LOGIN“ปิดเทอมแล้ว!!”
ฉันตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ พร้อมมอง สมุดพกรายงานผลการเรียน ประจำภาคเรียนที่ 2 ของชั้นมัธยมปีที่ 6 ที่เพิ่งจบไปหมาดๆ “น้อยๆ หน่อยกรรณ ต้องขนาดนี้เลยเหรอ” พายุ เพื่อนชายที่สนิทกันมาตั้งแต่ม.1 มองด้วยสีหน้าอมยิ้มทรงเสน่ห์ที่สมกับเป็นคิ้วบอยประจำรุ่น ใครจะคิดว่ากระเทยแบบฉันจะมีเพื่อนผู้ชายที่แมนทั้งแท่ง หล่อน่ารักสไตล์คิ้วบอย แถมผลการเรียนยังติดท็อป 5 ของรุ่นอีกด้วย ที่สำคัญคือความคิดอ่านของเราไปด้วยกันได้ดี จึงคบกันมาเกือบ 5 ปี “ก็ดีใจสิ ยุรู้มั้ย ฉันจะได้พักอยู่บ้านซะที ฉันต้องนั่งรถตื่นมาโรงเรียนตั้งแต่ตี 5 เหนื่อยเพลียแทบแย่” ฉันบ่นจนพอใจ “เออ เกรดกรรณเป็นยังไงบ้าง” พายุถามนิ่งๆ พร้อมมองไปที่สมุดพกบอกคะแนนของฉัน “โอ๊ย อย่าสนใจเกรดฉันเลย ไหนพายุ ได้เกรดเท่าไหร่” “อ่อ เทอมนี้เราได้ 3.97 นะ” โห คะแนนสูงมาก สมแล้วกับการเป็นท็อป 5 ของรุ่น ฉันแอบคิดในใจก่อนจะชม “โห เรียนเก่งจังพายุ ฉันยังไม่ได้เปิดดูเลยอะ งั้นมาเปิดดูพร้อมกัน” ฉันพูดพร้อมยิ้มแห้งๆ แก้เขิน พายุรอพร้อมลุ้นไปกับฉัน “2.79 โห ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากเลย...” ฉันบ่นพลางถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก จนรู้สึกได้ถึงอุ้งมือแกร่งของเพื่อนที่มาตบไหล่เชิงปลอบประโลม “ไม่เป็นไรนะกรรณ ถือว่าเราทำดีแล้ว” เขาพูดไปยิ้มไปตามสไตล์พร้อมลักยิ้มขนาดใหญ่ทรงเสน่ห์ “คะแนนฉันต่ำมากเลยอ่ะ แล้วเธอจะสอบเตรียมทหารเมื่อไหร่ล่ะ ได้ข่าวว่าสอบปีนี้” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้า “ก็อีกสักเดือนสองเดือนข้างหน้านี้แหละ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ฉันด้วยนะกรรณ” “ใจหายเหมือนกันเนาะ เธอจะย้ายโรงเรียน... แล้วนี่เราจะได้เจอกันอีกไหมเนี่ย” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลง “ยังไงเราก็ยังติดต่อกันได้ เพราะเราเป็นเพื่อนกันนี่” “จ้ะ ขอบใจนะจ๊ะเพื่อนรัก งั้นเสร็จแล้วเราไปหาอะไรกินดีกว่า” ฉันเอ่ยชวนพายุทานมื้อเที่ยงด้วยกัน จะได้ใช้เวลาร่วมกันในตอนมัธยมให้ได้มากที่สุด ก่อนที่พายุจะสอบติดโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกพักใหญ่เลย “งั้นเราไปกินข้าวร้านไหนดีอ่ะ” พายุถามเรียบๆ ก่อนที่ฉันจะเสนอว่า “ร้าน Soju ดีมั้ย พี่ที่เรารู้จักอ่ะ เค้ากำลังเปิดร้าน” แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอฉันล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก็ปรากฏว่าไม่ใช่โทรศัพท์ของฉัน แสดงว่าเป็นของพายุ “สวัสดีครับแม่หรอครับ โอเคครับได้ครับ งั้นมารับหน้าโรงเรียนได้เลยครับ” พายุรับโทรศัพท์ แสดงว่าต้องเป็น น้าฟ้า แม่ของพายุแน่นอน “แม่เราบอกว่าจะรีบมารับน่ะ เพราะว่าตอนเย็นมีทานข้าวด้วยกัน แล้วก็เรามีติวด้วยอ่ะสิช่วงค่ำ ลืมซะสนิทเลย” พายุตอบด้วยสีหน้าที่แอบรู้สึกผิด “ไม่เป็นไร เธอมีธุระนี่ งั้นไปเถอะ ฝากสวัสดีน้าฟ้าด้วยนะ” ฉันตอบไปด้วยน้ำเสียงที่แอบเศร้าแต่ก็พยายามฝืนยิ้มเอาไว้ “โชคดีนะ ไว้เจอกันเดี๋ยวเราโทรหาก็ได้” พายุตอบด้วยสีหน้าที่ยังแอบรู้สึกผิดอยู่ คงเพราะกลัวเรารู้สึกไม่ดี “โอเค บาย” ฉันกล่าวลาพร้อมเดินแยกกับพายุตรงหน้าโรงเรียน จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้า ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 600 เมตร ซึ่งจะมีป้ายรถเมล์ที่ผ่านบริเวณหน้าบ้าน ฝ่าแดดร้อนๆ ตอนเที่ยง แต่ไม่เป็นไร ถือว่าเดินออกกำลังกายสบายๆ “โถ่เอ๊ย ทำไมคะแนนน้อยอย่างนี้วะเนี่ย โอ๊ย” หลังจากเดินไปได้ประมาณครึ่งทาง ฉันก็อดไม่ได้ที่จะโวยวายระบายความรู้สึกผิดหวังออกมา จนเผลอ โยนสมุดพกออกไปเต็มแรง เสียง “โอ๊ย” ที่ดังมาใกล้ๆ ทำให้ฉันสะดุ้งสุดตัว รู้ว่าสมุดต้องไปโดนใครเข้าแล้วแน่ๆ จึงรีบเพ่งสายตาไปดู ก่อนจะพบกับผู้ชายร่างใหญ่ประมาณ 185 เซนติเมตร สวมเสื้อโปโลสีขาว กางเกงยีนส์ และรองเท้าสีดำ มีกระเป๋าคาดอก Prada ด้วย รูปร่างลักษณะการแต่งตัวค่อนข้างดูดี จนแน่ใจว่าต้องเป็นผู้ชายตัวใหญ่ที่หล่อเหลา แต่แล้วผู้ชายคนนั้นก็หันมามอง พร้อมด้วยสีหน้าที่หงุดหงิดสุดๆ “อะไรวะเนี่ย” เขาโพล่งออกมาพร้อมกับหยิบสมุดพกของฉันที่ตกลงอยู่บนพื้นขึ้นมา พร้อมกับมองชื่อฉันซึ่งกำลังรีบวิ่งไปรับสมุดพกคืนเพื่อไม่ให้ชายคนนั้นเห็นชื่อหรือเกรดเฉลี่ยข้างในที่แสนจะอับอาย “นาย กรรณ บุญจันทร์ ม.6/4 เกรดเฉลี่ยรวม 2.79” อร๊าย อีตาลุงบ้าคนนั้นแอบอ่านสมุดพกของฉันเหรอเนี่ย แถมยิ่งพูดชื่อฉันออกมาด้วย ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! จากนั้นอีตาลุงคนนั้นก็เงยหน้าจากสมุดพกของฉัน ทำให้เห็นใบหน้าขาวเนียนรูปไข่ มีโหนกแก้ม สันกรามที่ชัด คิ้วหนาทรงตรง ดวงตาตี่ เรียว เหมือนคนเชื้อสายจีนเอเชีย ซึ่งมีจมูกโด่งรับกับใบหน้าดี เหมือนพระเอกหนังจีน ก็ทำให้ตาลุงคนนี้ดูดี สมาร์ทอย่างหาที่ติไม่ได้ แต่เสียดายที่ไม่มีมารยาท และมองฉันด้วยสายตาที่เหยียดหยาม พร้อมคำพูดที่เจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจว่า “ขยันเรียนหน่อยนะ เอ๊ะ แต่ว่านี่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” “ต๊าย เสียมารยาท ดูสมุดพกคนอื่นแล้วยังกล้าพูดจาแบบนี้อีกเหรออีตาลุงปากเสีย” ฉันนึกในใจพลางทำหน้าบูด พร้อมกับรีบกระชากสมุดพกออกจากมือของอีตาลุงปากเสียทันควัน ก่อนจะกล่าวแดกดันกลับไป “อะไรกันลุง...!? ที่บ้านไม่สอนรึไงว่าไม่ควรหยิบของส่วนตัวคนอื่นเค้ามาอ่านนะ แล้วอีกอย่างหนูจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย มันเป็นปัญหาส่วนไหนของลุงเหรอ” “ใครวะลุง... นี่เรียกฉันว่าลุงเลยเหรอ มันจะมากไปแล้วนะ” อีตานั่นถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ไม่ทันที่ฉันจะกำลังอ้าปากสวนกลับ ตาลุงไร้มารยาทก็ทำสีหน้าตกใจและรีบหยิบแว่นตาดำที่หนีบอยู่ที่คอเสื้อมาใส่ทันควันแล้วรีบวิ่งออกไป “เฮ้ย นี่ไร้มารยาทมากเลยนะ หาเรื่องคนอื่นแล้วหนีเหรอ ไม่แน่จริงนี่หว่า อีตาลุงปากเสีย ไอ้คนไร้มารยาท ไอ้...” ฉันด่าไล่หลังไปอย่างได้ที แต่ตานั่นก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมาด่ากลับเลยแม้แต่น้อย ฉันเดินหงุดหงิดมาจนถึงหน้าบ้านตัวเอง ซึ่งถูกล้อมรอบด้วย ไร่ลำไย ที่พ่อเลี้ยง นล… บิดาบังเกิดเกล้าของฉันปลูกไว้ ด้วยเหตุที่คุณพ่อจอมเข้มงวดไม่อนุญาตให้ลูกๆ ออกไปพักตามหอที่อยู่ใกล้โรงเรียน ฉันกับ หนูยา หรือ กันยา น้องสาว จึงต้องเดินทางไปกลับระหว่างโรงเรียนและบ้านซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรอยู่เนืองๆ หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ฉันก็เคลียร์การบ้านหน้าตักที่ไม่รู้ว่าพวกอาจารย์จะประเคนมาให้ทำไมตั้งมากมายขนาดนี้ จนถึงเวลามื้อค่ำ ซึ่งสมาชิกในครอบครัวจะต้องทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาตามกฎของคุณพ่อ ฉันจึงจำต้องละจากการบ้านและเดินออกจากห้องมา ทั้งๆ ที่กังวลอยู่ว่า จะบอกพ่อถึงเรื่องผลการเรียนล่าสุดยังไงดี “กรรณเอ้ย พ่อได้คุยกับคุณฟ้าแม่ของพายุแล้วนะ เพราะพ่อได้ยินว่าพายุกำลังจะไปสอบโรงเรียนเตรียมทหาร พ่อเห็นว่าแกเองก็หน่วยก้านก็ดีใช้ได้ พ่อก็เลยคิดว่าจะส่งเสียให้แกกับพายุแล้วก็หนูยาลงไปเรียนที่กรุงเทพด้วยกัน แกจะได้ สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร พร้อมกับพายุซะเลย” คุณพ่อเอ่ยบัญชาการระหว่างตักกับข้าวลงไปในจานของตัวเอง “หา...! ว่าไงนะฮะ สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหรอ” ฉันโพล่งถามเสียงดังอย่างลืมตัว และยิ่งกังวลไปถึงผลการเรียนที่เพิ่งออกมาในวันนี้ ด้วยรู้ว่าการจะเข้าเตรียมทหาร จำเป็นต้องสอบได้คะแนนสูงมากๆ “อ้าว...? ไม่ดีหรือไง แกเป็นผู้ชาย ก็ต้องเข้าโรงเรียนเตรียมทหารสิ ส่วนหนูยาเนี่ย ก็ไปพร้อมพี่เค้าเลย จะได้ไปเรียนอะไรๆ เจริญๆ” พ่อกล่าวพลางหันไปถามความเห็นจากลูกสาว จนฉันน้ำลายท่วมปาก ก่อนที่เจ้ายาจะตอบมาอย่างอ่อนน้อม “พ่อว่าไง หนูยาก็ว่าตามนั้นละค่ะ” “แต่พ่อ... หนูยาอายุเพิ่ง 14 เองนะ” ฉันพยายามทักท้วง แต่พ่อก็ไม่สนใจ แถมตอบกลับมาแบบมัดมือชกว่า “งั้นตกลงตามนี้นะ หลังจากจบ ม.6 แล้วแกก็สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารพร้อมพายุเลย ส่วนหนูยาก็ตามพี่ๆ เขาลงไปเรียนกรุงเทพนะหนูยา” ตกเย็นของวันศุกร์สุดท้ายของเดือน