LOGIN“พี่ทำตามใจตัวเองดีกว่านะ” เสียงของกันยาเอ่ยออกมาจากห้องครัว ขณะที่ฉันกำลังดูรายการแดร็กเรซจากทีวีจอใหญ่ในห้องนั่งเล่น
“แต่ว่าพ่อจะยอมรับได้เหรอถ้าพี่เป็นกระเทย” “หนูรู้มาตลอดว่าพี่ไม่ได้อยากเป็นผู้ชาย ดังนั้นพี่ไม่ต้องไปสนใจคนรอบข้างหรอก แล้วเดี๋ยวหนูจะพยายามช่วยพูดกับพ่อให้ หนูเชื่อว่าซักวันนึงพ่อก็ต้องยอมรับในสิ่งที่พี่เป็น” กันยาเอ่ยแบบคนมองโลกในแง่ดี ซึ่งฉันก็ได้แต่หวังว่า อนาคตข้างหน้ามันจะสวยแบบที่หนูยาบอก เพราะแผนการเผด็จการที่พ่อตั้งใจจะให้ฉันสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารให้ได้ หลังจากย้ายเข้ามาอยู่เมืองกรุงได้เพียงแค่สัปดาห์เดียว ฉันก็ต้องเข้ายิมไป ต่อยมวย หลังเลิกเรียนเป็นประจำ ด้วยเหตุผลที่หนูยาบอกว่า เป็นทางเดียวที่จะช่วยให้พ่อไม่สงสัยระแคะระคาย วันนี้หลังเลิกเรียน ฉันจึงไปต่อยมวยตามปกติ โชคดีที่ยิมแห่งนี้เป็นยิมไฮโซ ที่นอกจากจะมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายแล้ว ยังมีดาราและนายแบบหล่อๆ มากมายมาซ้อม ให้เป็นอาหารตาระหว่างซ้อม ทำให้ฉันคลายเครียดไปได้พอสมควร หรือถึงแม้จะไม่มีชายหนุ่มงานดีมาซ้อม ฉันก็ยังมี พี่ธีร์ หรือ โค้ชธีรเดช เป็นอาหารตาเจ้าประจำ ด้วยหุ่นของพี่เขาที่งานดีขั้นเทพ ตัวพี่ธีร์ใหญ่มากๆ ใหญ่กว่าพี่ภีมอีก แผงอกเป็นลูกๆ เลย บ่งบอกว่าพี่ธีร์เล่นกล้ามมาอย่างทุ่มเทจริงๆ ผิวของพี่เขาเป็นสีน้ำตาลสวยเชียวค่ะ กล้ามท้องก็บึ้กเห็น ซิกแพค ชัดเจน จนฉันไม่อาจจะอดทึ่งกับหุ่นนักกีฬาที่สุดแสนจะ งานดี ของพี่ธีร์ได้เลย ขณะที่ฉันกำลังเพลิดเพลินกับการซ้อมไปพลาง ช้อนสายตามองใบหน้าหล่อระเบิดกับ หุ่นเทพบุตรกรีก ของพี่ธีร์ไปพลางๆ อยู่นั้นเอง เสียงบ่นพึมพำของใครบางคนก็เหมือนจะลอยมากระทบหูฉันว่า “โฮ่ โลกมันกลมแหะ” “กลมเหี้ยไรวะ...?” ฉันคิดในใจ พลางแอบคิดว่าเสียงที่ลอยมารบกวนการเชยชมหุ่นพี่ธีร์ในครั้งนี้ มันช่างคุ้นๆ หูพิกล ก่อนที่เจ้าของเสียงนั้นจะส่งเสียงแซวมาอีกแบบมีเจตนาจะกวนตีน “นี่เป็นเด็กผู้ชายทำไมไม่ถอดเสื้อต่อยมวยฮะ แล้วสรุปเป็นคนกรุงเทพรึเชียงใหม่กันเฮอะ ไอ้น้อง” เสียงรบกวนโสตประสาทนั้น ทำให้ฉันต้องหันไปมอง ด้วยหวังจะดูหนังหน้าอีตา กขค นั่นให้เต็มตา และในทันทีที่เห็นใบหน้าอันขาวใสหล่อตี๋ ซึ่งช่วยให้จำได้ทันทีว่า ที่แท้ก็คือตาลุงที่เคยเสียมารยาทเอาผลการเรียนของฉันไปดูที่เชียงใหม่เมื่อหลายเดือนก่อนนี่เอง “อย่ากวนสมาธิการซ้อมของฉันจะได้ไหม... ตาลุงกอริลล่า...!!” ฉันพูดแดกดันสวนกลับไป “กอริลล่ายังงั้นเรอะ...!! นี่เธอกล้าดียังไงมาเรียกฉันแบบนี้...!? ” ได้ผล... หึๆๆ ตาลุงตัวแสบโมโหหน้าแดงขึ้นมาทันที หึๆๆๆ แต่คิดเหรอว่า คุณหนูกรรณลูกพ่อเลี้ยงนลอย่างฉันจะสนใจบุคคลไร้มารยาทอย่างนาย...!! ฉันจึงค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนๆ พลางมองบน ก่อนจะหันกลับมาตั้งหน้าตั้งใจต่อยกระสอบทรายต่อ แต่แล้ว อีตากอริลล่านั่น ก็แหวมารบกวนประสาทหูของฉันอีกรอบ “เฮ้ยๆๆ ผู้ใหญ่คุยด้วยแล้วทำเชิดใส่แบบนี้หมายความว่าไงวะ แล้วเป็นผู้ชายทำไมถึงใส่เสื้อกล้ามมาซ้อมแบบนี้วะ ดูกูสิ... ชายชาตรีน่ะ มันต้องถอดเสื้อซ้อมแบบนี้...!! ” ตาแก่นั่นกล่าวเกทับเสียงสูง พร้อมกับถอดเสื้อของตัวเองออกเพื่อโชว์กล้ามอกอันใหญ่ผายและกล้ามเนื้อท้องลีนแบนราบด้วยเจตนาจะขิงใส่ฉัน แต่ขอโทษที หุ่นลีนๆ แบบนั้น ฉันไม่แลหรอกย่ะ สเปคฉันมันต้องบึ้กๆ แมนๆ แบบพี่ภีมกับพี่ธีร์ เชอะ ฉันนึกในใจพลางเชิดหน้าเชิดตาไม่สนใจ และตั้งหน้าตั้งตาต่อยมวยพร้อมกับเหล่มองพี่ธีร์ต่อไป “นายกรรณ บุญจันทร์... ม.6/4 เกรดเฉลี่ยรวม 2.79...” น้ำเสียงกวนตีนขึ้นจมูกอันส่อชัดถึงเจตนาจะแดกดัน ลอยมากระทบหู ทำให้ฉันถึงกับ ฟิวส์ขาด และแล้วไม่ทันได้คิดไตร่ตรองก่อน ร่างปราดเปรียวของฉันก็พลันหันไปประจัญหน้ากับตาลุงตัวแสบ ก่อนที่อุ้งตีนข้างถนัดของฉัน จะ ถีบไปกลางอก ของฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มแรงจนตัวแกล้มลง “โอ๊ย” ตาแก่ปากเสียร้องดังลั่น จนทำให้พี่ธีร์ต้องรีบวิ่งมาดู พอเห็นอีตานั่นนอนอยู่กับพื้น เขาจึงรีบเข้าไปพยุงดูอาการ “เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคุณ สูรย์ แล้วนี่ทะเลาะอะไรกัน” ประโยคสุดท้ายพี่ธีร์หันมาถามฉัน แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะนึกข้อแก้ตัวออก อีตาลุงกอริลล่านั่นก็ทำสำออย จนเหมือนนักแสดงรางวัลตุ๊กตาทอง “โอย... เจ็บมากเลยครับ พี่ธีร์ สงสัยข้อมือจะแพลงซะแล้ว” “วันนี้กรรณกลับบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ต้องพาคุณ นพสูรย์ ไปโรงพยาบาล” พี่ธีร์เอ่ยเชิงไกล่เกลี่ย ซึ่งก็ทำให้ฉันได้รู้ว่า ตาลุงไร้มารยาทนั่นชื่อ “นพสูรย์” ซึ่งฉันก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยได้ยินชื่อๆ นี้จากที่ไหนกันนะ... นึกไม่ออก...? “ว่าไงนะ จะเอาเรื่องลูกชายผมเหรอ เฮ้ย จะบ้ารึเปล่า ผู้ชายต่อยกันมันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เหรอคุณธีร์” เสียงที่ดังมาจากภายในห้อง ทำให้ฉันนึกรู้ได้ทันทีว่า พ่อต้องลงจากเชียงใหม่มาเยี่ยมแน่ๆ เอ... แต่คู่สนทนาของพ่อคือพี่ธีร์เหรอ...? ฉันนึกในใจ พลางหยุดมือที่จะหมุนลูกบิดประตูไว้แค่นั้น และเงี่ยหูฟังเสียงสนทนาต่อไป “ว่าไงนะ ทางโน้นเป็น ดารานักแสดงดาวรุ่ง ผู้จัดการส่วนตัวเลยไม่ยอมแน่ๆ เหรอ อ้อ... นี่หมายความว่า อีตุ๊ดส์นั่นจะมาใส่ร้ายว่าเจ้ากรรณลูกชายผมเป็นคนทำร้ายร่างกายฝ่ายนั้นก่อนใช่ไหม” เสียงพ่อที่ดังออกมาจากภายใน ช่วยให้ฉันแจ้งกระจ่างทันทีว่า