ะ แล้วนี่…ป้ากานทำอะไรอยู่เหรอคะ?” ฉันถามพลางเดินเข้าไปใกล้ป้ากาน “ป้ากำลังเตรียมอาหารเย็นให้คุณคิมหันต์เขาน่ะ” เมนูอาหารสี่ห้าอย่างถูกวางตั้งไว้อยู่บนโต๊ะอาหารเตรียมพร้อมทาน แต่ละเมนูก็น่าทานทั้งนั้นเลย แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายก็คงต้องทิ้งอาหารพวกนี้ไป เพราะคนๆเดียวคงทานอาหารหมดนี่ไม่ได้หรอก สำหรับพวกคนรวยน่ะ หน้าที่ของอาหารพวกนี้คือเป็นตัวเลือกให้เขาเลือกทานแค่นั้นแหละ อันไหนชอบก็ทาน อันไหนไม่ชอบก็ทิ้ง แค่นั้นจริงๆ “ป้ากานมีอะไรให้เกวช่วยมั้ยคะ?” ฉันวางสัมภาระของตัวเองไว้บนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยป้ากานในครัว “โอ้ย!! ไม่ต้องหรอกจ้ะ ป้าทำเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่รออุ่นให้คุณคิมมาทานเท่านั้นแหละ” “อ่อ ค่ะ” “อ้าว! แล้วนั่นมือหนูไปโดนอะไรมาล่ะ?” ป้ากานต์ถามถึงผ้าพันแผลที่มือด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “เอ่อ…หนูลื่นล้มนิดหน่อยน่ะค่ะ” “ตายแล้ว ไปล้มอีท่าไหนถึงได้แผลมาล่ะเนี่ย?” “แฮ่ๆ!! ก็…ล้มแบบทั่วไปนั่นแหละค่ะ” ทั่วไปที่ไหน…โดนหมาบ้าผลักจนล้มต่างหากล่ะ! “คราวหลังก็ระวังหน่อยนะหนูเกว” เอ้อ! จริงสิ พอป้ากานพูดถึงเรื่องแผล ฉันก็นึกถึงเรื่องที่ป้ากานพูดเมื่อตอนเช้าขึ้นมาได้ เรื่องที่คาใจฉัน “เอ่อ…ป้ากานคะ คือ…เมื่อคืนเกวไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านแล้ว…เจอเรือนกระจกด้วยค่ะ เกวเพิ่งรู้นะคะว่าที่นี่มีเรือนกระจกด้วย มันเป็น…เรือนกระจกของคุณคิมหันต์เหรอคะ?” “จริงสิ หนูเกวเพิ่งมาคงจะยังไม่รู้สินะ เรือนกระจกนั่นน่ะ เป็นเรือนกระจกที่คุณผู้หญิง…คุณแม่ของคุณคิมหันต์สร้างไว้นานแล้วล่ะ ต้นไม้แทบจะทุกต้นที่อยู่ในนั้น ก็เป็นต้นไม้ที่คุณผู้หญิงปลูกเอาไว้ด้วย” “รวมถึง…ดอกกุหลาบด้วยเหรอคะ?” “หืม? หนูเกวรู้ได้ยังไงว่ามีดอกกุหลาบปลูกอยู่ด้วย?” อุ้ย! แย่แล้ว เผลอหลุดปากออกไปซะได้ “เอ่อ…เกวได้กลิ่นน่ะค่ะ กลิ่นกุหลาบมันลอยโชยออกมาถึงข้างนอกเรือนกระจกเลยค่ะ” “อ่อ งั้นก็แล้วไป หนูเกวต้องระวังอย่าเข้าไปในที่เรือนกระจกนั่นเด็ดขาดนะ” ป้ากานชี้นิ้วขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ทำไมถึงห้ามเข้าไปล่ะคะ?” “คุณคิมหันต์เขาหวงเรือนกระจกหลังนี้มากเลยล่ะ โดยเฉพาะดอกกุหลาบที่อยู่ในเรือนกระจก ห้ามไปแตะต้องมันเด็ดขาดเลย เพราะมันเป็นดอกกุหลาบที่คุณแม่คุณคิมหันต์ปลูกเอาไว้ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตได้แค่หนึ่งวันน่ะ” “จริงเหรอคะ?” ได้ยินแบบนั้นแล้วฉันถึงกับอ้าปากค้าง “ใช่จ้ะ คุณผู้หญิงน่ะ ชอบดอกกุหลาบมาก