ฉันออกไปวิ่งรอบโรงเรียนตอนเย็นกับพายุเช่นเคย แต่กลับถูกสายตาของเด็กผู้หญิงร่วมสถาบันมากมายจับจ้องมองมาด้วยประกายตาพิกลๆ “พายุดูสิ ยายผู้หญิงกลุ่มนั้นคงคิดว่าฉันเนี่ยมาวิ่งกับนาย เพราะอยากจะอ่อยนายแน่ๆ เลย” ฉันเอ่ยกับเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงปลงๆ ทว่าพายุก็ได้แต่ยิ้มพยักหน้าไม่ออกความคิดเห็นใดๆ ฉันเลยจีบปากจีบคอกล่าวต่อไป “บอกเลยนะว่าการที่ฉันมาวิ่งกับนายเนี่ย ฉันไม่เคยคิดที่จะเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหมือนนายเลยนะ ฉันก็แค่ต้องการจะฟิตหุ่นให้เฟิร์มสวยงามแค่นั้น” “เราก็พอทราบ” “แต่พ่อฉันเนี่ยถึงขั้นจะส่งฉันกับน้องไปเรียนกรุงเทพพร้อมนาย เพื่อจะให้ฉันสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารกับนายเลยนะ” ฉันบ่นอย่างเหนื่อยใจ “เป็นไง อยู่ได้ไหม” พ่อถามสั้นๆ หลังจากที่พาทั้งฉันกับพายุและหนูยาไปยังคอนโดมิเนียมที่ตนเองได้ลงทุนซื้อไว้พร้อมกับจ้างคนงานหุ่นบึ้กมากมายมาช่วยขนย้ายข้าวของเข้าห้อง คอนโดแห่งนี้อยู่บริเวณชานเมืองใกล้กับทั้งสนามบินและสถานีรถไฟฟ้า พูดง่ายๆ ก็คือเป็นทำเลทอง ที่หากไม่ได้ร่ำรวยระดับพ่อฉัน ก็ยากที่จะได้ครอบครอง “สบายมากครับพ่อ” พายุเอ่ยตอบแทนฉัน ก่อนที่เจ้ายาจะตอบต่อเป็นลูกคู่ “กว้างขวางอยู่ได้ค่ะพ่อ” “กรรณ พ่อมียิมซ้อมมวยแนะนำให้แกนะ เดี๋ยวจะพาไปแนะนำให้รู้จักกับเทรนเนอร์เจ้าของยิมเลย” พอเห็นฉันเงียบ พ่อก็ชวนคุยก่อนจะบอกต่อไปอย่างอารมณ์ดี “ยิมเนี่ยเจ้าของชื่อ ธีรเดช หรือเรียกว่า พี่ธีร์ ก็น่าจะได้นะ น่าจะเป็นรุ่นพี่เราไม่กี่ปี เขาเป็นนักมวยเก่าที่ผันตัวมาเป็นเทรนเนอร์ ลูกก็ไปตามนำบัตรนี้นะ เดินทางไปได้ใช่ไหม” “ได้ฮะ” ฉันตอบพร้อมกับรับนามบัตรมา ก่อนจะต้องแอบตะลึงในความหล่อล่ำบึ้กของ “พี่ธีร์” “งั้นพ่อกลับก่อนนะ หนูยาเองก็ดูแลพวกพี่ๆ ให้ดีนะลูก” พ่อเอ่ยคำลา ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับพวกพี่ๆ คนงานสุดหล่อ และแล้วเมื่อแน่ใจว่าพ่อไปไกลแล้ว และ “รูมเมท” ทั้งสองก็หมดแรงจนไปนอนหลับอุตุบนเตียง ฉันก็... หยิบ Androcur และ ฮอร์โมนเพศหญิงทดแทน ออกมาจากกระเป๋า ด้วยจิตใจของฉันนั้นเป็นหญิงมาตั้งแต่เกิด แม้จะเพิ่งรู้สึกยอมรับตัวเองเมื่อไม่นานมานี้ว่าร่างกายที่เป็นผู้ชายไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนาอีกต่อไป แต่ปัญหาใหญ่ก็คือ... ถ้าพ่อรู้เรื่องเข้า เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป เพราะนอกจากพ่อจะเป็นคนมีอำนาจที่เผด็จการสุดๆ แล้ว แกยังหัวโบราณชนิดมอง LGBTQ เป็นพวกวิตถาร แบบพวก Conservative สมัยเก่า...!!สามปีต่อมา...