ที่แท้ตาลุงกอริลล่านั่น ก็คือ นพสูรย์ นักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งเพิ่งจะมามีกระแสเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และดูเหมือนว่า ลุงอู๊ด... ซึ่งเป็นทั้งผู้จัดการส่วนตัวและน้าชายของอีตานั่น จะหาเรื่องฟ้องร้อง หาว่าฉันทำร้ายร่างกายตาลุงนั่น ทั้งๆ ที่ฝ่ายเขาต่างหากที่ปากเสียใส่ฉันก่อน “งั้นเอาอย่างนี้นะคุณธี ฝ่ายนั้นค่าเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ถึงจะยอมความ และทางคุณเองต้องการเท่าไหร่ก็ว่ามา” ประโยคต่อมาจากปากพ่อ ทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่า คุณพ่อใช้ไม้เด็ดที่คนไทยส่วนใหญ่รู้ๆ กันละ คือ... กระบวนท่า เงินตราฟาดหัว “พ่อ... หนูเสียใจ...” ฉันกล่าวเสียงอ่อย พลางเปิดประตูเข้าไปหาพร้อมกล่าวขอโทษ แต่สิ่งตอบรับที่ได้คือ พ่อกลับดึงฉันเข้าไปสวมกอด แถมตบหลังอย่างอ่อนโยน พร้อมกับเอ่ยชม “เยี่ยมมากลูก...!! เยี่ยมมากกก... ลูกผู้ชายมันต้องแบบนี้...!!!” หลังจากเรื่องได้กลับตาลปัตร ไปเป็นว่า พ่อภาคภูมิใจในตัวฉันมาก ที่ซัดตาลุงนพสูรย์นั่นจนลงไปนอนเพราะมากวนตีนฉันก่อน พ่อก็ให้ฉันไปอาบน้ำ ซึ่งในระหว่างที่ฉันกำลังทำความสะอาดร่างกาย ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์อีกรอบ และจากการสนทนาก็พอรับรู้ได้ว่า คนที่โทรมาคือพี่ธีร์ และเหมือนว่าลุงอู๊ดจะยังไม่ยอมง่ายๆ แต่นั่นกลับเหมือนทำให้พ่อของฉันยิ่งสนุกและอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก “กรรณ พ่อจัดการเรื่องที่ค่ายมวยเรียบร้อยแล้วนะ แต่แกไปซ้อมที่นั่นไม่ได้แล้ว เพราะอีตุ๊ดส์นั่น มันขอให้เจ้านายของพี่ธีร์แบนแก แลกกับการที่แม่งจะเอาดาราและนายแบบหล่อๆ ในสังกัดมาซ้อมที่นั่นฟรีๆ เพื่อเพิ่มเรตติ้งให้กับทางยิม...” พ่อเอ่ยสรุปสั้นๆ ตามสไตล์นักธุรกิจ ขณะที่ฉันก็พยักหน้ารับเงียบๆ พร้อมกับนึกฉุนในใจ เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ ตาลุงอสูรนั่นต่างหากที่เริ่มก่อน แต่ผลกลับลงเอยว่า ฉันผิด...!! แต่แล้วเพียงวินาทีต่อมา เสียงกลั้วหัวเราะของพ่อก็ลอยมากระทบหูฉันว่า “ต้องแบบนี้แหละกรรณ เป็นลูกผู้ชาย จะให้ใครมารังแกไม่ได้ พ่อภูมิใจในตัวลูกมากเลยนะ” ความเข้าใจผิดของพ่อ ทำให้ทั้งฉันและน้องสาวได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตามน้ำไป “แบบนี้พี่ก็ไปซ้อมมวยที่ค่ายของพี่ธีร์ไม่ได้แล้วใช่ไหม” กันยาเอ่ยถามเบาๆ หลังจากที่พ่อกลับไปแล้ว “ก็ใช่น่ะสิ แต่ก็ช่างมันเถอะ พี่ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ก็ไม่รู้สึกผิดด้วย เพราะคนเริ่มก่อนไม่ใช่พี่...” ฉันตอบเรียบๆ ก่อนที่เจ้ายาจะหัวเราะพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ “ฮ่าฮ่าฮ่า