ณ มหาลัย
ตอนนี้ฉันเดินทางมาถึงมหาลัยแล้วล่ะ แต่…ตลอดเวลาที่นั่งรถมาที่นี่ ในหัวฉันเอาแต่คิดเรื่องที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ไม่หยุดเลย ทั้งยังรู้สึกผิดอยู่ในใจมาตลอดทางเลยด้วย แต่…ฉันคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ทำไมฉันจะต้องมารู้สึกผิดขนาดนี้ด้วยนะ? ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำมันแตกซะหน่อยนี่ อีกอย่างสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นทำกลับมากับฉัน มันก็ถือว่าสาสมกันแล้วนี่ น่าโกรธกว่าด้วยซ้ำ ฉันไม่จำเป็นต้องมารู้สึกผิดกับเขาเลยสักนิด “เกว!!” เสียงเรียกของทิวเขาดังขึ้นมาจากตรงหน้าฉัน “ว่าไง…” หมับ!! ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ทักทายทิวเขากลับไปเลย คนตรงหน้าก็ตรงเข้ามาจับมือฉันขึ้นไปดูด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจ “นี่มือเกวไปโดนอะไรมาอ่ะ?” ฟึ่บ!! ท่าทีตื่นตระหนกที่มากเกินไปของทิวเขาทำฉันลำบากใจ จนต้องรีบดึงมือตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว “ไม่มีอะไรหรอก เกวแค่ล้มนิดหน่อยอ่ะ” “แล้วทำไมต้องปิดหน้าปิดตาขนาดนี้ด้วย?” “เกวแค่…ใส่มาบังแดดแค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอกทิว” “แน่ใจนะ? แล้วนี่ไปหาหมอรึยัง? ถ้าติดเชื้อขึ้นมาจะ…” “ทิวเขา! …เกวไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ” ทิวเขามักจะมีท่าทีแบบนี้กับฉันเสมอ เวลาที่ฉันบาดเจ็บหรือเป็นอะไรนิดๆหน่อย ก็จะชอบเป็นห่วงจนเกินเรื่อง ซึ่งมัน…ทำให้ฉันอึดอัดใจอยู่ตลอด “เฮ้อออ…เรารีบไปหาอาจารย์กันเถอะ” “อื้ม!” ห้องอาจารย์ที่ปรึกษา หลังจากที่พากันเดินมาสักพัก ตอนนี้เราสองคนก็เข้ามาหาอาจารย์ที่ปรึกษาถึงในห้องกันแล้ว “สวัสดีคะอาจารย์” “อาจารย์สวัสดีครับ” เราสองคนยกมือไหว้อาจารย์ที่ปรึกษาทันทีที่เข้ามาถึงห้องแล้ว “อ้าวทิวเขา เกวลิน มากันแล้วเหรอ?” “เราสองคนเอาเอกสารการฝึกงานมาส่งครับ” “อ่อ ไหนเอามาดูหน่อยสิ” ฟึ่บ!! ฉันกับทิวเขายื่นเอกสารที่เตรียมเอาไว้ให้อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์แกก้มลงไปดูสักพักก่อนจะหันหน้าขึ้นมาคุยกับเราสองคน “เธอสองคนยื่นขอฝึกงานที่บริษัทเดียวกันเหรอ?” “อะไรนะคะ?” ฉันขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่อาจารย์พูด เป็นไปไม่ได้ที่ฉันกับทิวเขาจะส่งฝึกงานที่บริษัทเดียวกัน ทิวเขาน่ะเป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทอสังหาฯชื่อดัง บริษัทที่เขาควรจะส่งยื่นไปให้ก็ต้องเป็นบริษัทของพ่อเขาแน่ๆ ส่วนฉันน่ะ…ฉันยื่นขอฝึกงานกับบริษัทเล็กๆเท่านั้นแหละ บริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลอัศวนันทร์และไม่เกี่ยวข้องกับทิวเขา “ใช่ครับ!” แต่แล้วคนที่ยืนข้างๆกลับตอบแทรกออกไปทันควัน ขวับ!! ฉันถึงกับต้องหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างไม่พอใจ ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ฉันที่ยื่นฝึกงานที่เดียวกับทิวเขา แต่เป็นทิวเขาต่างหากที่มายื่นฝึกงานที่เดียวกับฉัน “แต่บริษัทที่เธอสองคนจะส่งยื่นไป มันไม่ได้อยู่ในลิสต์ที่ทางคณะเตรียมไว้เลยนะ” “คือ…บริษัทนี้เป็นบริษัทที่มีการทำงานตรงกับที่หนูต้องการมากกว่าน่ะค่ะ หนูเลยอยากจะลองไปฝึกงานที่นี่ดู แต่…ของทิวเขา หนูว่าเขาน่าจะเขียนชื่อบริษัทผิดแน่ๆ ใช่มั้ยทิว?” “ถูกแล้วครับ ผมเองก็ตั้งใจจะฝึกงานที่นั่นเหมือนกัน” เฮ้อออ! นี่เขาคิดจะทำอะไรของเขาอยู่เนี่ย? “ทิวเขาบริษัทพ่อเธอก็อยู่ในลิสต์ที่คณะเตรียมไว้ให้นี่ทำไมถึงไม่ยื่นฝึกที่นั่นล่ะ? ส่วนเธอเกวลิน…เธอเองก็เป็นเด็กทุนของอัศวนันทร์กรุ๊ป การยื่นขอฝึกงานกับบริษัทในเครืออัศวนันทร์ มันจะส่งผลดีต่อเธอในอนาคตมากกว่านะ เฮ้ออ…อาจารย์เข้าใจนะว่าเธอสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่อาจารย์อยากให้พวกเธอนึกถึงอนาคตให้มากกว่านี้ ผลงานของพวกเธอสองคนมันดีมากพอที่จะยื่นฝึกงานในบริษัทใหญ่ๆได้” ฟึ่บ!! อาจารย์ยื่นเอกสารกลับมาให้เราสองคน “อาจารย์จะให้เวลาพวกเธอไปคิดดูอีกทีนะ ตัดสินใจให้รอบคอบกว่านี้ แล้วค่อยเอาเอกสารมาส่งให้อาจารย์ใหม่อีกที โอเคมั้ย?” อาจารย์พูดออกมาเสียงแข็ง “โอเคค่ะ” “ได้ครับ” ฉันตอบตกลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกันกับทิวเขาที่ตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองทำอะไรลงไป หลังจากที่ออกมาจากห้องอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ฉันก็รีบลากทิวเขามาคุยกันที่ระเบียงบันไดข้างนอกทันที ฉันต้องเคลียร์กับเขาให้รู้เรื่อง “ทิวเขา ทำแบบนี้ทำไม?” “ก็…ทิวอยากฝึกงานที่เดียวกับเกว” “เฮ้อออ…ทิวเป็นถึงลูกเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่เลยนะ ที่ที่ทิวควรจะไปฝึกงานควรจะเป็นบริษัทของพ่อทิวมากกว่าสิ จะมายื่นฝึกงานที่บริษัทเล็กๆกับเกวไปทำไม?!” ฉัน…ไม่เข้าใจในกับสิ่งที่ทิวเขาทำเลยจริงๆ “งั้นเกว…ก็มาฝึกงานที่บริษัททิวด้วยกันสิ” “อะไรนะ?” “เกวไม่อยากไปฝึกงานที่อัศวนันทร์กรุ๊ปนี่ ถ้างั้นก็มาฝึกงานที่…” “ทิวเขา! เราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ?” “ทิวแค่อยากช่วยเกว! อย่างที่อาจารย์บอก…ผลงานของเกวมันดีเกินกว่าที่จะไปยื่นฝึกงานที่บริษัทเล็กๆแบบนั้น