ณ มหาลัย
ตอนนี้ฉันเดินทางมาถึงมหาลัยแล้วล่ะ แต่…ตลอดเวลาที่นั่งรถมาที่นี่ ในหัวฉันเอาแต่คิดเรื่องที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ไม่หยุดเลย ทั้งยังรู้สึกผิดอยู่ในใจมาตลอดทางเลยด้วย แต่…ฉันคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ทำไมฉันจะต้องมารู้สึกผิดขนาดนี้ด้วยนะ? ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำมันแตกซะหน่อยนี่ อีกอย่างสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นทำกลับมากับฉัน มันก็ถือว่าสาสมกันแล้วนี่ น่าโกรธกว่าด้วยซ้ำ ฉันไม่จำเป็นต้องมารู้สึกผิดกับเขาเลยสักนิด “เกว!!” เสียงเรียกของทิวเขาดังขึ้นมาจากตรงหน้าฉัน “ว่าไง…” หมับ!! ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ทักทายทิวเขากลับไปเลย คนตรงหน้าก็ตรงเข้ามาจับมือฉันขึ้นไปดูด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจ “นี่มือเกวไปโดนอะไรมาอ่ะ?” ฟึ่บ!! ท่าทีตื่นตระหนกที่มากเกินไปของทิวเขาทำฉันลำบากใจ จนต้องรีบดึงมือตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว “ไม่มีอะไรหรอก เกวแค่ล้มนิดหน่อยอ่ะ” “แล้วทำไมต้องปิดหน้าปิดตาขนาดนี้ด้วย?” “เกวแค่…ใส่มาบังแดดแค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอกทิว” “แน่ใจนะ? แล้วนี่ไปหาหมอรึยัง? ถ้าติดเชื้อขึ้นมาจะ…” “ทิวเขา! …เกวไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ” ทิวเขามักจะมีท่าทีแบบนี้กับฉันเสมอ เวลาที่ฉันบาดเจ็บหรือเป็นอะไรนิดๆหน่อย ก็จะชอบเป็นห่วงจนเกินเรื่อง ซึ่งมัน…ทำให้ฉันอึดอัดใจอยู่ตลอด “เฮ้อออ…เรารีบไปหาอาจารย์กันเถอะ” “อื้ม!” ห้องอาจารย์ที่ปรึกษา หลังจากที่พากันเดินมาสักพัก ตอนนี้เราสองคนก็เข้ามาหาอาจารย์ที่ปรึกษาถึงในห้องกันแล้ว “สวัสดีคะอาจารย์” “อาจารย์สวัสดีครับ” เราสองคนยกมือไหว้อาจารย์ที่ปรึกษาทันทีที่เข้ามาถึงห้องแล้ว “อ้าวทิวเขา เกวลิน มากันแล้วเหรอ?” “เราสองคนเอาเอกสารการฝึกงานมาส่งครับ” “อ่อ ไหนเอามาดูหน่อยสิ” ฟึ่บ!! ฉันกับทิวเขายื่นเอกสารที่เตรียมเอาไว้ให้อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์แกก้มลงไปดูสักพักก่อนจะหันหน้าขึ้นมาคุยกับเราสองคน “เธอสองคนยื่นขอฝึกงานที่บริษัทเดียวกันเหรอ?” “อะไรนะคะ?” ฉันขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่อาจารย์พูด เป็นไปไม่ได้ที่ฉันกับทิวเขาจะส่งฝึกงานที่บริษัทเดียวกัน ทิวเขาน่ะเป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทอสังหาฯชื่อดัง บริษัทที่เขาควรจะส่งยื่นไปให้ก็ต้องเป็นบริษัทของพ่อเขาแน่ๆ ส่วนฉันน่ะ…ฉันยื่นขอฝึกงานกับบริษัทเล็กๆเท่านั้นแหละ บริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลอัศวนันทร์และไม่เกี่ยวข้องกับทิวเขา “ใช่ครับ!” แต่แล้วคนที่ยืนข้างๆกลับตอบแทรกออกไปทันควัน