พ่อดูปลื้มพี่มากเลยนะ ดีใจยกใหญ่ที่รู้ว่าพี่มีเรื่องกับผู้ชายที่ตัวโตกว่าแล้วชนะ” “จะว่าไป ก็วันนี้แล้วซินะ ที่ผลการสอบของพวกเราจะออก” พายุเอ่ยแทรกขึ้น และคำพูดของเขา ก็ทำให้ฉันต้องหยิบ iPad คู่ใจขึ้นมา ก่อนจะล็อกอินเข้าไปในระบบเพื่อตรวจสอบรายชื่อ “เฮ้ย เราสอบติด” “จริงดิคะ” กันยาโพล่งขึ้นมา แต่น้ำเสียงบ่งบอกถึงความดีใจให้กับฉัน “จริงสิ พี่สอบติด คณะบริหารธุรกิจ” ฉันหันไปตอบ ก่อนที่พายุจะเอ่ยขึ้นบ้าง “เราคงต้องรีบเตรียมตัวสอบสมรรถภาพแล้วล่ะ เพราะเราเองก็ติดเตรียมทหารเหมือนกัน ยังไงๆ ช่วงที่เราไม่อยู่ ก็ดูแลหนูยาให้ดีๆ ด้วยนะ กรรณ” “พูดไปนั่น ยังไงๆ นายก็ยังจะต้องอยู่ที่นี่อีกสักระยะแหละน่า ที่สำคัญถึงเข้าเตรียมทหารไปแล้ว นายก็ยังกลับมาได้เป็นครั้งคราวอยู่แล้ว เพราะที่นี่กับนครนายกก็เดินทางไม่ได้ลำบากมากซักหน่อย” ฉันพูดเชิงไกล่เกลี่ย ขณะที่อีกใจ ก็ต้องแอบรู้สึกกังวลในเรื่องที่ไม่อาจบอกพ่อได้ว่า ฉันกำลังจะเป็นนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจไม่ใช่นักเรียนเตรียมทหาร...สามปีต่อมา...ผ่านไปอย่างรวดเร็วนับจากวันที่ นพสูรย์ สวมแหวนให้กรรณ ชีวิตของทั้งคู่เข้าสู่ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข ความมั่นคง และการวางแผนสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง ทั้งคู่กำลังเตรียมงานแต่งงานอย่างเงียบ ๆ ควบคู่ไปกับการทำภารกิจสุดท้ายของ กรรณ คือการเรียนจบคณะบริหารธุรกิจวันนี้คือวันสำคัญยิ่งในชีวิตของกรรณ—วันรับปริญญาบัตร คณะบริหารธุรกิจ ณ หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง แสงแดดยามบ่ายสาดส่องกระทบชุดครุยสีดำขลิบทองของเธอ กรรณยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่รักเธอที่สุด หัวใจของเธอพองโตด้วยความภาคภูมิใจรอบตัวเธอเต็มไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัวและเพื่อนสนิทที่เดินทางมาแสดงความยินดี“ถ่ายรูปกลุ่มกันก่อนเลยค่ะ! กะทิอยากได้รูปครอบครัวใหญ่แบบเต็ม ๆ!” กะทิ ผู้เป็นเพื่อนรักสนิทและเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของกรรณกล่าวอย่างตื่นเต้น มือของเธอกำช่อดอกกุหลาบสีชมพูช่อใหญ่ที่จัดให้กรรณเองกับมือลูกไม้ เพื่อนรักอีกคน ซึ่งวันนี้แต่งตัวมาในชุดที่ดูดีเป็นพิเศษ ยืนอยู่ข้างกะทิและยิ้มอย่างยินดี “วันนี้แกสวยมากเลยนะกรรณ! เก่งที่สุด!”นพสูรย์ เจ้าบ่าวในอนาคตของกรรณ ยืนอยู่ข้างเธอในชุดสูทสีเทาอ่อน ดูโดดเด่นและส