สำหรับคุณคิมหันต์แล้ว ดอกกุหลาบนั่นเป็นเหมือนตัวแทน และของต่างหน้าชิ้นสุดท้ายที่คุณแม่ทิ้งไว้ให้ ก่อนที่ท่านจะเสียไป เพราะงั้นคุณคิมหันต์ถึงหวงมันมากไงล่ะ หนูเองก็อย่าเข้าไปยุ่งกับเรือนกระจกนั่นเด็ดขาดล่ะ ถ้าไม่อยากเดือดร้อน เข้าใจมั้ย?” ไม่ทันแล้วล่ะค่ะป้ากาน เมื่อคืนหนูเข้าไปในนั้นมาเรียบร้อยแล้วแถมยังไปทำดอกกุหลาบที่เขาหวงนักหนาเสียหายอีกด้วย หนูเลยได้แผลนี่มาไงคะ เฮ้อออ “เข้าใจแล้วค่ะ” ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเมื่อคืนเขาถึงโกรธมากขนาดนั้น มันก็…น่าโกรธจริงๆนั่นแหละ เพราะฉันทะเล่อทะล่าเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เลยเกิดเรื่องแย่ๆแบบนั้นขึ้นมาซะได้ ทำยังไงดี? ตอนนี้ฉัน…รู้สึกผิดกับผู้ชายคนนั้นชะมัดเลย ตืดๆๆ!! ระหว่างที่ฉันกำลังยืนคุยกับป้ากานในห้องครัวอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงมือถือของป้ากานก็ดังขึ้นมา “ตายแล้ว! หนูเกวมาช่วยป้าเอาอันนี้ใส่จานให้หน่อยได้มั้ยจ้ะ? เดี๋ยวป้าขอตัวไปรับสายโทรศัพท์แปบนึง” ป้ากานหันมาขอความช่วยเหลือจากฉัน ซึ่งฉันก็ไม่คิดปฏิเสธ เต็มใจช่วยเหลืออยู่แล้ว “อ่อ ได้ค่ะ!” หมับ!! ป้ากานยื่นตะหลิวมาให้ฉัน ก่อนจะเดินออกไปรับสาย ทันทีที่กำตะหลิวเอาไว้ความรู้สึกเจ็บแปลบที่แผลบนฝ่ามือข้างซ้ายมันก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันเป็นความเจ็บที่ฉันยังพอทนได้อยู่ “อะไรนะ?!” เสียงของป้ากานที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกลจากฉันมากตะโกนออกมาซะเสียงดัง น้ำเสียงของป้ากานดูจะตกใจเอามากๆเลยล่ะ “ได้ๆ เดี๋ยวแม่จะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้!” “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะป้ากาน?” ฉันถามป้ากานทันทีที่ป้าแกเดินกลับมาด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนกเอามากๆเลยล่ะ “คือ…ลูกสาวป้าเพิ่งโทรมาบอกว่า หลานชายป้าไม่สบาย ชักจนต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหันน่ะ” “จริงเหรอคะ? แล้วตอนนี้หลายชายป้าเป็นยังไงบ้างเหรอคะ?” “ป้าก็ยังไม่รู้เหมือนกัน คงจะต้องไปดูหลานที่โรงพยาบาลแล้วล่ะ” “ถ้างั้น…ป้ากานรีบไปดูหลานเถอะค่ะ” “แต่ป้าต้องอยู่เตรียมอาหารให้คุณคิมหันต์เขาก่อนน่ะ” เวลาแบบนี้ป้ากานยังจะมาห่วงคนอื่นอีกเหรอ? อีตานั่นโตขนาดนั้นแล้วคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ “ป้ากานไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ เดี๋ยวเกวอยู่เตรียมอาหารให้คุณคิมหันต์เอง ป้ากานรีบไปดูหลานเถอะค่ะ” “ถ้างั้น…ป้าฝากหนูด้วยนะ อ้อ! คุณคิมเขาชอบทานอาหารตอนร้อนๆ ถ้าเขากลับมาแล้วหนูอย่าลืมอุ่นอาหารให้เขาด้วยนะ แล้วก็…ตอนทานอาหารคุณคิมเขาชอบดื่มน้ำเย็นจัดควบคู่กัน หนูเกวต้องคอยหมั่นเติมน้ำให้เย็นอยู่ตลอดเวลาด้วยนะ” ป้ากานหันมาสาธยายพรรณนาอะไรต่างๆมากมายก่อนจะไป เฮอะ! ผู้ชายอะไรเรื่องเยอะชะมัดเลย “เข้าใจแล้วค่ะ ป้ากานรีบไปเถอะค่ะ” “ป้าฝากด้วยนะหนูเกว” “ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” กว่าป้ากานจะยอมออกไป ทำเอาฉันเกือบท้อใจไปแล้วน่ะเนี่ย อะไรที่ป้ากานบอกมาเมื่อกี้ ฉันจำไม่ได้สักอย่างหรอก รู้แค่ว่าผู้ชายคนนี้เรื่องเยอะยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก เฮอะ!!“อ้ะ!” ฉันร้องลั่นขึ้นมาเมื่อคนตัวสูงกระแทกเอวสวนจนรู้สึกจุกไปหมด“แต่ฉันชอบสุดๆไปเลยล่ะ~” เสียงกระซิบบองชอบที่แหบพร่า บวกกับแววตาหื่นกระหายของคนตรงหน้าทำให้ความเขินอายที่มีในตอนแรก เลแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่มที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก“จุ๊บ!! อื้ม~” ฉันก้มลงไปประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากหนา จู่ๆฉันก็เกิดความคิดประหลาดๆขึ้นมา คราวนี้ฉันอยากจะลองเป็นคนเดินเกมส์ดูบ้าง ฉันอยากจะรู้…ว่าฉันสามารถทำให้คนตรงหน้าเสียสติได้มาก เท่ากับที่เขา…ทำให้ฉันเสียสติจวนจะบ้าตายอย่างในตอนนี้รึเปล่านะ?ฉันส่งเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปเกี่ยวตระหวัดดูดเม้มกับเรียวลิ้นของเขาอย่างร้อนแรง เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน และช่วงชิมรสหวานจากปากของเขาอย่างหื่นกระหาย เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน“อืมมม~” เสียงครวญครางที่ดังออกมาจากในลำคอของคนใต้ร่าง มันทำให้ฉัพอใจมากเลยล่ะ แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก ฉันอยากเห็นเขา…พอใจสัมผัสของฉันมากกว่านี้“อ่าส์ เกว~” ฉันเปลี่ยนตำแหน่จาริมฝีปากของคนตัวสูง มาซุกไซร้ซอกคอแกร่งของเขาแทน ฉันใช้เรียวลิ้นของตัวเองไล้เลียและดูดเม้มไปตามผิวเนียนของเขาอย่างหื่นกระหาย ให้เหมือนกับที่เขาทำกับฉัน
วันต่อมาเมื่อวานหลังจากกลับมาจากห้องของคุณคิมหันต์แล้ว ฉันก็นั่งทำโอทียาวมาจนถึงเช้าเลยล่ะ ยังไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนเลย ง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ยกริ๊งงง!! ระหว่างที่กำลังนั่งเฝ้าล็อบบี้รอเวลาออกกะอยู่นั้น เสียงมือถือที่วางอยู่หน้าล็อบบี้ก็ดังขึ้นมา รินณ์ที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆเลยทำหน้าที่รับสายแทน“สวัสดีค่ะ”“อาหารเช้าสองที่เหรอคะ?”