ผ่านไปอย่างรวดเร็วนับจากวันที่ นพสูรย์ สวมแหวนให้กรรณ ชีวิตของทั้งคู่เข้าสู่ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข ความมั่นคง และการวางแผนสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง ทั้งคู่กำลังเตรียมงานแต่งงานอย่างเงียบ ๆ ควบคู่ไปกับการทำภารกิจสุดท้ายของ กรรณ คือการเรียนจบคณะบริหารธุรกิจวันนี้คือวันสำคัญยิ่งในชีวิตของกรรณ—วันรับปริญญาบัตร คณะบริหารธุรกิจ ณ หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง แสงแดดยามบ่ายสาดส่องกระทบชุดครุยสีดำขลิบทองของเธอ กรรณยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่รักเธอที่สุด หัวใจของเธอพองโตด้วยความภาคภูมิใจรอบตัวเธอเต็มไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัวและเพื่อนสนิทที่เดินทางมาแสดงความยินดี“ถ่ายรูปกลุ่มกันก่อนเลยค่ะ! กะทิอยากได้รูปครอบครัวใหญ่แบบเต็ม ๆ!” กะทิ ผู้เป็นเพื่อนรักสนิทและเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของกรรณกล่าวอย่างตื่นเต้น มือของเธอกำช่อดอกกุหลาบสีชมพูช่อใหญ่ที่จัดให้กรรณเองกับมือลูกไม้ เพื่อนรักอีกคน ซึ่งวันนี้แต่งตัวมาในชุดที่ดูดีเป็นพิเศษ ยืนอยู่ข้างกะทิและยิ้มอย่างยินดี “วันนี้แกสวยมากเลยนะกรรณ! เก่งที่สุด!”นพสูรย์ เจ้าบ่าวในอนาคตของกรรณ ยืนอยู่ข้างเธอในชุดสูทสีเทาอ่อน ดูโดดเด่นและส
แสงอรุณยามเช้าสาดส่องลอดผ้าม่านเนื้อดีเข้ามาใน ห้องนอนใหญ่ ของ นพสูรย์ ละเลียดไปบนผิวเปลือยเปล่า สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นจนแทบจะกลืนกินทุกสิ่ง กรรณ ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าปลอดภัยและเป็นของเธออย่างสมบูรณ์ ความรู้สึกอิ่มเอมใจจากค่ำคืนที่ผ่านมายังคงซึมซาบอยู่ในทุกอณูของร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นเป็นจังหวะแห่งความสุขนพสูรย์ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาคมกริบของเขามีประกายแห่งความรักและความเสน่หาที่ไม่อาจปกปิด เขาใช้ปลายนิ้วที่ยังคงสั่นเทาเล็กน้อยเกลี่ยเส้นผมสีดำขลับที่ปรกใบหน้าสวยหวานของเธอออกอย่างอ่อนโยน“ตื่นแล้วเหรอ เจ้าหญิง ของฉัน” เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าและเต็มไปด้วยความเสน่หา รอยยิ้มของเขาทำให้ดวงตาโค้งลงอย่างอบอุ่นกรรณซบหน้าลงกับแผงอกที่แข็งแกร่งของเขา สูดดมกลิ่นกายที่คุ้นเคย “ค่ะ... ฉันรู้สึกเหมือนกำลังฝันไปเลย เหมือนกำลังอยู่ในเทพนิยาย”“นี่ไม่ใช่ความฝัน ที่รัก” นพสูรย์กระชับอ้อมแขนรอบเอวบางของเธอแน่นขึ้น ราวกับต้องการตอกย้ำความจริง “นี่คือความจริงของเรา... ความจริงที่ฉันเฝ้ารอมานานแสนนาน”หมากฝรั่งกับการสารภาพรัก: สัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์นพสูรย์ยันตัวขึ้น