แสงอรุณยามเช้าสาดส่องลอดผ้าม่านเนื้อดีเข้ามาใน ห้องนอนใหญ่ ของ นพสูรย์ ละเลียดไปบนผิวเปลือยเปล่า สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นจนแทบจะกลืนกินทุกสิ่ง กรรณ ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าปลอดภัยและเป็นของเธออย่างสมบูรณ์ ความรู้สึกอิ่มเอมใจจากค่ำคืนที่ผ่านมายังคงซึมซาบอยู่ในทุกอณูของร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นเป็นจังหวะแห่งความสุขนพสูรย์ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาคมกริบของเขามีประกายแห่งความรักและความเสน่หาที่ไม่อาจปกปิด เขาใช้ปลายนิ้วที่ยังคงสั่นเทาเล็กน้อยเกลี่ยเส้นผมสีดำขลับที่ปรกใบหน้าสวยหวานของเธอออกอย่างอ่อนโยน“ตื่นแล้วเหรอ เจ้าหญิง ของฉัน” เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าและเต็มไปด้วยความเสน่หา รอยยิ้มของเขาทำให้ดวงตาโค้งลงอย่างอบอุ่นกรรณซบหน้าลงกับแผงอกที่แข็งแกร่งของเขา สูดดมกลิ่นกายที่คุ้นเคย “ค่ะ... ฉันรู้สึกเหมือนกำลังฝันไปเลย เหมือนกำลังอยู่ในเทพนิยาย”“นี่ไม่ใช่ความฝัน ที่รัก” นพสูรย์กระชับอ้อมแขนรอบเอวบางของเธอแน่นขึ้น ราวกับต้องการตอกย้ำความจริง “นี่คือความจริงของเรา... ความจริงที่ฉันเฝ้ารอมานานแสนนาน”หมากฝรั่งกับการสารภาพรัก: สัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์นพสูรย์ยันตัวขึ้น
สองเดือนต่อมา ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ความสัมพันธ์ระหว่าง กรรณ และ คุณมาลี ผู้เป็นแม่แท้ ๆ รวมถึง กันยา น้องสาว ก็แน่นแฟ้นขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณมาลีเต็มใจที่จะชดเชยเวลาที่สูญเสียไปทั้งหมดวันหนึ่ง คุณมาลีชวนกรรณไปที่คลินิกศัลยกรรมชื่อดังแห่งหนึ่ง“ไหนบอกว่าจะพามาเดินเล่นคะคุณแม่” กรรณถามอย่างสงสัยคุณมาลีจับมือกรรณอย่างอ่อนโยน “วันนี้แม่มีของขวัญให้ลูก... เป็นของขวัญที่แม่รู้ว่าลูกอยากได้มาตลอด”กรรณเบิกตากว้าง เมื่อคุณมาลีแนะนำให้เธอรู้จักกับศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเริ่มอธิบายถึงการผ่าตัด เสริมหน้าอก และขั้นตอนของการ ผ่าตัดแปลงเพศ ที่ทันสมัยที่สุด“แม่จะทำให้ลูกได้เป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด... ทั้งร่างกายและจิตใจ” คุณมาลีกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรัก “นี่คือสิ่งที่แม่ควรจะทำให้ลูกนานแล้ว”น้ำตาของกรรณไหลอาบแก้มด้วยความตื้นตัน สิ่งที่เธอใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตกำลังจะเป็นจริงด้วยมือของแม่แท้ ๆ ที่เพิ่งค้นพบกัน“ขอบคุณค่ะคุณแม่... ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” กรรณโผเข้ากอดมารดาอย่างแน่นหนา ความรู้สึกของการได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงเติมเต็มทุกช่องว่างในหัวใจไม่นานหลังจากนั้น กรรณ