ขวับ!! ฉันถึงกับต้องหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างไม่พอใจ ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ฉันที่ยื่นฝึกงานที่เดียวกับทิวเขา แต่เป็นทิวเขาต่างหากที่มายื่นฝึกงานที่เดียวกับฉัน “แต่บริษัทที่เธอสองคนจะส่งยื่นไป มันไม่ได้อยู่ในลิสต์ที่ทางคณะเตรียมไว้เลยนะ” “คือ…บริษัทนี้เป็นบริษัทที่มีการทำงานตรงกับที่หนูต้องการมากกว่าน่ะค่ะ หนูเลยอยากจะลองไปฝึกงานที่นี่ดู แต่…ของทิวเขา หนูว่าเขาน่าจะเขียนชื่อบริษัทผิดแน่ๆ ใช่มั้ยทิว?” “ถูกแล้วครับ ผมเองก็ตั้งใจจะฝึกงานที่นั่นเหมือนกัน” เฮ้อออ! นี่เขาคิดจะทำอะไรของเขาอยู่เนี่ย? “ทิวเขาบริษัทพ่อเธอก็อยู่ในลิสต์ที่คณะเตรียมไว้ให้นี่ทำไมถึงไม่ยื่นฝึกที่นั่นล่ะ? ส่วนเธอเกวลิน…เธอเองก็เป็นเด็กทุนของอัศวนันทร์กรุ๊ป การยื่นขอฝึกงานกับบริษัทในเครืออัศวนันทร์ มันจะส่งผลดีต่อเธอในอนาคตมากกว่านะ เฮ้ออ…อาจารย์เข้าใจนะว่าเธอสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่อาจารย์อยากให้พวกเธอนึกถึงอนาคตให้มากกว่านี้ ผลงานของพวกเธอสองคนมันดีมากพอที่จะยื่นฝึกงานในบริษัทใหญ่ๆได้” ฟึ่บ!! อาจารย์ยื่นเอกสารกลับมาให้เราสองคน “อาจารย์จะให้เวลาพวกเธอไปคิดดูอีกทีนะ ตัดสินใจให้รอบคอบกว่านี้ แล้วค่อยเอาเอกสารมาส่งให้อาจารย์ใหม่อีกที โอเคมั้ย?” อาจารย์พูดออกมาเสียงแข็ง “โอเคค่ะ” “ได้ครับ” ฉันตอบตกลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกันกับทิวเขาที่ตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองทำอะไรลงไป หลังจากที่ออกมาจากห้องอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ฉันก็รีบลากทิวเขามาคุยกันที่ระเบียงบันไดข้างนอกทันที ฉันต้องเคลียร์กับเขาให้รู้เรื่อง “ทิวเขา ทำแบบนี้ทำไม?” “ก็…ทิวอยากฝึกงานที่เดียวกับเกว” “เฮ้อออ…ทิวเป็นถึงลูกเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่เลยนะ ที่ที่ทิวควรจะไปฝึกงานควรจะเป็นบริษัทของพ่อทิวมากกว่าสิ จะมายื่นฝึกงานที่บริษัทเล็กๆกับเกวไปทำไม?!” ฉัน…ไม่เข้าใจในกับสิ่งที่ทิวเขาทำเลยจริงๆ “งั้นเกว…ก็มาฝึกงานที่บริษัททิวด้วยกันสิ” “อะไรนะ?” “เกวไม่อยากไปฝึกงานที่อัศวนันทร์กรุ๊ปนี่ ถ้างั้นก็มาฝึกงานที่…” “ทิวเขา! เราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ?” “ทิวแค่อยากช่วยเกว! อย่างที่อาจารย์บอก…ผลงานของเกวมันดีเกินกว่าที่จะไปยื่นฝึกงานที่บริษัทเล็กๆแบบนั้น การที่เกวยื่นฝึกงานที่บริษัทใหญ่ๆ มันจะเป็นผลดีกับเกวในอนาคตมากกว่านะ” “เพราะงั้นทิวก็เลยยื่นฝึกงานที่เดียวกับเกวงั้นเหรอ?” “อะไรนะ?” “สำหรับทิวต่อให้ยื่นฝึกงานที่บริษัทไหน มันก็คงไม่มีผลต่ออนาคตของทิวหรอก เพราะถึงยังไงจบไปทิวก็คงต้องกลับไปทำงานที่บริษัทของพ่อทิวอยู่แล้ว” “เกวคือ…” “ทิวก็รู้ใช่มั้ย? ว่าทำไมเกวถึงไม่อยากไปฝึกงานกับเครืออัศวนันทร์กรุ๊ป เพราะเกวไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนตระกูลนี้ไปตลอดชีวิตไง เกวอยากหลุดพ้นจากคนในตระกูลนี้มาตลอด แต่ถ้าเกวตอบตกลงรับความช่วยเหลือจากทิว มันก็ไม่ต่างอะไรจากการเปลี่ยนเจ้าหนี้คนใหม่ แต่เกวก็ยังมีหนี้ต่อไปไม่หมดสักที” “ทิวรู้เกว! ทิวไม่ได้ช่วยเพื่อให้เกวคิดแบบนั้นซะหน่อย” “เกวอยากอยู่ได้ด้วยตัวเองทิว ต่อให้ต้องลำบากแค่ไหน เกวก็อยากอยู่ได้ด้วยตัวเองคนเดียว เกวไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากใครอีกแล้ว” “เฮ้อออ! เข้าใจแล้วเกว ทิวผิดเอง ทิวขอโทษนะ” คนตรงหน้าพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูรู้สึกผิด “เฮ้อออ ช่างมันเถอะ แต่ทิวอย่าลืมกลับแก้เอกสารใหม่ซะ เกวขอตัวก่อนนะ” ขวับ!! ฉันหันหลังกลับไปเพื่อเตรียมจะเดินออกไปจากตรงนี้ให้ไว ”เดี๋ยวเกว!” หมับ!! แต่ก็ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขาเดินออกไปเลยสักก้าว กลับต้องหยุดชะงักขึ้นมาเพราะโดนทิวเขาจับมือรั้งเอาไว้ซะก่อน “เกวรู้ใช่มั้ยว่าที่ทิวทำไปทั้งหมดนี้เพราะอะไร?” สายตาของคนตัวสูงตรงหน้าที่ส่งมาทางฉันกำลังสั่นไหว ราวกับเหมือนจะร้องไห้ออกมาอย่างนั้นแหละ ฟึ่บ!! ฉันจับมือของทิวเขาออกไปจากข้อมือของฉันทันที ก่อนที่อะไรๆมันจะแย่ไปมากกว่านี้ “เฮ้ออ …เกวยังอยากเป็นเพื่อนทิวอยู่นะ!” ฉันรู้ๆ ฉันรู้มาตลอดว่าทิวเขารู้สึกยังไงกับฉัน? เขาแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาชัดเจนอยู่ตลอด ถ้าไม่รู้ฉันก็คงจะโง่มากเลยล่ะ แต่…มันเป็นไปไม่ได้! ฉันไม่ได้ชอบทิวเขาแบบนั้น ทิวเขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน ฉันไม่มีทางคิดกับเขาเป็นอย่างอื่นไปได้แน่ๆ หรือต่อให้เราสองคนจะชอบกันจริงๆ เรื่องของเราสองคนก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ไม่มีทาง“อ้ะ!” ฉันร้องลั่นขึ้นมาเมื่อคนตัวสูงกระแทกเอวสวนจนรู้สึกจุกไปหมด“แต่ฉันชอบสุดๆไปเลยล่ะ~” เสียงกระซิบบองชอบที่แหบพร่า บวกกับแววตาหื่นกระหายของคนตรงหน้าทำให้ความเขินอายที่มีในตอนแรก เลแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่มที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก“จุ๊บ!! อื้ม~” ฉันก้มลงไปประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากหนา จู่ๆฉันก็เกิดความคิดประหลาดๆขึ้นมา คราวนี้ฉันอยากจะลองเป็นคนเดินเกมส์ดูบ้าง ฉันอยากจะรู้…ว่าฉันสามารถทำให้คนตรงหน้าเสียสติได้มาก เท่ากับที่เขา…ทำให้ฉันเสียสติจวนจะบ้าตายอย่างในตอนนี้รึเปล่านะ?ฉันส่งเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปเกี่ยวตระหวัดดูดเม้มกับเรียวลิ้นของเขาอย่างร้อนแรง เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน และช่วงชิมรสหวานจากปากของเขาอย่างหื่นกระหาย เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน“อืมมม~” เสียงครวญครางที่ดังออกมาจากในลำคอของคนใต้ร่าง มันทำให้ฉัพอใจมากเลยล่ะ แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก ฉันอยากเห็นเขา…พอใจสัมผัสของฉันมากกว่านี้“อ่าส์ เกว~” ฉันเปลี่ยนตำแหน่จาริมฝีปากของคนตัวสูง มาซุกไซร้ซอกคอแกร่งของเขาแทน ฉันใช้เรียวลิ้นของตัวเองไล้เลียและดูดเม้มไปตามผิวเนียนของเขาอย่างหื่นกระหาย ให้เหมือนกับที่เขาทำกับฉัน
