บ้านคิมหันต์
หลังจากแยกกับทิวเขาที่มหาลัยแล้ว ฉันก็แวะไปทำธุระที่ธนาคารต่อ กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ห้าโมงกว่าแล้ว ดีนะที่ขากลับฉันไม่ต้องเหนื่อยหลบหน้าเจ้าของบ้านแล้ว เพราะก่อนเข้ามาฉันไม่เห็นรถของผู้ชายคนนั้นจอดอยู่หน้าบ้านแล้ว เลยเดินเข้ามาจากประตูหน้าได้อย่างสบายใจ เฮ้อออ! วันนี้ทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้เนี่ย? อยากรีบกลับไปอาบน้ำนอนเร็วๆจัง “อ้าวหนูเกว ออกไปไหนมาเหรอจ้ะ?” ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้าน ฉันก็ได้ยินเสียงทักทายจากป้ากานที่กำลังยืนทำอาหารอยู่ในครัว “เอ่อ…เกวออกไปมหาลัยมาน่ะค่ะ แล้วนี่…ป้ากานทำอะไรอยู่เหรอคะ?” ฉันถามพลางเดินเข้าไปใกล้ป้ากาน “ป้ากำลังเตรียมอาหารเย็นให้คุณคิมหันต์เขาน่ะ” เมนูอาหารสี่ห้าอย่างถูกวางตั้งไว้อยู่บนโต๊ะอาหารเตรียมพร้อมทาน แต่ละเมนูก็น่าทานทั้งนั้นเลย แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายก็คงต้องทิ้งอาหารพวกนี้ไป เพราะคนๆเดียวคงทานอาหารหมดนี่ไม่ได้หรอก สำหรับพวกคนรวยน่ะ หน้าที่ของอาหารพวกนี้คือเป็นตัวเลือกให้เขาเลือกทานแค่นั้นแหละ อันไหนชอบก็ทาน อันไหนไม่ชอบก็ทิ้ง แค่นั้นจริงๆ “ป้ากานมีอะไรให้เกวช่วยมั้ยคะ?” ฉันวางสัมภาระของตัวเองไว้บนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยป้ากานในครัว “โอ้ย!! ไม่ต้องหรอกจ้ะ ป้าทำเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่รออุ่นให้คุณคิมมาทานเท่านั้นแหละ” “อ่อ ค่ะ” “อ้าว! แล้วนั่นมือหนูไปโดนอะไรมาล่ะ?” ป้ากานต์ถามถึงผ้าพันแผลที่มือด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “เอ่อ…หนูลื่นล้มนิดหน่อยน่ะค่ะ” “ตายแล้ว ไปล้มอีท่าไหนถึงได้แผลมาล่ะเนี่ย?” “แฮ่ๆ!! ก็…ล้มแบบทั่วไปนั่นแหละค่ะ” ทั่วไปที่ไหน…โดนหมาบ้าผลักจนล้มต่างหากล่ะ! “คราวหลังก็ระวังหน่อยนะหนูเกว” เอ้อ! จริงสิ พอป้ากานพูดถึงเรื่องแผล ฉันก็นึกถึงเรื่องที่ป้ากานพูดเมื่อตอนเช้าขึ้นมาได้ เรื่องที่คาใจฉัน “เอ่อ…ป้ากานคะ คือ…เมื่อคืนเกวไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านแล้ว…เจอเรือนกระจกด้วยค่ะ เกวเพิ่งรู้นะคะว่าที่นี่มีเรือนกระจกด้วย มันเป็น…เรือนกระจกของคุณคิมหันต์เหรอคะ?” “จริงสิ หนูเกวเพิ่งมาคงจะยังไม่รู้สินะ เรือนกระจกนั่นน่ะ เป็นเรือนกระจกที่คุณผู้หญิง…คุณแม่ของคุณคิมหันต์สร้างไว้นานแล้วล่ะ ต้นไม้แทบจะทุกต้นที่อยู่ในนั้น ก็เป็นต้นไม้ที่คุณผู้หญิงปลูกเอาไว้ด้วย” “รวมถึง…ดอกกุหลาบด้วยเหรอคะ?” “หืม? หนูเกวรู้ได้ยังไงว่ามีดอกกุหลาบปลูกอยู่ด้วย?” อุ้ย! แย่แล้ว เผลอหลุดปากออกไปซะได้ “เอ่อ…เกวได้กลิ่นน่ะค่ะ กลิ่นกุหลาบมันลอยโชยออกมาถึงข้างนอกเรือนกระจกเลยค่ะ” “อ่อ งั้นก็แล้วไป หนูเกวต้องระวังอย่าเข้าไปในที่เรือนกระจกนั่นเด็ดขาดนะ” ป้ากานชี้นิ้วขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ทำไมถึงห้ามเข้าไปล่ะคะ?” “คุณคิมหันต์เขาหวงเรือนกระจกหลังนี้มากเลยล่ะ โดยเฉพาะดอกกุหลาบที่อยู่ในเรือนกระจก ห้ามไปแตะต้องมันเด็ดขาดเลย เพราะมันเป็นดอกกุหลาบที่คุณแม่คุณคิมหันต์ปลูกเอาไว้ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตได้แค่หนึ่งวันน่ะ” “จริงเหรอคะ?” ได้ยินแบบนั้นแล้วฉันถึงกับอ้าปากค้าง “ใช่จ้ะ คุณผู้หญิงน่ะ ชอบดอกกุหลาบมาก สำหรับคุณคิมหันต์แล้ว ดอกกุหลาบนั่นเป็นเหมือนตัวแทน และของต่างหน้าชิ้นสุดท้ายที่คุณแม่ทิ้งไว้ให้ ก่อนที่ท่านจะเสียไป เพราะงั้นคุณคิมหันต์ถึงหวงมันมากไงล่ะ หนูเองก็อย่าเข้าไปยุ่งกับเรือนกระจกนั่นเด็ดขาดล่ะ ถ้าไม่อยากเดือดร้อน เข้าใจมั้ย?” ไม่ทันแล้วล่ะค่ะป้ากาน เมื่อคืนหนูเข้าไปในนั้นมาเรียบร้อยแล้วแถมยังไปทำดอกกุหลาบที่เขาหวงนักหนาเสียหายอีกด้วย หนูเลยได้แผลนี่มาไงคะ เฮ้อออ “เข้าใจแล้วค่ะ” ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเมื่อคืนเขาถึงโกรธมากขนาดนั้น มันก็…น่าโกรธจริงๆนั่นแหละ เพราะฉันทะเล่อทะล่าเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เลยเกิดเรื่องแย่ๆแบบนั้นขึ้นมาซะได้ ทำยังไงดี? ตอนนี้ฉัน…รู้สึกผิดกับผู้ชายคนนั้นชะมัดเลย ตืดๆๆ!! ระหว่างที่ฉันกำลังยืนคุยกับป้ากานในห้องครัวอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงมือถือของป้ากานก็ดังขึ้นมา “ตายแล้ว! หนูเกวมาช่วยป้าเอาอันนี้ใส่จานให้หน่อยได้มั้ยจ้ะ? เดี๋ยวป้าขอตัวไปรับสายโทรศัพท์แปบนึง” ป้ากานหันมาขอความช่วยเหลือจากฉัน ซึ่งฉันก็ไม่คิดปฏิเสธ เต็มใจช่วยเหลืออยู่แล้ว “อ่อ ได้ค่ะ!” หมับ!! ป้ากานยื่นตะหลิวมาให้ฉัน ก่อนจะเดินออกไปรับสาย ทันทีที่กำตะหลิวเอาไว้ความรู้สึกเจ็บแปลบที่แผลบนฝ่ามือข้างซ้ายมันก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันเป็นความเจ็บที่ฉันยังพอทนได้อยู่ “อะไรนะ?!” เสียงของป้ากานที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกลจากฉันมากตะโกนออกมาซะเสียงดัง น้ำเสียงของป้ากานดูจะตกใจเอามากๆเลยล่ะ “ได้ๆ เดี๋ยวแม่จะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้!” “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะป้ากาน?” ฉันถามป้ากานทันทีที่ป้าแกเดินกลับมาด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนกเอามากๆเลยล่ะ “คือ…ลูกสาวป้าเพิ่งโทรมาบอกว่า หลานชายป้าไม่สบาย ชักจนต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหันน่ะ” “จริงเหรอคะ? แล้วตอนนี้หลายชายป้าเป็นยังไงบ้างเหรอคะ?” “ป้าก็ยังไม่รู้เหมือนกัน คงจะต้องไปดูหลานที่โรงพยาบาลแล้วล่ะ” “ถ้างั้น…ป้ากานรีบไปดูหลานเถอะค่ะ” “แต่ป้าต้องอยู่เตรียมอาหารให้คุณคิมหันต์เขาก่อนน่ะ” เวลาแบบนี้ป้ากานยังจะมาห่วงคนอื่นอีกเหรอ? อีตานั่นโตขนาดนั้นแล้วคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ “ป้ากานไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ เดี๋ยวเกวอยู่เตรียมอาหารให้คุณคิมหันต์เอง