LOGINไม่นานนัก เหยาจิ้นทงและเหอเหมียวลี่ก็มาถึงหน้าเรือนพำนักของเหยาหลิงเจิน ทั้งสองยืนมองประตูด้วยความรู้หลากหลาย แต่ก็ยังไม่เข้าไป จนกระทั่งเหยาฉีและเหยาหมิงมาถึง
“ท่านพ่อ ท่านแม่” เหยาหมิงร้องเรียกบิดามารดา แล้วเดินปรี่เข้ามา “เจินเอ๋อร์ คืนสติแล้วจริงหรือขอรับ”
“แม่กับพ่อของเจ้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น” เหอเหมียวลี่ตอบบุตรชายเสียงเครือ
“ในเมื่อพวกเรามาพร้อมหน้ากันแล้ว ก็เข้าไปดูให้เห็นกับตาเถิดขอรับ” เหยาฉีพูดพลางมองประตูเรือนของน้องสาวคนเล็กอย่างมีความหวัง
เหยาจิ้นทงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วสั่งให้เหยาปิงไปเปิดประตูเรือน จากนั้นพวกเขาทุกคนก็เดินตามนางเขาไปด้านในด้วยหัวใจระทึก
พวกเขาหยุดชะงักที่หน้าประตูทันที เมื่อได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่รุนแรงจนน่าคลื่นไส้ แต่ไม่มีใครสนใจกลิ่นนั้นอีกต่อไป เมื่อสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่บุตรสาวคนเล็กของตระกูล
เหยาหลิงเจินยังคงนั่งอยู่บนเตียงอย่างสงบ นางเงยหน้าขึ้นมองครอบครัวด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวากว่าครั้งใด
เหอเหมียวลี่พลันร้องไห้โหออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ นางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างบุตรสาว ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความดีใจและห่วงหา
“เจินเอ๋อร์ ลูกแม่” นางเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของบุตรสาวอย่างระมัดระวัง น้ำเสียงของนางสั่นเครือจนแทบจะจับใจความไม่ได้ “เจ้าสบตาแม่สิ... เจ้าจำแม่ได้ใช่หรือไม่”
เหยาจิ้นทงเดินเข้ามาใกล้ เขากลืนก้อนสะอื้นลงคออย่างยากลำบาก ใบหน้าของขุนนางผู้แข็งแกร่งเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความหวังที่ฟื้นคืน
“เจินเอ๋อร์ ลูกจำพ่อได้ไหม” เขาถามเสียงพร่า น้ำตาเอ่อคลอเบ้าอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนในชีวิต
หลิวรุ่ยหลินรู้ดีว่านี่คือการแสดงครั้งสำคัญ นางพยักหน้าเล็กน้อยอย่างอ่อนโยน พร้อมกับยิ้มตอบบางเบา รอยยิ้มนั้นบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยความอ่อนโยนของบุตรีที่รักบิดามารดา
“ท่านพ่อ... ท่านแม่...” เสียงเรียกแผ่วเบาและอ่อนแรง แต่ชัดเจนในโสตประสาทของทุกคนในห้อง
เหยาฉีและเหยาหมิงที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างก็มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง จากนั้นพี่ชายทั้งสองก็รีบเข้ามาโอบกอดน้องสาวด้วยความตื้นตันจนไม่อาจซ่อนไว้ได้
“เจินเอ๋อร์ น้องกลับมาแล้วจริงๆ สวรรค์มีตา” เหยาฉีพึมพำเสียงสั่น
“เจ้าจำพวกพี่ได้ใช่หรือไม่ ไม่สิ เจ้าต้องจำได้อยู่แล้ว” เหยาหมิงหยิกแก้มน้องสาวของตนเบาๆ อย่างที่เคยทำตอนนางเป็นเด็ก
“พี่ใหญ่... พี่รอง” นางเรียกขานพวกเขาอย่างถูกต้อง
น้ำเสียงและรอยยิ้มของนางเป็นสิ่งที่ยืนยันทุกสิ่ง
บุตรีคนเล็กของตระกูลเหยากลับมาแล้ว
ทุกคนต่างรับรู้ว่า นี่ไม่ใช่การฟื้นจากอาการป่วยธรรมดา แต่เป็นปาฏิหาริย์ที่จวนเจิ้นหนิงโหวรอคอยมานานถึงเจ็ดปี