“ได้ค่ะ เดี๋ยวทางเราจะเตรียมไว้ให้นะคะ”“ให้ใครไปเสริฟ์นะคะ?”“พนักงานที่ชื่อ…เกวลิน”“ได้ค่ะ อีกสามสิบนาทีเราจะเอาอาหารไปให้นะคะ”ทันทีที่วางสายฉันกับรินณ์หันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย“มีอะไรเหรอรินณ์?” “ก็แฟน…เอ่อ…คุณคิมหันต์อ่ะ เขาขอให้เกวเอาอาหารเช้าเสริฟ์ให้น่ะสิ” รินณ์มองซ้ายมองขวาก่อนจะเขยิบมากระซิบใกล้ๆฉันคุณคิมหันต์ให้ฉันเอาอาหารไปเสริฟ์ให้เนี่ยนะ? คิดจะแกล้งอะไรฉันอีกล่ะเนี่ย?ห้องพักกริ๊งงง!! ฉันกดออดที่หน้าห้องพักของคุณคิมหันต์ หลังจากที่เข็นรถเข็นอาหารมาส่งให้เขาถึงหน้าห้อง ตามคำสั่งที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้แอ๊ดดด!! ผ่านไปเพียงไม่กี่วิ คนตัวสูงก็เปิดประตูห้องออกมา แต่ทันทีที่ฉันเห็นร่างของคนที่อยู่ในห้อง ฉันถึงกับเบิกตาโ
ห้องพักวีไอพีกริ๊งงง!! ฉันตัดสินใจกดออดหน้าประตูห้องพักวีไอพีห้องหนึ่ง หลังจากที่ยืนทำให้อยู่หน้าห้องมาได้สักพักหนึ่งแล้วแอ๊ดดด!! ผ่านไปไม่กี่วินาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาช้าๆ ก่อนจะปรากฏร่างของคนตัวสูงที่ยืนยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์อยู่หลังประตู“ฉันเอากระเป๋ามาให้…”หมับ!! ยังไม่ทันที่จะพูดจบ คนตัวสูงก็คว้าร่างฉันเข้าไปในห้องอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่ลากเข้ามาในห้องด้วยกันอีกทีปัง!! ฉันสะดุ้งตกใจเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นมาซะลั่นห้อง “คุณคิมหันต์! คุณจะทำอะไรเนี่ย?”ตุบ!! คนตัวสูงเตะกระเป๋าใชเดินทางใบใหญ่ของตัวเอทีกันเองมาด้วยออกไป ก่อนจะดันตัวฉันให้ติดกับประตห้องไม่ให้ไปไหน“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเกวลิน”“นั่นน่ะสิค่ะ เกวก็ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่ในฐานะแขกวีไอพีด้วยเหมือนกันค่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ออกจะดุนิดหน่อย “คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?”“ฉันคิดถึงเธอเกว~”ตึกตักๆๆ!! คนตัวสูงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเลี่ยงตอบคำถามของฉัน เป็นการกระซิบเบาที่ข้างหูฉันแทน ซึ่งวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีทำให้ฉันใจสั่นขึ้นมาได้ดีเลยล่ะ“เราไม่ได้เจอกันตั้งเดือนนึงเลยนะเก