วันต่อมาเมื่อวานหลังจากกลับมาจากห้องของคุณคิมหันต์แล้ว ฉันก็นั่งทำโอทียาวมาจนถึงเช้าเลยล่ะ ยังไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนเลย ง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ยกริ๊งงง!! ระหว่างที่กำลังนั่งเฝ้าล็อบบี้รอเวลาออกกะอยู่นั้น เสียงมือถือที่วางอยู่หน้าล็อบบี้ก็ดังขึ้นมา รินณ์ที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆเลยทำหน้าที่รับสายแทน“สวัสดีค่ะ”“อาหารเช้าสองที่เหรอคะ?”“ได้ค่ะ เดี๋ยวทางเราจะเตรียมไว้ให้นะคะ”“ให้ใครไปเสริฟ์นะคะ?”“พนักงานที่ชื่อ…เกวลิน”“ได้ค่ะ อีกสามสิบนาทีเราจะเอาอาหารไปให้นะคะ”ทันทีที่วางสายฉันกับรินณ์หันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย“มีอะไรเหรอรินณ์?” “ก็แฟน…เอ่อ…คุณคิมหันต์อ่ะ เขาขอให้เกวเอาอาหารเช้าเสริฟ์ให้น่ะสิ” รินณ์มองซ้ายมองขวาก่อนจะเขยิบมากระซิบใกล้ๆฉันคุณคิมหันต์ให้ฉันเอาอาหารไปเสริฟ์ให้เนี่ยนะ? คิดจะแกล้งอะไรฉันอีกล่ะเนี่ย?ห้องพักกริ๊งงง!! ฉันกดออดที่หน้าห้องพักของคุณคิมหันต์ หลังจากที่เข็นรถเข็นอาหารมาส่งให้เขาถึงหน้าห้อง ตามคำสั่งที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้แอ๊ดดด!! ผ่านไปเพียงไม่กี่วิ คนตัวสูงก็เปิดประตูห้องออกมา แต่ทันทีที่ฉันเห็นร่างของคนที่อยู่ในห้อง ฉันถึงกับเบิกตาโ
ห้องพักวีไอพีกริ๊งงง!! ฉันตัดสินใจกดออดหน้าประตูห้องพักวีไอพีห้องหนึ่ง หลังจากที่ยืนทำให้อยู่หน้าห้องมาได้สักพักหนึ่งแล้วแอ๊ดดด!! ผ่านไปไม่กี่วินาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาช้าๆ ก่อนจะปรากฏร่างของคนตัวสูงที่ยืนยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์อยู่หลังประตู“ฉันเอากระเป๋ามาให้…”หมับ!! ยังไม่ทันที่จะพูดจบ คนตัวสูงก็คว้าร่างฉันเข้าไปในห้องอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่ลากเข้ามาในห้องด้วยกันอีกทีปัง!! ฉันสะดุ้งตกใจเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นมาซะลั่นห้อง “คุณคิมหันต์! คุณจะทำอะไรเนี่ย?”ตุบ!! คนตัวสูงเตะกระเป๋าใชเดินทางใบใหญ่ของตัวเอทีกันเองมาด้วยออกไป ก่อนจะดันตัวฉันให้ติดกับประตห้องไม่ให้ไปไหน“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเกวลิน”“นั่นน่ะสิค่ะ เกวก็ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่ในฐานะแขกวีไอพีด้วยเหมือนกันค่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ออกจะดุนิดหน่อย “คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?”“ฉันคิดถึงเธอเกว~”ตึกตักๆๆ!! คนตัวสูงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเลี่ยงตอบคำถามของฉัน เป็นการกระซิบเบาที่ข้างหูฉันแทน ซึ่งวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีทำให้ฉันใจสั่นขึ้นมาได้ดีเลยล่ะ“เราไม่ได้เจอกันตั้งเดือนนึงเลยนะเก