ผ่านไปครู่ใหญ่ เหยาจิ้นทงควบคุมสติกลับคืนมาได้แล้ว แม้ดวงตาจะยังแดงก่ำจากการหลั่งน้ำตา ก็รีบสั่งการอย่างเร่งด่วน
“ใครก็ได้ ไปตามท่านหมอจางมาที่นี่โดยเร็วที่สุด บอกเขาว่าบุตรสาวของข้าได้ฟื้นสติแล้ว”
“จัดการทำความสะอาดห้องนี้ด้วย” เหอเหมียวลี่ออกคำสั่ง สาวใช้ที่ติดตามมาก็รีบช่วยกันจัดการร่องรอยของปัสวะและสิ่งปฏิกูลที่นองอยู่บนพื้นห้อง
ไม่นานนัก ท่านหมอจาง ผู้ซึ่งเป็นหมอเทวดาฮ่องเต้ทรงแนะนำให้ ก็มาถึงเรือนคุณหนูสี่ด้วยท่าทางประหลาดใจอย่างที่สุด ท่านหมอจางเป็นบุรุษสูงวัยที่มีหนวดเคราสีขาวสะอาดตา
“ท่านหมอจาง ท่านดูสิ บุตรสาวของข้าฟื้นแล้ว” เหยาจิ้นทงรีบเข้ามาตอนรับหมอเทวดา เพราะคิดว่านี่คือผลแห่งความเพียรพยายามในการรักษามาหลายปีของผู้อาวุโส
ท่านหมอจางไม่ได้กล่าวอันใด เพียงเดินตรงไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนั่งลงข้างๆ และเริ่มตรวจชีพจรของเหยาหลิงเจินด้วยความละเอียดถี่ถ้วน
หลิวรุ่ยหลินรู้ดีว่าไม่อาจหลอกผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ได้ แต่นางก็จงใจระงับพลังปราณภายในทั้งหมดไว้ เพื่อให้ชีพจรเต้นอย่างสงบเสงี่ยมที่สุด
ท่านหมอจางตรวจชีพจรอยู่นานเกือบครึ่งเค่อ ก่อนจะปล่อยมือจากข้อมือของนาง แล้วเงยหน้าขึ้นมองทุกคนในห้อง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอิ่มเอิบใจอย่างยิ่ง
“ชีพจรของนาง... แข็งแรงขึ้นอย่างมาก แม้ร่างกายจะยังอ่อนแอจากการไม่ค่อยได้ใช้งานมานานหลายปี แต่ความสับสนและอาการทางจิตใจที่บกพร่องเรียกได้ว่าแทบจะเป็นปกติ... ตอนนี้คุณหนูสี่กลับมาแล้วจริงๆ” ท่านหมอจางประกาศก้องด้วยใบหน้ายินดี
“ดี... ดีมาก” ท่านโหวกล่าวอย่างตื่นเต้น แล้วเดินไปจับมือของหมอจางไว้แน่น “ท่านหมอจาง ขอบคุณท่านมากที่รักษาบุตรสาวของข้ามานานถึงเจ็ดปี! ความดีความชอบนี้ ท่านโหวผู้นี้จะไม่มีวันลืมเลือน!”
ท่านหมอจางรีบโค้งคำนับเล็กน้อย “ท่านโหวกล่าวเกินไปแล้ว ข้าน้อยขอพูดตามตรงว่า ในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา ข้าน้อยก็ไม่มั่นใจในอาการของคุณหนูสี่เลย ได้แต่ให้การรักษาตามตำราและดูแลอย่างดีที่สุดมาตลอด วันนี้ที่คุณหนูฟื้นคืนสติและตอบโต้ได้อีกครั้ง นับว่าสวรรค์มีเมตตามากกว่า”
คำพูดที่อ่อนน้อมและจริงใจของท่านหมอจางทำให้เจิ่นหนิงโหวและฮูหยินยิ่งรู้สึกซาบซึ้ง
เหยาจิ้นทงสั่งให้บุตรชายไปจัดเตรียมทองคำ พร้อมด้วยสมุนไพรบำรุงหายาก เพื่อมอบให้เป็นรางวัลตอบแทนแก่ความเพียรพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาของท่านหมอจาง
ในขณะที่ทุกคนกำลังยินดีกับการฟื้นคืนสติและท่านหมอจางกำลังให้คำแนะนำด้านอาหารบำรุงอยู่นั้น เสียงฝีเท้าที่เบาลงอย่างระมัดระวังก็ดังมาจากด้านนอกประตู
เหยาซานและเหยาซื่อในชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้าน แต่ใบหน้ายังคงซีดเผือดและหวาดกลัว ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ พวกนางก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าสบตาใคร แม้แต่กลิ่นกายของพวกนางก็จะยังมีกลิ่นสบู่ปนกับกลิ่นฉุนติดจมูกอยู่บ้าง
ทันทีที่เห็นสภาพของบุตรสาวที่ลุกขึ้นนั่งบนเตียงได้จริง ๆ และเรียกขานบิดามารดาด้วยความรัก เหยาซานและเหยาซื่อก็ทรุดตัวลงคุกเข่าทันทีด้วยความตื่นตระหนก!