หนึ่งเดือนผ่านไปวันเวลาผ่านไปเร็วราวกับพลิกหน้ากระดาษ ตอนนี้ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วที่ฉันมาฝึกงานที่นี่ ทุกๆวันที่อยู่ที่นี่ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะไม่คิดถึงคนที่ตัวเองรักอย่างคุณคิมหันต์ แต่ถึงอย่างนั้น…ฉันก็ยังสนุกกับการฝึกงานที่นี่อยู่นั่นแหละและดูเหมือนว่าใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะกลับไปหาคนที่ตัวเองรักสักที“เอ้า! ทุกคน ใกล้ถึงเวลาที่แขกวีไอพีขอบโรงแรมจะมาแล้ว รีบออกมาต้อนรับกันเร็ว” เสียงของผู้จัดการตะโกนร้องเรียกพนักงานทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้โรงแรมเมื่อสองวันก่อนผู้จัดการแจ้งมาว่าในวันนี้จะมีแขกวีไอพีมาพักที่โรงแรม ซึ่งแขกคนนี้เป็นแขกคนสำคัญมากๆเลยล่ะ ลือกันว่าเขาเป็นเพื่อนของท่านประธานคนใหม่ของที่นี่ ดังนั้นเราจึงต้องให้การต้อนรับแขกวีไอพีคนนี้ให้ดีที่สุดและห้ามทำอะไรผิดพลาดโดยเด็ดขาด“ไปกันเถอะเกว” เสียงของรินณ์ที่ยืนอยู่หน้าล็อบบี้เรียกให้ออกไปยืนรอด้วยกัน“อื้อ!” ฉันกันรินณ์ออกไปรอต้อนรับแขกวีไอพีคนดังกล่าวที่หน้าประตูโรงแรม พร้อมกับผู้จัดการและพี่แอนเอี๊ยดดด!! ยืนรอกันได้อยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็มีรถหรูคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูโรงแรมพนักงานชายเดินไปเปิดประตูรถ ก่อนท
หลังจากได้ฟังคำตอบจากปากของเกวลินแล้ว สิ่งที่ค้างคาใจผมในตอนแรกก็คลายลง ผมตัดสินใจเดินออกมาจากร้านนั้น แล้วก็มาเดินเล่นที่ริมหาดกับไอ้กวินท์แทนระหว่างที่เดินเล่นอยู่ผมก็ทบทวนคำพูดของเกวลินอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เกวลินต้องการมาตลอดก็คืออิสระ เพราะเธอโตมากับตระกูลของผม เลยทำให้เธอคิดว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณตระกูลของผม ไอ้สิ่งที่ผูกมัดเกวลินมาตลอดคือ…ตระกูลอัศวนันทร์ และตัวผมนี่แหละผมไม่อยากสูญเสียเกวลินไป ผมอยากให้เกวลินอยู่กับผมไปตลอดเลยด้วยซ้ำ เพราะผมรักเธอ แต่มันคงไม่ง่ายสำหรับเกวลิน แม้เธอจะรักผม แต่เธอก็มีความต้องการเหมือนกัน และสิ่งที่เธอต้องการก็คือ…อิสระ เธอต้องการอิสระมาโดยตลอด เพราะงั้น…ผมตัดสินใจแล้วว่าผม…จะยอมให้อิสระกับเกวลิน อย่างที่เธอต้องการ“ดูเหมือนแกกับเด็กคนนั้นจะรักกันมากเลยนะ” ไอ้กวินท์พูดเหมือนเด็กฝึกงานที่มากับเกวลินไม่มีผิด“ไม่ใช่เรื่องของแก”“ครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นแกร้อนรนแบบนี้อ่ะ”“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเหอะ”“นี่! ฉันกำลังเตือนสติแกอยู่นะเว้ย! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรน้องเขาถึงหนีมาอยู่ที่นี่ได้อ่ะ แต่จากที่ฟังเมื่อกี้…น้องเขาคงจะรัก