การที่เกวยื่นฝึกงานที่บริษัทใหญ่ๆ มันจะเป็นผลดีกับเกวในอนาคตมากกว่านะ” “เพราะงั้นทิวก็เลยยื่นฝึกงานที่เดียวกับเกวงั้นเหรอ?” “อะไรนะ?” “สำหรับทิวต่อให้ยื่นฝึกงานที่บริษัทไหน มันก็คงไม่มีผลต่ออนาคตของทิวหรอก เพราะถึงยังไงจบไปทิวก็คงต้องกลับไปทำงานที่บริษัทของพ่อทิวอยู่แล้ว” “เกวคือ…” “ทิวก็รู้ใช่มั้ย? ว่าทำไมเกวถึงไม่อยากไปฝึกงานกับเครืออัศวนันทร์กรุ๊ป เพราะเกวไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนตระกูลนี้ไปตลอดชีวิตไง เกวอยากหลุดพ้นจากคนในตระกูลนี้มาตลอด แต่ถ้าเกวตอบตกลงรับความช่วยเหลือจากทิว มันก็ไม่ต่างอะไรจากการเปลี่ยนเจ้าหนี้คนใหม่ แต่เกวก็ยังมีหนี้ต่อไปไม่หมดสักที” “ทิวรู้เกว! ทิวไม่ได้ช่วยเพื่อให้เกวคิดแบบนั้นซะหน่อย” “เกวอยากอยู่ได้ด้วยตัวเองทิว ต่อให้ต้องลำบากแค่ไหน เกวก็อยากอยู่ได้ด้วยตัวเองคนเดียว เกวไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากใครอีกแล้ว” “เฮ้อออ! เข้าใจแล้วเกว ทิวผิดเอง ทิวขอโทษนะ” คนตรงหน้าพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูรู้สึกผิด “เฮ้อออ ช่างมันเถอะ แต่ทิวอย่าลืมกลับแก้เอกสารใหม่ซะ เกวขอตัวก่อนนะ” ขวับ!! ฉันหันหลังกลับไปเพื่อเตรียมจะเดินออกไปจากตรงนี้ให้ไว ”เดี๋ยวเกว!” หมับ!! แต่ก็ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขาเดินออกไปเลยสักก้าว กลับต้องหยุดชะงักขึ้นมาเพราะโดนทิวเขาจับมือรั้งเอาไว้ซะก่อน “เกวรู้ใช่มั้ยว่าที่ทิวทำไปทั้งหมดนี้เพราะอะไร?” สายตาของคนตัวสูงตรงหน้าที่ส่งมาทางฉันกำลังสั่นไหว ราวกับเหมือนจะร้องไห้ออกมาอย่างนั้นแหละ ฟึ่บ!! ฉันจับมือของทิวเขาออกไปจากข้อมือของฉันทันที ก่อนที่อะไรๆมันจะแย่ไปมากกว่านี้ “เฮ้ออ …เกวยังอยากเป็นเพื่อนทิวอยู่นะ!” ฉันรู้ๆ ฉันรู้มาตลอดว่าทิวเขารู้สึกยังไงกับฉัน? เขาแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาชัดเจนอยู่ตลอด ถ้าไม่รู้ฉันก็คงจะโง่มากเลยล่ะ แต่…มันเป็นไปไม่ได้! ฉันไม่ได้ชอบทิวเขาแบบนั้น ทิวเขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน ฉันไม่มีทางคิดกับเขาเป็นอย่างอื่นไปได้แน่ๆ หรือต่อให้เราสองคนจะชอบกันจริงๆ เรื่องของเราสองคนก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ไม่มีทาง[คิมหันต์]“คุณคิมหันต์!! มาดูนี่เร็ววว~” เสียงของคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ริมทะเลหันมาร้องเรียกผมพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส“หึๆ” ผมที่ที่กำลังเดินอยู่ก็รีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาเกวลินโดยทันที พร้อมกับหิ้วไก่ทอดที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ติดมือมาด้วย ตามคำสั่งของคนตัวเล็ก“คุณคิมหันต์ พระอาทิตย์ตกสวยมากเลยว่ามั้ยคะ?” พอเดินเข้ามาถึงตัวเกวลินแล้ว เธอก็ยังคงยกยิ้มสดใสออกมาด้วยความสดใส แถมยังกระโดดไปมาดุกดิกด้วยความตื่นเต้นกับวิวพระอาทิตย์ตกริมทะเลตรงหน้าอีกด้วยผมที่ได้เห็นท่าทีของเธอที่น่ารักของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“ไหนว่าจะกลับห้องไง ทำไมถึงพามาที่นี่ล่ะ?” หลังจากออกมาจากห้างก่อนหน้านี้ ผมตั้งใจว่าจะพาเกวลินกลับไปพักที่ห้องของเธอทันที แต่เธอก็ดื้อดึงอ้อนให้ผมพามาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่จนได้ แล้วท่าทีตอนที่เกวลินอ้อนผมมันก็ดันน่ารักซะจนผมปฏิเสธเธอไม่ลงเลยจริงๆ“จะกลับเลยได้ยังไงล่ะคะ วันนี้อุตส่าห์ได้พักทั้งที ต้องออกมาเที่ยวซะหน่อยสิ”หมับ!! เกวลินพูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ผม ขณะเดียวกันเธอก็ยื่นมือตัวเองมาจับมือที่ว่างอยู่ของผมเอาไว้ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมใจสั
[เกวลิน]“แน่ใจนะว่าไม่ต้องไปโรงพยาบาล” คุณคิมหันต์ที่ขับรถอยูข้างๆเอ่ยถามคำถามนีเป็นรอบที่สิบได้แล้วมั้ง? หลังจากที่ฉันดีขึ้นแล้ว คุณริมหันต์ก็จัดการเรื่องลางานกับผู้จัดการให้ฉัน แถมยังอาสาพาฉันกลับห้องอีกด้วย และตั้งแต่ที่ออกมามาจากโรงแรม เขาก็เอาแต่ถามย้ำกับฉันอยู่ได้ว่าไม่เป็นไรแน่นะ? ไม่ต้องโรงพยาบาลแน่นะ? ให้ฉันพาไปโรงพยาบาลมั้ย? ถามย้ำรอบที่สิบได้แล้วมั้งน่ะ“เกวไม่เป็นไรแล้วจริงๆค่า แข็งแรงดี สบายใจหายห่วงได้ค่ะ”“ถ้างั้นกลับห้องไปก็พักผ่อนให้เต็มที่่นะ”“เอ่อ คือว่า…ก่อนกลับห้อง เกวมีที่ที่ต้องไปก่อนน่ะค่ะ” จริงๆวันนี้ฉันต้องไปทำธุระสำคัญอย่างหนึ่ง ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะไปคนเดียวด้วยซ้ำ แต่คุณคิมหันต์ก็ดื้อดึงจะไปส่งฉันให้ได้ ฉันปฏิเสธเขาไม่ได้เลยจริงๆ เลยต้องยอมให้เขามาส่งให้จนได้“ไว้รอหายดีก่อนแล้วค่อยไปวันหลัง วันนี้เธอต้องกลับไปพักก่อน”“ไม่ได้ค่ะ เกวต้องไปทำธุระสำคัญมากๆ ต้องไปวันนี้เท่านั้นค่ะ”“ฉันไม่ให้ไป” คนตัวสูงข้างๆเอ่ยออกมาอย่างเด็ดขาด“คุณคิมหันต์! นี่คุณจะเห็นแก่ตัวเกินไปแล้วนะ ฉันไปแค่แปบเดียว คุณแค่ไปส่งฉันแล้วนั่งรออยู่บนรถก็ได้”“ธุระอะไรจะสำคัญไป