ป้ากานรีบไปดูหลานเถอะค่ะ” “ถ้างั้น…ป้าฝากหนูด้วยนะ อ้อ! คุณคิมเขาชอบทานอาหารตอนร้อนๆ ถ้าเขากลับมาแล้วหนูอย่าลืมอุ่นอาหารให้เขาด้วยนะ แล้วก็…ตอนทานอาหารคุณคิมเขาชอบดื่มน้ำเย็นจัดควบคู่กัน หนูเกวต้องคอยหมั่นเติมน้ำให้เย็นอยู่ตลอดเวลาด้วยนะ” ป้ากานหันมาสาธยายพรรณนาอะไรต่างๆมากมายก่อนจะไป เฮอะ! ผู้ชายอะไรเรื่องเยอะชะมัดเลย “เข้าใจแล้วค่ะ ป้ากานรีบไปเถอะค่ะ” “ป้าฝากด้วยนะหนูเกว” “ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” กว่าป้ากานจะยอมออกไป ทำเอาฉันเกือบท้อใจไปแล้วน่ะเนี่ย อะไรที่ป้ากานบอกมาเมื่อกี้ ฉันจำไม่ได้สักอย่างหรอก รู้แค่ว่าผู้ชายคนนี้เรื่องเยอะยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก เฮอะ!![คิมหันต์]“คุณคิมหันต์!! มาดูนี่เร็ววว~” เสียงของคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ริมทะเลหันมาร้องเรียกผมพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส“หึๆ” ผมที่ที่กำลังเดินอยู่ก็รีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาเกวลินโดยทันที พร้อมกับหิ้วไก่ทอดที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ติดมือมาด้วย ตามคำสั่งของคนตัวเล็ก“คุณคิมหันต์ พระอาทิตย์ตกสวยมากเลยว่ามั้ยคะ?” พอเดินเข้ามาถึงตัวเกวลินแล้ว เธอก็ยังคงยกยิ้มสดใสออกมาด้วยความสดใส แถมยังกระโดดไปมาดุกดิกด้วยความตื่นเต้นกับวิวพระอาทิตย์ตกริมทะเลตรงหน้าอีกด้วยผมที่ได้เห็นท่าทีของเธอที่น่ารักของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“ไหนว่าจะกลับห้องไง ทำไมถึงพามาที่นี่ล่ะ?” หลังจากออกมาจากห้างก่อนหน้านี้ ผมตั้งใจว่าจะพาเกวลินกลับไปพักที่ห้องของเธอทันที แต่เธอก็ดื้อดึงอ้อนให้ผมพามาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่จนได้ แล้วท่าทีตอนที่เกวลินอ้อนผมมันก็ดันน่ารักซะจนผมปฏิเสธเธอไม่ลงเลยจริงๆ“จะกลับเลยได้ยังไงล่ะคะ วันนี้อุตส่าห์ได้พักทั้งที ต้องออกมาเที่ยวซะหน่อยสิ”หมับ!! เกวลินพูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ผม ขณะเดียวกันเธอก็ยื่นมือตัวเองมาจับมือที่ว่างอยู่ของผมเอาไว้ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมใจสั
[เกวลิน]“แน่ใจนะว่าไม่ต้องไปโรงพยาบาล” คุณคิมหันต์ที่ขับรถอยูข้างๆเอ่ยถามคำถามนีเป็นรอบที่สิบได้แล้วมั้ง? หลังจากที่ฉันดีขึ้นแล้ว คุณริมหันต์ก็จัดการเรื่องลางานกับผู้จัดการให้ฉัน แถมยังอาสาพาฉันกลับห้องอีกด้วย และตั้งแต่ที่ออกมามาจากโรงแรม เขาก็เอาแต่ถามย้ำกับฉันอยู่ได้ว่าไม่เป็นไรแน่นะ? ไม่ต้องโรงพยาบาลแน่นะ? ให้ฉันพาไปโรงพยาบาลมั้ย? ถามย้ำรอบที่สิบได้แล้วมั้งน่ะ“เกวไม่เป็นไรแล้วจริงๆค่า แข็งแรงดี สบายใจหายห่วงได้ค่ะ”“ถ้างั้นกลับห้องไปก็พักผ่อนให้เต็มที่่นะ”“เอ่อ คือว่า…ก่อนกลับห้อง เกวมีที่ที่ต้องไปก่อนน่ะค่ะ” จริงๆวันนี้ฉันต้องไปทำธุระสำคัญอย่างหนึ่ง ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะไปคนเดียวด้วยซ้ำ แต่คุณคิมหันต์ก็ดื้อดึงจะไปส่งฉันให้ได้ ฉันปฏิเสธเขาไม่ได้เลยจริงๆ เลยต้องยอมให้เขามาส่งให้จนได้“ไว้รอหายดีก่อนแล้วค่อยไปวันหลัง วันนี้เธอต้องกลับไปพักก่อน”“ไม่ได้ค่ะ เกวต้องไปทำธุระสำคัญมากๆ ต้องไปวันนี้เท่านั้นค่ะ”“ฉันไม่ให้ไป” คนตัวสูงข้างๆเอ่ยออกมาอย่างเด็ดขาด“คุณคิมหันต์! นี่คุณจะเห็นแก่ตัวเกินไปแล้วนะ ฉันไปแค่แปบเดียว คุณแค่ไปส่งฉันแล้วนั่งรออยู่บนรถก็ได้”“ธุระอะไรจะสำคัญไป
[คิมหันต์]พรึ่บ!! ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะต้องหรี่ตาลงเมื่อแสงที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสอดส่องเข้ามากระทบกับดวงตา และเมื่อปรับสายตาให้คงที่ได้แล้ว ผมถึงได้รู้ว่าตัวเองยังคงนอนอยู่ใขอบนเตียงในห้องพักของเกวลินเหมือนเดิมเพียงแต่ตอนนี้ที่ข้างๆที่เคยมีเกวลินนอนอยู่ด้วย กลับเหลือไว้เพียงแค่รอยยับที่ว่างเปล่าเท่านั้นเกวลิน…ยัยนั่นทิ้งผมไปอีกแล้วเหรอเนี่ย?ฟุ่บ!! ผมลุกขึ้นมาจากเตียงนอน ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา แต่เมื่อก้าวเข้าไปในห้องน้ำแล้ว บางสิ่งบางอย่างอยู่ในนั้นกลับทำให้ผมแปลกใจขึ้นมาบนกระจกในห้องน้ำมีกระดาษอยู่สามแผ่นแปะเรียงกันไว้อย่างเป็นแถวเลยล่ะฟึ่บ! ผมเอื้อมมือไปหยิบกระดาษโน้ตแผ่นที่แปะอยู่บนกระจกห้องน้ำมาอ่าน‘เกวต้องออกไปทำงานแต่เช้าเมื่อคืนคุณดูเหนื่อยมากเกวเลยไม่อยากปลุก ขอโทษที่ปล่อยให้อยู่คนเดียวนะคะ’“หึ! ใครกันแน่ที่เหนื่อย” ผมยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจทันทีที่ได้อ่านข้อความที่เกวลินทิ้งไว้ให้ฟึ่บ!! จากนี้ก็หยิบกระดาษโน้ตใบที่สองขึ้นมาอ่านต่อ‘คุณอาบน้้ำแปรงฟันก่อนได้นะคะ เกวแขวนเสื้อผ้าที่คุณพอจะใส่ได้ไว้ให้ที่ตู้แล้ว’ผมอดไม่ไ
วันต่อมาณ โรงแรมพาวิลงเลียน“อ้าวเกว” เสียงของรินณ์เอ่ยทักขึ้นทันทีที่รินณ์เดินเข้ามาในห้องพักพนักงาน ซึ่งมีฉันที่นั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ววันนี้ฉันตั้งใจออกจากห้องมาแต่เช้า เช้าถึงขนาดที่คุณคิมหันต์ยังไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำ “ไงรินณ์”“ทำไมมาเช้าจังอ่ะ วันนี้เกวเข้างานกะบ่ายไม่ใช่เหรอ?”“อ่อ เราแลกเวรกับพี่แอนอ่ะ พอดี…ตอนเย็นเรามีธุระต้องไปทำธน่ะ” ใช่แล้วล่ะ! จริงๆ วันนี้ฉันเข้างานกะบ่าย แต่ช่วงเย็นวันนี้ฉันมีที่ที่ต้องไปน่ะ เลยแลกเวรกับพี่แอนไว้“ไปไหนอ่ะ? หรือว่า…ไปเดทเหรอ?” รินณ์ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางเดินเข้ามากระซิบใกล้ฉัน อะไรกัน? ยิ้มแบบนี้หมายความว่าไงเนี่ย?“ดะ เดทอะไรกันเล่า? ไม่ใช่ซะหน่อย” “เอ้า! ไม่ใช่หรอกเหรอ แต่เมื่อคืนเราเห็นน้า ผู้หญิงชุดฟ้าที่เดินควงแขนกับคุณคิมหันต์” รินณ์เข้ามานั่งใกล้ๆ ก่อนจะเขยิบมากระซิบข้างๆหู“นี่รินณ์เห็นด้วยเหรอ?0_0!” ฉันถึงกับเบิกตาโพลงออกมาด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเมื่อคืนจะมีคนเห็นฉันกันคุณคิมหันต์ด้วย นี่ขนาดแอบย่องออกไปตอนไม่มีคนแล้วน่ะเนี่ย ยังมีคนเห็นอีกเหรอเนี่ย? “อื้ม เมื่อคืนเราอยู่ทำโอทีน่ะ”“นอกจากรินณ์แล้ว…”“ไม่ต้องห่วงหรอก เมื