[คิมหันต์]ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งผมขับรถตามรถของเกวลินมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมทะเลร้านหนึ่ง เกวลินกันเพื่อนของเธอคงจะมากินอาหารกันที่นี่ ผมไม่อยากให้เกวบินคลาดสายตาผมไป เลยตามเกวลินเข้ามาในร้านด้วยเหมือนกันแต่ผมไม่เข้าใจว่าไอ้กวินท์มันจะตามผมมาถึงที่นี่ด้วยทำไมเนี่ย?“นั่งตรงนี้มั้ยเกว?”“ได้สิ” เกวลินกับเพื่อนของเธอเลือกนั่งลงบนโต๊ะๆหนึ่งในร้านอาหาร ฟุ่บ!! ผมที่เดินตามอยู่ห่างๆ เลยเดินเข้าไปนั่งใกล้กับโต๊ะของเกวลิน ซึ่งระยะห่างระหว่างผมกันเกวลินก็ห่างกันเพียงแค่โต๊ะอาหารคั่นกลางไว้แค่โต๊ะเดียวเท่านั้นตุบ!! ส่วนไอ้กวินท์ที่ตามติดมาด้วยก็ดันเลือกที่จะมานั่งข้างๆผมอีกซะงั้น ที่มีตั้งเยอะแยะจะมานั่งติดผมทำไมเนี่ย?“แกจะตามฉันมาด้วยทำไมเนี่ย?”“ฉันไม่ได้ตามแกมาซะหน่อย ลืมไปแล้วรึไงว่ารถที่แกขับมาน่ะ รถฉันเว้ย!” มันพูดด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ความจริง ผมสังเกตเห็นตั้งแต่ที่โรงแรมล่ะ ไอ้กวินท์เอาแต่ชะเง้อมองตามใครสักคนอยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างจากผมเลยสักนิด และผมก็เดาว่าคนที่มันกำลังตามอยู่คงจะเป็นเพื่อนที่อยู่กับเกวลินตอนนี้แน่ๆ“ใครว่ะ? แฟนเหรอ?” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
[คิมหันต์]ณ บริษัท เอ.เอส.เอ็นก๊อกๆๆ!! เสียงเคาะประตูห้องทำงานหน้าห้องของผมดังขึ้น“เข้ามา” ธนินเดินเข้ามาในห้องหลังจากได้รับอนุญาตจากผมแล้ว“เรื่องที่ให้ไปสืบเป็นไงบ้าง?“ ทันทีที่เห็นหน้าของธนินผมก็เอ่ยถามถึงงานที่ผมมอบหมายไปให้เมื่อวานนี้ “ได้ที่อยู่ของคุณเกวลินมาแล้วครับ” ซึ่งก็เป็นเรื่องไหนไม่ได้เลน นอกจากเรื่องของเกวลิน ยัยตัวแสบที่แอบหนีผมไปไงล่ะ เมื่อวานทันทีที่รู้ว่าเกวลินหนีไป ผมก็รีบยกหูโทรหาให้ธนินไปสืบหาที่อยู่ของเกวลินทันที “เกวลินอยู่ไหน?”“คุณเกวลิน ย้ายไปฝึกงานอยู่ที่โรงแรมพาวิลเลียนที่ต่างจังหวัดครับ” ได้ยินชื่อโรงแรมที่ธนินเอ่ยแล้วผมถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เพราะเหมือนว่าชื่อโรงแรมนี้จะฟังดูคุ้นหูเอามากเลยล่ะ“โรงแรมพาวิลเลียนเหรอ?”“ครับ โรงแรมในเครือตระกูลอัครวานิชครับ” และผมก็อดที่จะยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เมื่อสิ่งที่ผมสงสัยได้รับการยืนยันจากธนินโรงแรมพาวิลเลียน ในเครือตระกูลอัครวานิช คือโรงแรมที่ไอ้กวินท์ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาลัยของผมบริหารอยู่นี่เอง ตืดๆๆ!! ทันทีที่รู้ว่าเกวลินอยู่ที่นั่น ผมก็ไม่รอช้ารีบยกหูกดโทรออกหาไอ้กวินท์มันอย่า