หนึ่งเดือนผ่านไปวันเวลาผ่านไปเร็วราวกับพลิกหน้ากระดาษ ตอนนี้ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วที่ฉันมาฝึกงานที่นี่ ทุกๆวันที่อยู่ที่นี่ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะไม่คิดถึงคนที่ตัวเองรักอย่างคุณคิมหันต์ แต่ถึงอย่างนั้น…ฉันก็ยังสนุกกับการฝึกงานที่นี่อยู่นั่นแหละและดูเหมือนว่าใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะกลับไปหาคนที่ตัวเองรักสักที“เอ้า! ทุกคน ใกล้ถึงเวลาที่แขกวีไอพีขอบโรงแรมจะมาแล้ว รีบออกมาต้อนรับกันเร็ว” เสียงของผู้จัดการตะโกนร้องเรียกพนักงานทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้โรงแรมเมื่อสองวันก่อนผู้จัดการแจ้งมาว่าในวันนี้จะมีแขกวีไอพีมาพักที่โรงแรม ซึ่งแขกคนนี้เป็นแขกคนสำคัญมากๆเลยล่ะ ลือกันว่าเขาเป็นเพื่อนของท่านประธานคนใหม่ของที่นี่ ดังนั้นเราจึงต้องให้การต้อนรับแขกวีไอพีคนนี้ให้ดีที่สุดและห้ามทำอะไรผิดพลาดโดยเด็ดขาด“ไปกันเถอะเกว” เสียงของรินณ์ที่ยืนอยู่หน้าล็อบบี้เรียกให้ออกไปยืนรอด้วยกัน“อื้อ!” ฉันกันรินณ์ออกไปรอต้อนรับแขกวีไอพีคนดังกล่าวที่หน้าประตูโรงแรม พร้อมกับผู้จัดการและพี่แอนเอี๊ยดดด!! ยืนรอกันได้อยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็มีรถหรูคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูโรงแรมพนักงานชายเดินไปเปิดประตูรถ ก่อนท
หลังจากได้ฟังคำตอบจากปากของเกวลินแล้ว สิ่งที่ค้างคาใจผมในตอนแรกก็คลายลง ผมตัดสินใจเดินออกมาจากร้านนั้น แล้วก็มาเดินเล่นที่ริมหาดกับไอ้กวินท์แทนระหว่างที่เดินเล่นอยู่ผมก็ทบทวนคำพูดของเกวลินอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เกวลินต้องการมาตลอดก็คืออิสระ เพราะเธอโตมากับตระกูลของผม เลยทำให้เธอคิดว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณตระกูลของผม ไอ้สิ่งที่ผูกมัดเกวลินมาตลอดคือ…ตระกูลอัศวนันทร์ และตัวผมนี่แหละผมไม่อยากสูญเสียเกวลินไป ผมอยากให้เกวลินอยู่กับผมไปตลอดเลยด้วยซ้ำ เพราะผมรักเธอ แต่มันคงไม่ง่ายสำหรับเกวลิน แม้เธอจะรักผม แต่เธอก็มีความต้องการเหมือนกัน และสิ่งที่เธอต้องการก็คือ…อิสระ เธอต้องการอิสระมาโดยตลอด เพราะงั้น…ผมตัดสินใจแล้วว่าผม…จะยอมให้อิสระกับเกวลิน อย่างที่เธอต้องการ“ดูเหมือนแกกับเด็กคนนั้นจะรักกันมากเลยนะ” ไอ้กวินท์พูดเหมือนเด็กฝึกงานที่มากับเกวลินไม่มีผิด“ไม่ใช่เรื่องของแก”“ครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นแกร้อนรนแบบนี้อ่ะ”“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเหอะ”“นี่! ฉันกำลังเตือนสติแกอยู่นะเว้ย! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรน้องเขาถึงหนีมาอยู่ที่นี่ได้อ่ะ แต่จากที่ฟังเมื่อกี้…น้องเขาคงจะรัก