“อื้มมม~” เสียงครวญครางของเราสองคนดังลั่นไปทั่วทั้งห้องพักของฉัน เพราะรสจูบที่ร้อนแรงเกินกว่าจะต้านทานของกันและกัน เรียวลิ้นที่สอดประสานกันไปมาของเราสองคน มันเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน แต่ก็แฝงไปด้วยความปรารถนาที่เหลือล้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าริมฝีปากของคนตัวสูงยิ่งหอมหวานน่าช่วงชิมมากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆหมับ!! ฉันเอื้อมมือออกไปค้วาท้ายทอยของคนตัวสูงเหนือร่างลงมากอดไว้แน่น เพื่อให้เราสองคนแลกเปลี่ยนรสจูบจากกันและกันได้แนบแน่นกันมากยิ่งขึ้น“อื้อออ~” ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ต้องการสัมผัสจากคุณคิมหันต์ เขาเองก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับฉัน ฉันส่งเสียงครวญครางผ่านลำคอออกมาด้วยความเสียวซ่าน เมื่อคนตัวสูงเลื่อนไล้มือหนาของตัวเอง ลงไปสัมผัสกับกลีบกุหลาบที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กางเกงนอนของฉัน ในขณะที่ปากของเขาก็ยังคงดูดเม้ม ช่วงชิมรสหวานจากปากของฉันอย่างไม่ลดละ“อื้อ!!~” ฉันเริ่มจะทนกับความเสียวซ่านที่ถูกกระตุ้นทั้งช่วงบน และช่วงล่างไม่ไหวแล้ว จนต้องส่งเสียงร้องประท้วงผ่านลำคอออกมาเพื่อให้เขาปล่อยส่วนใดส่วนหนึ่งซะที ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวจนขาดใจตายไปซะก่อน“อึก!
หลังจากที่คุณคิมหันต์บุกเข้ามาหาถึงห้อง แล้วขอนอนค้างด้วย ตอนนี้เขา…กำลังนอนอยู่บนเตียงข้างๆฉันถึงแม้ว่าคุณคิมหันต์จะนอนก่ายหน้าผากอยูข้างฉัน แต่เขากลับไม่เอ่ยปากคุยอะไรกับฉันต่อเลยแม้แต่คำเดียวนี่เขา…กำลังไม่พอใจฉันอยูแน่ๆเลย“คุณคิมหันต์ หลับรึยังคะ?” ฉันรู้ว่าเขายังไม่หลับแน่ๆ“หลับแล้ว” หลับแล้วเขาจะตอบฉันได้ยังไงล่ะ?“คุณ…โกรธเกวเหรอคะ?”“…” สิ้นสุดคำถามของฉัน ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากคนข้างๆอีกเลย“เกวขอโทษนะคะ ที่ทิ้งคุณไว้ที่ร้านอาหารคนเดียว”“…” คราวนี้ก็ยังเงียบเหมือนเดิม“เกวแค่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความจริงน่ะค่ะ”“เกวลิน…”“คะ?”“รู้ใช่มั้ย…ว่าฉันรักเธอ?” คุณคิมหันต์ที่เอาแต่หลับตาในตอนแรก ตอนนี้เขากลับลืมตาหันมามองฉันที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยแววตาที่อ่อนโยน“…รู้ค่ะ” ฉันจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา พลางเอ่ยคำตอบที่รู้ดีอยู่แก่ใจออกไปอย่างลึกซึ้ง“แล้วเธอล่ะ?” คำถามที่คาดไม่ถึงจากคนตัวสูงตรงหน้า ทำฉันอึ้งจนอ้าปากค้าง ทำไมเขาถึงถามแบบนี้ออกมาได้“รักสิคะ เกวรักคุณมากๆค่ะ”“ถ้างั้น…อย่าทิ้งฉันไปอีกได้มั้ยเกว?” คำถามที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือของคนตรงหน้า บวกกับ