ความกลัวว่าผีจะเข้าสิงได้แปรเปลี่ยนเป็นความกลัวว่าความผิดที่พวกนางละเลยเจ้านายตลอดเจ็ดปีจะถูกเปิดโปงออกมาอย่างสมบูรณ์
หลิวรุ่ยหลินซึ่งถูกฮูหยินกอดประคองอยู่บนเตียงเหลือบตาขึ้นมองสาวใช้ทั้งสองอย่างเยือกเย็น ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเมื่อครู่ได้แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาอย่างที่สุด
คราวนี้ก็ถึงเวลาต้องจัดการสองคนนี้อย่างเด็ดขาดแล้ว
หลังจากการลงโทษสาวใช้ที่ไม่ซื่อสัตย์ผ่านไป จวนเจิ้นหนิงโหวก็กลับคืนสู่ความสงบ แต่ไม่ใช่ความสงบเงียบเหงาแบบเก่า หากแต่เป็นความสงบที่เต็มไปด้วยความใส่ใจและความรักที่ตื่นขึ้นมาอย่างท่วมท้น ท่านโหวเหยาจิ้นทงและฮูหยินเหอเหมียวลี่แทบจะสลับกันเข้ามาดูแลบุตรสาวคนเล็กด้วยตนเองทุกวันทุกอย่างในเรือนของคุณหนูสี่ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ผ้าปูที่นอนถูกเปลี่ยนเป็นผ้าไหมเนื้อดีจากซูโจว เครื่องเรือนเก่าๆ ถูกยกออกไปและแทนที่ด้วยของใหม่ที่หรูหรา และที่สำคัญที่สุดคือ กลิ่นเหม็นอับชื้นที่เคยปกคลุมเรือนก็หายไปอย่างสิ้นเชิงท่านหมอจางยังคงเข้ามาตรวจชีพจรของเหยาหลิงเจินวันละสองครั้ง ใบหน้าของท่านหมอเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ เพราะชีพจรของคุณหนูสี่ไม่เพียงแค่เป็นปกติเท่านั้น แต่ยังแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ ท่านหมอสั่งยาบำรุงหายาก เช่น รังนกหิมะและโสมอายุพันปี ให้นำมาปรุงเป็นอาหารอ่อนๆ ทุกวันเพื่อเร่งการฟื้นฟูร่างกายที่บอบช้ำมานานเหยาปิง ในตำแหน่งสาวใช้คนสนิทและหัวหน้าสาวใช้ส่วนตัว ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นางจัดการเรื่องในเรือนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สาวใช้ที่ถูกคัดเลือกเข้ามาใหม่ก็ตั้งใจทำงา
เหยาจิ้นทงหันมาให้ความสนใจกับเรื่องที่ค้างคา ซึ่งสร้างความมัวหมองให้กับเรือนคุณหนูสี่ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าบุตรสาวของเขาแทบไม่มีแรงจะยืน แล้วจะลุกขึ้นมาทำเรือนเละเทะได้ยังไง“เหยาซาน เหยาซื่อ ไหนบอกว่าคุณหนูสี่อาละวาดทำร้ายคนไง” เขามองไปยังสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่สองคนด้วยสายตาเย็นชา “พวกเจ้าสารภาพมาตามตรงดีกว่า ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เห็นอยู่ว่าบุตรสาวของข้าไม่มีทางลุกขึ้นมาทำร้ายพวกเจ้า หรือทำให้เรือนสกปรกเยี่ยงนี้ได้”เหยาซานและเหยาซื่อก้มศีรษะลงต่ำติดพื้น พวกนางร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญ“ท่านโหว พวกบ่าวไม่กล้าโกหกหรอกเจ้าค่ะ บ่าวสาบานว่าจู่ๆ คุณหนูก็ฟื้นขึ้นมาเล่นงานพวกบ่าว นางไม่ใช่คุณหนูสี่คนเดิมแล้วเจ้าค่ะ นางต้องโดนผีเข้าแน่ๆ” เหยาซื่อตะโกนด้วยความกลัว นางยังจำสายตาเคียดแค้นของเหยาหลิงเจินได้ดีความเชื่อเรื่องผีสางและปีศาจ รวมไปถึงสัตว์ในตำนานเป็นสิ่งที่คนในแคว้นนี้เชื่อถือกัน ทำให้ท่านโหวและฮูหยินเริ่มแสดงสีหน้าหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด แม้จะเห็นว่าบุตรสาวฟื้นคืนสติ และดูสงบดีก็ตามแต่ถ้าที่นางฟื้นเป็นเพราะถูกปีศาจครอบงำเล่า แล้วพวกเขาจะทำยังไงกันดี“ท่านพี่ เราต้องไปเชิญนักพรตมาตรวจสอบหรื