[เกวลิน]“ยินดีต้อนรับน้องๆฝึกงานทุกคนเลยนะคะ” เสียงของผู้จัดการโรงแรมเอ่ยขึ้น หลังจากที่พาพวกเราที่เป็นเด็กฝึกงานใหม่ ไปแนะนำสถานที่ต่างๆในโรงแรมเสร็จแล้ว“ต่อไปนี้ก็ตั้งใจทำงาน แล้วก็ขอให้โชคดีกับการฝึกงานนะคะ” พี่แอนพี่พนักงานอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น“ขอบคุณค่ะ” ฉันและเพื่อนอีกคนที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกันเอ่ยขอบคุณผู้จัดการและพี่แอนพร้อมๆกัน“วันนี้ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ เราสองคนกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาเริ่มงานพรุ่งนี้อีกที”“ได้ค่ะ”“งั้นพี่ไปก่อนนะ” ร่ำลากันเสร็จผู้ตัดการกับพี่แอนก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองกันต่อ เหลือไว้แค่ฉันกับเพื่อนร่วมฝึกงานกันอยู่สองคน“หวัดดี เราชื่อรินณ์นะ” เพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมาทักทายด้วยสีหน้าที่สดใส“หวัดดี เราชื่อเกว”“เกวมาจากกรุงเทพเหรอ?”“อื้อ แล้วรินณ์อ่ะ?”“เราเรียนที่นี่แหละ แล้วก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย” อ่อ เป็นคนที่นี่สินะ“อ่อ อื้ม!”“แล้วนี่…เกวจะกลับเลยรึเปล่า? เราไปกินข้าวกันมั้ย?”“โทษทีนะ พอดีเราเพิ่งย้ายมาที่นี่เมื่อวานเองอ่ะ คงต้องขอตัวกลับไปจัดของที่ห้องก่อน” “อ่อ งั้นไม่เป็นไร ไว้ไปกินข้าวกั
[คิมหันต์]เช้าวันต่อมา พรึ่บ!! ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ หลังจากที่หลับพักผ่อนจากกิจกรรมอันเหน็ดเหนื่อยเมื่อคืนไปทั้งคืนอย่างเต็มที่แล้ว แสงแดดที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีดำในห้องของตัวเองสาดส่องเข้ามา ทำผมถึงกับต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับสายตาของตัวเองให้คงที่ขวับ!! เมื่อสายตากลับมาอยู่ในสภาพคงที่แล้ว ผมจึงพลิกตัวมาอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ด้วยความหวังที่ว่าจะเจอกันคนตัวเล็กอย่างเกวลินนอนอยู่ข้างๆกาย"..." แต่แล้วสิ่งที่ผมเจอมีเพียงแค่รอยยับของผ้าปูที่ว่างเปล่าและไร้ซึ่งร่างของคนตัวเล็กเกวลินตื่นแล้วเหรอ?ฟุ่บ!! ผมคิดว่าคนตัวเล็กคนจะตื่นก่อนผมไปแล้ว ผมจึงลุกออกจากเตียง ก่อนจะเดินหยิบกางเกงนอนของตัวเองมาใส่ แล้วเดินออกไปจากห้อง ด้วยความหวังที่ว่าเกวลินคงจะอยู่ข้างนอกห้อง หรือที่ไหนสักที่ในบ้านนั่นแหละ"..." แต่ผมกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจมากกว่าเดิม เมื่อลงมาแล้วไม่เจอกับเกวลินอยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน ในครัวก็ไม่อยู่ ในห้องรับแขกก็ไม่เจอ "เกวลิน!" ผมลองตะโกนร้องเรียกชื่อของคนตัวเล็ก แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆตอบรับกลับมาใจผมเริ่มสั่นไหวขึ้นมา จู่ๆความคิดที่ไม่ดีก็ดันโผล่เข้ามาในหัว ตอนนี้ผมกำลังคิดว่า