สองเดือนต่อมา ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ความสัมพันธ์ระหว่าง กรรณ และ คุณมาลี ผู้เป็นแม่แท้ ๆ รวมถึง กันยา น้องสาว ก็แน่นแฟ้นขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณมาลีเต็มใจที่จะชดเชยเวลาที่สูญเสียไปทั้งหมดวันหนึ่ง คุณมาลีชวนกรรณไปที่คลินิกศัลยกรรมชื่อดังแห่งหนึ่ง“ไหนบอกว่าจะพามาเดินเล่นคะคุณแม่” กรรณถามอย่างสงสัยคุณมาลีจับมือกรรณอย่างอ่อนโยน “วันนี้แม่มีของขวัญให้ลูก... เป็นของขวัญที่แม่รู้ว่าลูกอยากได้มาตลอด”กรรณเบิกตากว้าง เมื่อคุณมาลีแนะนำให้เธอรู้จักกับศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเริ่มอธิบายถึงการผ่าตัด เสริมหน้าอก และขั้นตอนของการ ผ่าตัดแปลงเพศ ที่ทันสมัยที่สุด“แม่จะทำให้ลูกได้เป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด... ทั้งร่างกายและจิตใจ” คุณมาลีกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรัก “นี่คือสิ่งที่แม่ควรจะทำให้ลูกนานแล้ว”น้ำตาของกรรณไหลอาบแก้มด้วยความตื้นตัน สิ่งที่เธอใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตกำลังจะเป็นจริงด้วยมือของแม่แท้ ๆ ที่เพิ่งค้นพบกัน“ขอบคุณค่ะคุณแม่... ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” กรรณโผเข้ากอดมารดาอย่างแน่นหนา ความรู้สึกของการได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงเติมเต็มทุกช่องว่างในหัวใจไม่นานหลังจากนั้น กรรณ
หนึ่งสัปดาห์หลังจากการเปิดตัวความสัมพันธ์อย่างกล้าหาญ กรรณ ต้องไปร่วมงานอีเวนต์วันเกิดของ น้องเขตแดน ลูกชายคนเล็กของเพื่อนสนิทในวงการของ นพสูรย์ แม้ว่านพสูรย์จะอาการดีขึ้นมากจนออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่ก็ยังพักฟื้นอยู่ที่บ้าน และให้กรรณไปร่วมงานพร้อมกับ ลูกไม้ และ กะทิ เพื่อแสดงความสัมพันธ์ที่แน่วแน่ขณะเดินทางในรถ กันยา น้องสาวก็โทรมาให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง แต่สีหน้าของกรรณยังคงมีความกังวลฉายชัด“แกอย่าไปคิดมากนะ กรรณ” ลูกไม้ตบบ่าเพื่อนเบาๆ “พ่อแกจะว่าอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้แกมี คุณนพสูรย์ และ คุณหญิงฤดี หนุนหลังแล้วนะ”“นั่นสิ กรรณ” กะทิเสริม “เรามาฉลองให้เขตแดนกันเถอะ อย่าให้คำพูดของคนใจร้ายมาทำลายวันดีๆ ของแก”กรรณพยักหน้า พยายามยิ้ม แต่ความกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับ พ่อเลี้ยงนล ยังคงกัดกินหัวใจเธอเมื่อกรรณ ลูกไม้ และกะทิเดินทางมาถึงงานวันเกิดที่จัดขึ้นอย่างหรูหราที่บ้านหลังใหญ่ของเจ้าภาพ พ่อเลี้ยงนลก็ปรากฏตัวขึ้นทันที เขาคงทราบล่วงหน้าว่ากรรณจะมา และตั้งใจมาเพื่อสร้างความวุ่นวาย“คิดจะมาแสดงความสวยงามเพื่อโปรโมตตัวเองอีกแล้วเหรอ ไอ้กรรณ” พ่อเลี้ยงนลเดินตรงเข้ามาหาเธอทันที สีห