[คิมหันต์]ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งผมขับรถตามรถของเกวลินมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมทะเลร้านหนึ่ง เกวลินกันเพื่อนของเธอคงจะมากินอาหารกันที่นี่ ผมไม่อยากให้เกวบินคลาดสายตาผมไป เลยตามเกวลินเข้ามาในร้านด้วยเหมือนกันแต่ผมไม่เข้าใจว่าไอ้กวินท์มันจะตามผมมาถึงที่นี่ด้วยทำไมเนี่ย?“นั่งตรงนี้มั้ยเกว?”“ได้สิ” เกวลินกับเพื่อนของเธอเลือกนั่งลงบนโต๊ะๆหนึ่งในร้านอาหาร ฟุ่บ!! ผมที่เดินตามอยู่ห่างๆ เลยเดินเข้าไปนั่งใกล้กับโต๊ะของเกวลิน ซึ่งระยะห่างระหว่างผมกันเกวลินก็ห่างกันเพียงแค่โต๊ะอาหารคั่นกลางไว้แค่โต๊ะเดียวเท่านั้นตุบ!! ส่วนไอ้กวินท์ที่ตามติดมาด้วยก็ดันเลือกที่จะมานั่งข้างๆผมอีกซะงั้น ที่มีตั้งเยอะแยะจะมานั่งติดผมทำไมเนี่ย?“แกจะตามฉันมาด้วยทำไมเนี่ย?”“ฉันไม่ได้ตามแกมาซะหน่อย ลืมไปแล้วรึไงว่ารถที่แกขับมาน่ะ รถฉันเว้ย!” มันพูดด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ความจริง ผมสังเกตเห็นตั้งแต่ที่โรงแรมล่ะ ไอ้กวินท์เอาแต่ชะเง้อมองตามใครสักคนอยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างจากผมเลยสักนิด และผมก็เดาว่าคนที่มันกำลังตามอยู่คงจะเป็นเพื่อนที่อยู่กับเกวลินตอนนี้แน่ๆ“ใครว่ะ? แฟนเหรอ?” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
[คิมหันต์]ณ บริษัท เอ.เอส.เอ็นก๊อกๆๆ!! เสียงเคาะประตูห้องทำงานหน้าห้องของผมดังขึ้น“เข้ามา” ธนินเดินเข้ามาในห้องหลังจากได้รับอนุญาตจากผมแล้ว“เรื่องที่ให้ไปสืบเป็นไงบ้าง?“ ทันทีที่เห็นหน้าของธนินผมก็เอ่ยถามถึงงานที่ผมมอบหมายไปให้เมื่อวานนี้ “ได้ที่อยู่ของคุณเกวลินมาแล้วครับ” ซึ่งก็เป็นเรื่องไหนไม่ได้เลน นอกจากเรื่องของเกวลิน ยัยตัวแสบที่แอบหนีผมไปไงล่ะ เมื่อวานทันทีที่รู้ว่าเกวลินหนีไป ผมก็รีบยกหูโทรหาให้ธนินไปสืบหาที่อยู่ของเกวลินทันที “เกวลินอยู่ไหน?”“คุณเกวลิน ย้ายไปฝึกงานอยู่ที่โรงแรมพาวิลเลียนที่ต่างจังหวัดครับ” ได้ยินชื่อโรงแรมที่ธนินเอ่ยแล้วผมถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เพราะเหมือนว่าชื่อโรงแรมนี้จะฟังดูคุ้นหูเอามากเลยล่ะ“โรงแรมพาวิลเลียนเหรอ?”“ครับ โรงแรมในเครือตระกูลอัครวานิชครับ” และผมก็อดที่จะยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เมื่อสิ่งที่ผมสงสัยได้รับการยืนยันจากธนินโรงแรมพาวิลเลียน ในเครือตระกูลอัครวานิช คือโรงแรมที่ไอ้กวินท์ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาลัยของผมบริหารอยู่นี่เอง ตืดๆๆ!! ทันทีที่รู้ว่าเกวลินอยู่ที่นั่น ผมก็ไม่รอช้ารีบยกหูกดโทรออกหาไอ้กวินท์มันอย่า