ไม่นานนัก เหยาจิ้นทงและเหอเหมียวลี่ก็มาถึงหน้าเรือนพำนักของเหยาหลิงเจิน ทั้งสองยืนมองประตูด้วยความรู้หลากหลาย แต่ก็ยังไม่เข้าไป จนกระทั่งเหยาฉีและเหยาหมิงมาถึง “ท่านพ่อ ท่านแม่” เหยาหมิงร้องเรียกบิดามารดา แล้วเดินปรี่เข้ามา “เจินเอ๋อร์ คืนสติแล้วจริงหรือขอรับ”“แม่กับพ่อของเจ้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น” เหอเหมียวลี่ตอบบุตรชายเสียงเครือ“ในเมื่อพวกเรามาพร้อมหน้ากันแล้ว ก็เข้าไปดูให้เห็นกับตาเถิดขอรับ” เหยาฉีพูดพลางมองประตูเรือนของน้องสาวคนเล็กอย่างมีความหวังเหยาจิ้นทงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วสั่งให้เหยาปิงไปเปิดประตูเรือน จากนั้นพวกเขาทุกคนก็เดินตามนางเขาไปด้านในด้วยหัวใจระทึกพวกเขาหยุดชะงักที่หน้าประตูทันที เมื่อได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่รุนแรงจนน่าคลื่นไส้ แต่ไม่มีใครสนใจกลิ่นนั้นอีกต่อไป เมื่อสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่บุตรสาวคนเล็กของตระกูลเหยาหลิงเจินยังคงนั่งอยู่บนเตียงอย่างสงบ นางเงยหน้าขึ้นมองครอบครัวด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวากว่าครั้งใดเหอเหมียวลี่พลันร้องไห้โหออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ นางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างบุตรสาว ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความดีใจและห่วงหา“เจินเอ๋
หลิวรุ่ยหลินวางกระโถนลงอย่างเชื่องช้า ดวงตาที่เย็นชาของนางกวาดมองไปทั่วห้องที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย จากนั้นนางก็ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอีกครั้ง เนื่องจากร่างกายของเหยาหลิงเจินในตอนนี้ยังไม่สามารถทนต่อการใช้งานที่หนักหน่วงขนาดนั้นได้นานการลงโทษสาวใช้ตัวดีทั้งสองสำเร็จอย่างงดงาม แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ร่างกายนี้ต้องถูกพวกนางเหยียดหยามมาถึงเจ็ดปีเต็ม สิ่งโสโครกเพียงกระโถนเดียวคงไม่พอให้วิญญาณของเหยาหลิงเจินตัวจริงพอใจแน่เสียงกรีดร้องและเสียงโครมครามที่ดังมาจากห้องนอนด้านใน จนทำให้เหยาปิงที่กำลังจัดข้าวของอยู่ในห้องเก็บของด้านหลังเรือนได้ยิน นางพลันตื่นตระหนก คิดว่าเหยาซานกับเหยาซื่อรังแกคุณหนูอีก นางจึงรีบวิ่งมาที่ห้องของนอนของเหยาหลิงเจินทันทีแต่พอนางเปิดประตูเข้าไป ภาพแรกที่เห็นคือเหยาหลิงเจินนั่งอยู่บนเตียงอย่างสงบ แต่สภาพรอบห้องนั้นเลวร้ายอย่างที่สุด กลิ่นฉุนของปัสสาวะและสิ่งปฏิกูลแทบทำให้นางหายใจไม่ออก“คุณหนู ท่านถูกสองคนนั้นรังแกหรือ” เหยาปิงรีบวิ่งเข้ามาดู แต่เนื้อตัวของคุณหนูนั้นสะอาดสะอาด นางจึงมองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง จนเห็นร่องรอยน้ำเปียกโชกที่ลากเป็นทางออกไปจากห้อง