[คิมหันต์]พรึ่บ!! ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะต้องหรี่ตาลงเมื่อแสงที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสอดส่องเข้ามากระทบกับดวงตา และเมื่อปรับสายตาให้คงที่ได้แล้ว ผมถึงได้รู้ว่าตัวเองยังคงนอนอยู่ใขอบนเตียงในห้องพักของเกวลินเหมือนเดิมเพียงแต่ตอนนี้ที่ข้างๆที่เคยมีเกวลินนอนอยู่ด้วย กลับเหลือไว้เพียงแค่รอยยับที่ว่างเปล่าเท่านั้นเกวลิน…ยัยนั่นทิ้งผมไปอีกแล้วเหรอเนี่ย?ฟุ่บ!! ผมลุกขึ้นมาจากเตียงนอน ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา แต่เมื่อก้าวเข้าไปในห้องน้ำแล้ว บางสิ่งบางอย่างอยู่ในนั้นกลับทำให้ผมแปลกใจขึ้นมาบนกระจกในห้องน้ำมีกระดาษอยู่สามแผ่นแปะเรียงกันไว้อย่างเป็นแถวเลยล่ะฟึ่บ! ผมเอื้อมมือไปหยิบกระดาษโน้ตแผ่นที่แปะอยู่บนกระจกห้องน้ำมาอ่าน‘เกวต้องออกไปทำงานแต่เช้าเมื่อคืนคุณดูเหนื่อยมากเกวเลยไม่อยากปลุก ขอโทษที่ปล่อยให้อยู่คนเดียวนะคะ’“หึ! ใครกันแน่ที่เหนื่อย” ผมยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจทันทีที่ได้อ่านข้อความที่เกวลินทิ้งไว้ให้ฟึ่บ!! จากนี้ก็หยิบกระดาษโน้ตใบที่สองขึ้นมาอ่านต่อ‘คุณอาบน้้ำแปรงฟันก่อนได้นะคะ เกวแขวนเสื้อผ้าที่คุณพอจะใส่ได้ไว้ให้ที่ตู้แล้ว’ผมอดไม่ไ
วันต่อมาณ โรงแรมพาวิลงเลียน“อ้าวเกว” เสียงของรินณ์เอ่ยทักขึ้นทันทีที่รินณ์เดินเข้ามาในห้องพักพนักงาน ซึ่งมีฉันที่นั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ววันนี้ฉันตั้งใจออกจากห้องมาแต่เช้า เช้าถึงขนาดที่คุณคิมหันต์ยังไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำ “ไงรินณ์”“ทำไมมาเช้าจังอ่ะ วันนี้เกวเข้างานกะบ่ายไม่ใช่เหรอ?”“อ่อ เราแลกเวรกับพี่แอนอ่ะ พอดี…ตอนเย็นเรามีธุระต้องไปทำธน่ะ” ใช่แล้วล่ะ! จริงๆ วันนี้ฉันเข้างานกะบ่าย แต่ช่วงเย็นวันนี้ฉันมีที่ที่ต้องไปน่ะ เลยแลกเวรกับพี่แอนไว้“ไปไหนอ่ะ? หรือว่า…ไปเดทเหรอ?” รินณ์ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางเดินเข้ามากระซิบใกล้ฉัน อะไรกัน? ยิ้มแบบนี้หมายความว่าไงเนี่ย?“ดะ เดทอะไรกันเล่า? ไม่ใช่ซะหน่อย” “เอ้า! ไม่ใช่หรอกเหรอ แต่เมื่อคืนเราเห็นน้า ผู้หญิงชุดฟ้าที่เดินควงแขนกับคุณคิมหันต์” รินณ์เข้ามานั่งใกล้ๆ ก่อนจะเขยิบมากระซิบข้างๆหู“นี่รินณ์เห็นด้วยเหรอ?0_0!” ฉันถึงกับเบิกตาโพลงออกมาด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเมื่อคืนจะมีคนเห็นฉันกันคุณคิมหันต์ด้วย นี่ขนาดแอบย่องออกไปตอนไม่มีคนแล้วน่ะเนี่ย ยังมีคนเห็นอีกเหรอเนี่ย? “อื้ม เมื่อคืนเราอยู่ทำโอทีน่ะ”“นอกจากรินณ์แล้ว…”“ไม่ต้องห่วงหรอก เมื
