“ตื่นแล้วหรือเอ้อร์เออร์”
“ขอรับ...” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับ พลางยกสองมือชูขึ้นก่อนจะนำข้างหนึ่งมาปิดปากเอาไว้ แม้จะได้นอนหลับพักผ่อนที่น่าจะนานอยู่ หากเขาก็ยังคงรู้สึกอ่อนเพลียจนอยากที่จะนอนพักอีกสักหน่อย ทว่า...
“ถึงที่หมายแล้วหรือขอรับท่านแม่” มิน่าจะใช่ เขายังรู้สึกเหมือนกับว่ารถม้าที่นั่งอยู่เคลื่อนไหวอยู่เลย อีกทั้งเหมือนกับจะได้ยินเสียงของผู้คนที่อยู่นอกรถม้าด้วย ดูเหมือนว่าการเดินทางและเรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้ท่านแม่เองก็เหนื่อยมิใช่น้อย ตอนนี้ถึงได้มีท่าทางอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด เก้าเทียนรุ่ยจึงยื่นมือออกไปและปิดผ้ายื่นหน้าออกไปด้านนอกเพื่อไถ่ถามรองแม่ทัพที่น่าจะเร่งรีบเดินทางจนมิยอมหยุดพัก เมื่อรวมเข้ากับอาการบาดเจ็บที่ได้รับมา ตอนนี้ถึงได้ดูท่าทางเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าอย่างที่เห็นได้ชัด
“เจ้าหลับไปนาน ข้านึกว่าจะมิตื่นขึ้นมาเสียแล้ว”
“ปากเสีย...เป็นท่านมากกว่าที่ข้านึกว่าจะมิไหว แต่เห็นแล้วว่ายังแข็งแรงดีอยู่ แสดงว่ายาที่ข้าให้ท่านกินพร้อมกับผักพวกนั้นใช้รักษาแผลบาดเจ็บได้ดีจริง ๆ ด้วย เนี่ยนะเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าใช้ยานั่น นับถือความใจกล้าของท่านที่ยอมกินยานั่น เป็นหนูทดลองให้ข้า นับถือ ๆ ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังหัวเราะ เช่นเดียวกับใบหน้าที่คลี่ยิ้มหวาน ขณะประกบสองมือเข้าหากันแล้วขยับเล็กน้อยเป็นการขอบคุณรองแม่ทัพ
“นี่เจ้า!”
“ใกล้ถึงหรือยัง ข้าทั้งเมื่อย ทั้งหิวแล้วนะ...เนี่ย ท้องร้องใหญ่เลย”
“ข้าพาเจ้ามารักษาคน”
“อ้าว...ก็ใช่นะสิ แต่ท่านเคยได้ยินไหมว่า จะทำสิ่งใดก็ขอให้อิ่มไว้ก่อน จะได้มีแรง มีสติคิดว่าควรจะทำสิ่งใดต่อไป” เก้าเทียนรุ่ยลอยหน้าลอยตากล่าว พลางมองสองข้างทางที่ตอนนี้เต็มไปด้วยร้านรวงต่าง ๆ มีทั้งอาหารที่ส่งกลิ่นหอมที่ยิ่งทำให้ท้องยิ่งส่งเสียงร้องมากขึ้นไปอีก ไหนจะข้าวของและผู้คนอีกเล่า เยอะแยะไปหมดเลย...น่าท่องเที่ยวดีจัง
ในหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่นั้น ตลาดที่เขาไปขายผักเป็นเพียงแค่ตลาดเล็ก ๆ ที่มีร้านค้าเพียงมิกี่ร้านค้า ส่วนใหญ่ขายเฉพาะข้าวของที่จำเป็น อย่าว่าแต่หมอที่จะรักษาเลย แค่ร้านยาก็ยังมิมี หากมิใช่เพราะเขาที่ก็มิรู้ว่าทำไมถึงสามารถช่วยผู้อื่นทำการดูแลรักษาได้ ชาวบ้านพวกนั้นคงจะต้องเดินทางไปยังอีกหมู่บ้าน ที่บางครั้งความหวังก็เหมือนกับสายน้ำที่มิไหลย้อนกลับ ไปแล้วมิได้รับการรักษาหรือหากอาการหนักก็จากไประหว่างการเดินทาง ยกเว้นก็ช่วงเทศกาลที่จะมีสินค้าและร้านค้ามากขึ้น อีกทั้งยังมีการละเล่นอีกหลายชนิดให้ได้ดูด้วย หากที่นี่...