เช้าวันรุ่งขึ้น บ้านสไตล์ลอฟต์ของ นพสูรย์ กลายเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราว มีเพียง นพสูรย์ (ที่ยังมีร่องรอยบาดเจ็บเล็กน้อย), กรรณ, และ พี่อู๊ด เท่านั้นที่อยู่ร่วมกัน พี่อู๊ดวางเอกสารและกราฟวิเคราะห์กระแสข่าวอย่างเคร่งเครียดบนโต๊ะกลางห้อง“ข่าวโจมตีหนักมาก นพ” พี่อู๊ดเปิดฉาก “Gossip Boy มันเขียนเหมือนถูกจ้างมาให้ฆ่ามึงเลย ทั้งเรื่องภาพลักษณ์ การถอนตัวของสปอนเซอร์ และโดยเฉพาะการขุดคุ้ยเรื่องครอบครัวของ น้องกรรณ”กรรณกำมือแน่นด้วยความรู้สึกผิด นพสูรย์รีบจับมือเธอไว้เพื่อส่งกำลังใจ“แผนของผมครับพี่” นพสูรย์พูดอย่างหนักแน่น “เราจะไม่หนี และจะไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธ เราจะสู้ด้วย ความจริงใจ และ ความรัก”พี่อู๊ดพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ดี! พี่ก็คิดแบบนั้น เราจะไม่จัดแถลงข่าว แต่เราจะปล่อย วิดีโอสัมภาษณ์แบบควบคุม”กลยุทธ์ "ความจริงจากหัวใจ"พี่อู๊ดอธิบายแผนการของตนเองอย่างละเอียด โดยมีใจความสำคัญคือการใช้ 'วิกฤต' เป็น 'โอกาส'1. จุดเปลี่ยนจากอุบัติเหตุ: ใช้ฉากเหตุการณ์รถชนเป็นจุดศูนย์กลางของการสื่อสาร เพื่อแสดงให้เห็นว่าความรักของทั้งคู่ไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย แต่เป็นความผูกพันระดับชีวิต โดยเน้นย้ำ
ห้องพักผู้ป่วยพิเศษของ นพสูรย์ ดูหรูหราผิดกับห้องพักผู้ป่วยทั่วไป แต่มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นจากการดูแลของ กรรณ ที่ไม่ยอมห่างไปไหนขณะที่กรรณกำลังปอกผลไม้ให้เขาอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูที่มาพร้อมกับร่างของคนสองคน คือ คุณหญิงฤดี มารดาของนพสูรย์ และ ท่าน ส.ส. บิดาของเขา โดยมี พี่อู๊ด ผู้จัดการส่วนตัวของนพสูรย์เดินนำหน้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“นพ! ลูกแม่! เกิดเรื่องแบบนี้ทำไมไม่รีบบอกแม่!” คุณหญิงฤดีรีบเดินเข้าไปที่เตียงด้วยความเป็นห่วงสุดขีด เธอจับมือลูกชายพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอ“ผมสบายดีครับแม่” นพสูรย์ตอบด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองกรรณที่ยืนอยู่ห่าง ๆ ด้วยความเกรงใจ “แม่ครับ... นี่ กรรณ ครับ”คุณหญิงฤดีหันไปมองกรรณอย่างพิจารณา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก่อนจะหันมามองนพสูรย์อย่างสับสนและตำหนิเล็กน้อย ส่วนท่าน ส.ส. พยักหน้าให้กรรณอย่างสุภาพ แต่ก็มีแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม“อู๊ด! แกปล่อยให้เรื่องบ้าอะไรมันเกิดขึ้นได้ยังไง!” คุณหญิงฤดีหันไปตวาดใส่ผู้จัดการส่วนตัวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “ลูกพี่ลูกน้องของฉัน! เธอรู้ไหมว่าการที่นพขับรถหนีออกมาเพราะเรื่องผู้หญิงมันจะกระทบงานข