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หลิวรุ่ยหลินยังคงแสร้งทำเป็นนอนนิ่งและฟื้นฟูร่างกายอย่างลับๆ การไม่มีทางลัดสำหรับการเรียกความแข็งแกร่งกลับคืนสู่กล้ามเนื้อที่อ่อนเปลี้ยของร่างใหม่ มีแต่ต้องอาศัยเวลา และทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น แม้ตอนนี้พลังปราณภายในจะฟื้นมาเพียงน้อยนิด ทว่าความแข็งแกร่งทางกายที่คืนกลับมาก็เพียงพอให้นางสามารถจัดการกับคนธรรมดาได้แล้วในเมื่อตอนนี้นางสามารถควบคุมร่างกายนี้ได้ดีขึ้นแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเสแสร้งนอนเป็นผักให้ใครมารังแกง่ายๆ อีกต่อไปได้เวลาที่คุณหนูสี่แห่งจวนเจิ้นหนิงโหวจะมีสติ และลุกขึ้นมาแล้วเช้าวันหนึ่ง หลิวรุ่ยหลินยังคงแสร้งทำเป็นนอนนิ่งและแสดงสีหน้าเหม่อลอย รอคอยให้เหยาซานกับเหยาซื่อ สาวใช้ผู้ประพฤติเลินเล่อเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทีที่ไม่ใส่ใจเช่นเคย“เช้านี้เจ้าต้องระวังตัวให้ดีนะเหยาซื่อ หากคุณหนูสี่ฉี่รดที่นอนอีกรอบ ข้าจะโยนผ้าทั้งหมดให้เจ้าซักคนเดียว” เหยาซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย“ข้าก็ระวังแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าคนเขลาไร้สติจะปัสสาวะเมื่อไหร่กันล่ะ” เหยาซื่อตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ นางหยิบชามโจ๊กข้าวต้มจืดชืดเข้ามา พร้อมกับช้อนทองเหลืองท
ขณะที่เหยาซานและเหยาซื่อกำลังจะเดินออกไปจากห้อง พลันมีร่างของสาวใช้อีกคนหนึ่งก้าวเข้ามา นางมีรูปร่างสมส่วน ท่าทางกระฉับกระเฉง และดวงตาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลคนผู้นั้นคือ เหยาปิงเหยาปิงหยุดนิ่งทันทีเมื่อสายตาของนางกวาดไปเห็นผ้าห่มและสภาพเตียงนอนที่ดูไม่เรียบร้อย กลิ่นเหม็นอับที่คละคลุ้งไปทั่วห้อง นางหันกลับไปเผชิญหน้ากับสาวใช้ทั้งสองด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด“เหยาซาน เหยาซื่อ พวกเจ้ากล้าดียังไง” เหยาปิงตวาดเสียงดัง “ข้าบอกให้พวกเจ้าเปลี่ยนที่ผ้าปูที่นอน และรอทำความสะอาดร่างกายของคุณหนูสี่ให้ดีก่อน ไม่ใช่ทำแค่ถูไถไปวัน ๆ แล้วปล่อยให้คุณหนูนอนจมสิ่งโสโครกของตนเองแบบนี้”เหยาซานเบ้ปากอย่างไม่สะทกสะท้าน “เหยาปิง วันนี้เจ้าใจกล้าขึ้นนี่ พวกเราก็ทำตามหน้าที่แล้วไงเล่า คุณหนูสี่ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว ไม่เห็นจะต่างอะไรกัน”เหยาซื่อเองก็หัวเราะเยาะ “ใช่แล้ว คุณหนูสี่ไม่ได้รับรู้อะไรหรอก ไม่ต้องทำตัวเป็นคนดีมีคุณธรรมนักก็ได้ เจ้านายที่ไร้อนาคตแบบนี้ดูแลไปก็ไม่มีทางได้ดี”เหยาปิงเดินเข้าไปหาเตียงด้วยสีหน้าเจ็บปวด นางมองดูสภาพของเหยาหลิงเจินด้วยความสงสาร ก่อนจะหันกลับไปมองเหยาซานและเหยาซื่อด้วยควา