“อื้มมม~” เสียงครวญครางของเราสองคนดังลั่นไปทั่วทั้งห้องพักของฉัน เพราะรสจูบที่ร้อนแรงเกินกว่าจะต้านทานของกันและกัน เรียวลิ้นที่สอดประสานกันไปมาของเราสองคน มันเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน แต่ก็แฝงไปด้วยความปรารถนาที่เหลือล้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าริมฝีปากของคนตัวสูงยิ่งหอมหวานน่าช่วงชิมมากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆหมับ!! ฉันเอื้อมมือออกไปค้วาท้ายทอยของคนตัวสูงเหนือร่างลงมากอดไว้แน่น เพื่อให้เราสองคนแลกเปลี่ยนรสจูบจากกันและกันได้แนบแน่นกันมากยิ่งขึ้น“อื้อออ~” ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ต้องการสัมผัสจากคุณคิมหันต์ เขาเองก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับฉัน ฉันส่งเสียงครวญครางผ่านลำคอออกมาด้วยความเสียวซ่าน เมื่อคนตัวสูงเลื่อนไล้มือหนาของตัวเอง ลงไปสัมผัสกับกลีบกุหลาบที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กางเกงนอนของฉัน ในขณะที่ปากของเขาก็ยังคงดูดเม้ม ช่วงชิมรสหวานจากปากของฉันอย่างไม่ลดละ“อื้อ!!~” ฉันเริ่มจะทนกับความเสียวซ่านที่ถูกกระตุ้นทั้งช่วงบน และช่วงล่างไม่ไหวแล้ว จนต้องส่งเสียงร้องประท้วงผ่านลำคอออกมาเพื่อให้เขาปล่อยส่วนใดส่วนหนึ่งซะที ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวจนขาดใจตายไปซะก่อน“อึก!
หลังจากที่คุณคิมหันต์บุกเข้ามาหาถึงห้อง แล้วขอนอนค้างด้วย ตอนนี้เขา…กำลังนอนอยู่บนเตียงข้างๆฉันถึงแม้ว่าคุณคิมหันต์จะนอนก่ายหน้าผากอยูข้างฉัน แต่เขากลับไม่เอ่ยปากคุยอะไรกับฉันต่อเลยแม้แต่คำเดียวนี่เขา…กำลังไม่พอใจฉันอยูแน่ๆเลย“คุณคิมหันต์ หลับรึยังคะ?” ฉันรู้ว่าเขายังไม่หลับแน่ๆ“หลับแล้ว” หลับแล้วเขาจะตอบฉันได้ยังไงล่ะ?“คุณ…โกรธเกวเหรอคะ?”“…” สิ้นสุดคำถามของฉัน ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากคนข้างๆอีกเลย“เกวขอโทษนะคะ ที่ทิ้งคุณไว้ที่ร้านอาหารคนเดียว”“…” คราวนี้ก็ยังเงียบเหมือนเดิม“เกวแค่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความจริงน่ะค่ะ”“เกวลิน…”“คะ?”“รู้ใช่มั้ย…ว่าฉันรักเธอ?” คุณคิมหันต์ที่เอาแต่หลับตาในตอนแรก ตอนนี้เขากลับลืมตาหันมามองฉันที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยแววตาที่อ่อนโยน“…รู้ค่ะ” ฉันจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา พลางเอ่ยคำตอบที่รู้ดีอยู่แก่ใจออกไปอย่างลึกซึ้ง“แล้วเธอล่ะ?” คำถามที่คาดไม่ถึงจากคนตัวสูงตรงหน้า ทำฉันอึ้งจนอ้าปากค้าง ทำไมเขาถึงถามแบบนี้ออกมาได้“รักสิคะ เกวรักคุณมากๆค่ะ”“ถ้างั้น…อย่าทิ้งฉันไปอีกได้มั้ยเกว?” คำถามที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือของคนตรงหน้า บวกกับ