[เกวลิน]“ยินดีต้อนรับน้องๆฝึกงานทุกคนเลยนะคะ” เสียงของผู้จัดการโรงแรมเอ่ยขึ้น หลังจากที่พาพวกเราที่เป็นเด็กฝึกงานใหม่ ไปแนะนำสถานที่ต่างๆในโรงแรมเสร็จแล้ว“ต่อไปนี้ก็ตั้งใจทำงาน แล้วก็ขอให้โชคดีกับการฝึกงานนะคะ” พี่แอนพี่พนักงานอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น“ขอบคุณค่ะ” ฉันและเพื่อนอีกคนที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกันเอ่ยขอบคุณผู้จัดการและพี่แอนพร้อมๆกัน“วันนี้ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ เราสองคนกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาเริ่มงานพรุ่งนี้อีกที”“ได้ค่ะ”“งั้นพี่ไปก่อนนะ” ร่ำลากันเสร็จผู้ตัดการกับพี่แอนก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองกันต่อ เหลือไว้แค่ฉันกับเพื่อนร่วมฝึกงานกันอยู่สองคน“หวัดดี เราชื่อรินณ์นะ” เพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมาทักทายด้วยสีหน้าที่สดใส“หวัดดี เราชื่อเกว”“เกวมาจากกรุงเทพเหรอ?”“อื้อ แล้วรินณ์อ่ะ?”“เราเรียนที่นี่แหละ แล้วก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย” อ่อ เป็นคนที่นี่สินะ“อ่อ อื้ม!”“แล้วนี่…เกวจะกลับเลยรึเปล่า? เราไปกินข้าวกันมั้ย?”“โทษทีนะ พอดีเราเพิ่งย้ายมาที่นี่เมื่อวานเองอ่ะ คงต้องขอตัวกลับไปจัดของที่ห้องก่อน” “อ่อ งั้นไม่เป็นไร ไว้ไปกินข้าวกั
[คิมหันต์]เช้าวันต่อมา พรึ่บ!! ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ หลังจากที่หลับพักผ่อนจากกิจกรรมอันเหน็ดเหนื่อยเมื่อคืนไปทั้งคืนอย่างเต็มที่แล้ว แสงแดดที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีดำในห้องของตัวเองสาดส่องเข้ามา ทำผมถึงกับต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับสายตาของตัวเองให้คงที่ขวับ!! เมื่อสายตากลับมาอยู่ในสภาพคงที่แล้ว ผมจึงพลิกตัวมาอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ด้วยความหวังที่ว่าจะเจอกันคนตัวเล็กอย่างเกวลินนอนอยู่ข้างๆกาย"..." แต่แล้วสิ่งที่ผมเจอมีเพียงแค่รอยยับของผ้าปูที่ว่างเปล่าและไร้ซึ่งร่างของคนตัวเล็กเกวลินตื่นแล้วเหรอ?ฟุ่บ!! ผมคิดว่าคนตัวเล็กคนจะตื่นก่อนผมไปแล้ว ผมจึงลุกออกจากเตียง ก่อนจะเดินหยิบกางเกงนอนของตัวเองมาใส่ แล้วเดินออกไปจากห้อง ด้วยความหวังที่ว่าเกวลินคงจะอยู่ข้างนอกห้อง หรือที่ไหนสักที่ในบ้านนั่นแหละ"..." แต่ผมกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจมากกว่าเดิม เมื่อลงมาแล้วไม่เจอกับเกวลินอยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน ในครัวก็ไม่อยู่ ในห้องรับแขกก็ไม่เจอ "เกวลิน!" ผมลองตะโกนร้องเรียกชื่อของคนตัวเล็ก แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆตอบรับกลับมาใจผมเริ่มสั่นไหวขึ้นมา จู่ๆความคิดที่ไม่ดีก็ดันโผล่เข้ามาในหัว ตอนนี้ผมกำลังคิดว่า