น่าเที่ยวจริง ๆ หากว่ารักษาคนผู้นั้นเสร็จแล้ว คิดว่าน่าจะได้ค่ารักษาบ้าง อ๋อ...ใช่ เขาลืมไปได้อย่างไร ถึงจะมิได้ค่ารักษา แต่อย่างน้อยก็ต้องได้ค่าผักจากรองแม่ทัพหน้าตายอยู่บ้างแหละ เมื่อสมทบกับเงินที่มีอยู่ ก็น่าจะเพียงพอให้เขากับท่านแม่พักอยู่ที่นี่สักสามสี่วัน ขณะเดียวกันก็คิดดูว่าควรจะเดินทางไปที่ใด ที่ซึ่งตัวตนของเก้าเทียนรุ่ยกับผู้เป็นมารดาจะยังคงถูกปกปิดเป็นความลับจากสายตาของคนพวกนั้น...ตลอดไป
“อีกทั้งก่อนที่ข้าจะเข้าไปหาคนผู้นั้น ข้าควรที่จะได้อาบน้ำก่อนด้วย”
“เรื่องมาก”
“แล้วท่านมีปัญหาหรือไง จะรักษาคนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของข้า หากท่านทำให้ข้ามิพอใจ ข้าอาจจะมิรักษาคนผู้นั้นก็ได้” เขากล่าวอย่างลืมตัว อาหารที่ปรุงสามารถรักษาคนผู้นั้นให้หายดีได้จริงเหรอ...ไหนจะอำนาจของอีกฝ่ายที่สามารถทำอะไรกับเก้าเทียนรุ่ยและผู้เป็นมารดาก็ได้
เมื่อเจอกับรอยยิ้มของรองแม่ทัพ เก้าเทียนรุ่ยถึงกับหนาวยะเยือกไปทั้งแผ่นหลัง ยิ่งเมื่อเจอกับคำพูดของอีกฝ่าย…
“หากเจ้ามิยอมรักษา แม่เจ้าก็คงจะต้องกลายเป็นนักโทษอยู่ในคุก รอวันประหาร”
คิดว่าขู่กันอย่างนี้แล้วเขาจะกลัวหรือไง ก็ได้...ยอมรับก็ได้ว่ากลัวมาก แต่แล้วอย่างไรกันล่ะ เขามิได้อยากมาทำการรักษาคนผู้นั้นเสียหน่อย ไปบังคับให้มาเอง แล้วยังจะมาขู่กันอีก...หาเรื่องกันชัด ๆ เก้าเทียนรุ่ยทำหน้าบึ้งตึง ดวงตาขุ่นขวางใส่รองแม่ทัพหน้าตายด้วยความหงุดหงิดใจที่มิอาจเอาชนะได้
“ข้าจะได้ค่าปรุงอาหารครั้งนี้สักเท่าไหร่ได้” อย่างไรมันก็จะต้องมีค่าเหนื่อยกันบ้างมิใช่หรืออย่างไร ฮึ! คอยดูนะ เก้าเทียนรุ่ยผู้นี้จะเรียกร้องเอาค่าตอบแทนให้มาก เอาให้ ท่านแม่ทัพหน้าตายนี่ต้องขออภัยที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีเลยคอยดูสิ
“รักษานายข้าให้หายก่อนเถอะ แล้วค่อยยื่นข้อเรียกร้อง แต่หากเจ้ารักษามิหาย...”
ถึงจะยังมิมั่นใจในทุกสิ่ง ด้วยว่ายังมิอยากเชื่อว่าตนเองนั้นจะช่วยรักษาคนที่ป่วยไข้ให้หายได้ และยังมิได้เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นโรคอันใดกันแน่ หากเมื่อเจอวาจาท้าทายเช่นนี้มา เลือดในกายเก้าเทียนรุ่ยมันก็พลุ่งพล่านอยากที่จะพบเจอคนที่จะต้องได้รับการดูแลโดยเร็วเสียแล้ว
“เช่นนั้นท่านก็รีบเข้าเถอะ ข้าจะได้แสดงฝีมือให้ท่านดูเสียที!”
เสียงหัวเราะเหมือนจะยังมิเชื่อถือในตัวเขาของรองแม่ทัพหน้าตายตรงหน้า ทำให้เก้าเทียนรุ่ยหงุดหงิดจนอยากจะต่อยเบ้าตาและเตะขาสักสองสามครั้ง แต่ก็เย็นลงในเวลาอันรวดเร็ว เพราะน้ำเสียงหวานของผู้เป็นมารดา
“ใครจะคิดอย่างไร เชื่ออย่างไรก็ตามแต่ใจเขาเถอะ เพียงแค่ลูกมั่นใจในตนเองและแม่เชื่อมั่นในตัวของลูกแม่ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ...เอ้อร์เอ๋อร์”
“ขอรับท่านแม่” เขาพยักหน้าที่มีรอยยิ้มมอบให้กับมารดา “ข้ารักท่านแม่ที่สุดเลย” เก้าเทียนรุ่ยรีบโถมตัวเข้ากอดเก้าฮูหยิน พลางกดปากลงบนแก้มที่ทั้งนุ่มและหอม
ขอบคุณ...คนผู้นั้นที่นำเขามาอยู่ในร่างคุณชายเก้าเทียนรุ่ยที่นี่ แม้ทุกอย่างที่นี่จะทำให้ต้องเรียนรู้เพื่อเริ่มต้นใหม่กับความมิคุ้นเคยและความยากลำบากที่ต้องพบเจอ หากเมื่อมีคนที่รักและหวังดีอย่างจริงใจ...มันยิ่งตอกย้ำให้เชื่อมั่นในการตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ในค่ำคืนนั้น มิผิด! แม้หลังจากนี้อาจจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นอีกมากมาย หากเขาก็ยังมั่นใจว่าทุกอย่างทุกเรื่องจะผ่านไปได้ด้วยดี
“ขอบคุณท่านแม่ที่ตักเตือน ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
แต่ถึงจะกล่าวออกไปเช่นนั้น หากในใจเก้าเทียนรุ่ยก็คิดว่าจะต้องทำให้รองแม่ทัพหน้าตายผู้นี้เข้าใจด้วยเช่นกัน
อย่าคิดดูถูกดูแคลนผู้ที่มิเคยรู้จักกันมาก่อน เพราะเขาก็ย่อมที่จะต้องมีดีในตัวของเขาเอง!
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”