หนึ่งสัปดาห์หลังจากการเปิดตัวความสัมพันธ์อย่างกล้าหาญ กรรณ ต้องไปร่วมงานอีเวนต์วันเกิดของ น้องเขตแดน ลูกชายคนเล็กของเพื่อนสนิทในวงการของ นพสูรย์ แม้ว่านพสูรย์จะอาการดีขึ้นมากจนออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่ก็ยังพักฟื้นอยู่ที่บ้าน และให้กรรณไปร่วมงานพร้อมกับ ลูกไม้ และ กะทิ เพื่อแสดงความสัมพันธ์ที่แน่วแน่ขณะเดินทางในรถ กันยา น้องสาวก็โทรมาให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง แต่สีหน้าของกรรณยังคงมีความกังวลฉายชัด“แกอย่าไปคิดมากนะ กรรณ” ลูกไม้ตบบ่าเพื่อนเบาๆ “พ่อแกจะว่าอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้แกมี คุณนพสูรย์ และ คุณหญิงฤดี หนุนหลังแล้วนะ”“นั่นสิ กรรณ” กะทิเสริม “เรามาฉลองให้เขตแดนกันเถอะ อย่าให้คำพูดของคนใจร้ายมาทำลายวันดีๆ ของแก”กรรณพยักหน้า พยายามยิ้ม แต่ความกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับ พ่อเลี้ยงนล ยังคงกัดกินหัวใจเธอเมื่อกรรณ ลูกไม้ และกะทิเดินทางมาถึงงานวันเกิดที่จัดขึ้นอย่างหรูหราที่บ้านหลังใหญ่ของเจ้าภาพ พ่อเลี้ยงนลก็ปรากฏตัวขึ้นทันที เขาคงทราบล่วงหน้าว่ากรรณจะมา และตั้งใจมาเพื่อสร้างความวุ่นวาย“คิดจะมาแสดงความสวยงามเพื่อโปรโมตตัวเองอีกแล้วเหรอ ไอ้กรรณ” พ่อเลี้ยงนลเดินตรงเข้ามาหาเธอทันที สีห
เช้าวันรุ่งขึ้น บ้านสไตล์ลอฟต์ของ นพสูรย์ กลายเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราว มีเพียง นพสูรย์ (ที่ยังมีร่องรอยบาดเจ็บเล็กน้อย), กรรณ, และ พี่อู๊ด เท่านั้นที่อยู่ร่วมกัน พี่อู๊ดวางเอกสารและกราฟวิเคราะห์กระแสข่าวอย่างเคร่งเครียดบนโต๊ะกลางห้อง“ข่าวโจมตีหนักมาก นพ” พี่อู๊ดเปิดฉาก “Gossip Boy มันเขียนเหมือนถูกจ้างมาให้ฆ่ามึงเลย ทั้งเรื่องภาพลักษณ์ การถอนตัวของสปอนเซอร์ และโดยเฉพาะการขุดคุ้ยเรื่องครอบครัวของ น้องกรรณ”กรรณกำมือแน่นด้วยความรู้สึกผิด นพสูรย์รีบจับมือเธอไว้เพื่อส่งกำลังใจ“แผนของผมครับพี่” นพสูรย์พูดอย่างหนักแน่น “เราจะไม่หนี และจะไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธ เราจะสู้ด้วย ความจริงใจ และ ความรัก”พี่อู๊ดพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ดี! พี่ก็คิดแบบนั้น เราจะไม่จัดแถลงข่าว แต่เราจะปล่อย วิดีโอสัมภาษณ์แบบควบคุม”กลยุทธ์ "ความจริงจากหัวใจ"พี่อู๊ดอธิบายแผนการของตนเองอย่างละเอียด โดยมีใจความสำคัญคือการใช้ 'วิกฤต' เป็น 'โอกาส'1. จุดเปลี่ยนจากอุบัติเหตุ: ใช้ฉากเหตุการณ์รถชนเป็นจุดศูนย์กลางของการสื่อสาร เพื่อแสดงให้เห็นว่าความรักของทั้งคู่ไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย แต่เป็นความผูกพันระดับชีวิต โดยเน้นย้ำ
ห้องพักผู้ป่วยพิเศษของ นพสูรย์ ดูหรูหราผิดกับห้องพักผู้ป่วยทั่วไป แต่มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นจากการดูแลของ กรรณ ที่ไม่ยอมห่างไปไหนขณะที่กรรณกำลังปอกผลไม้ให้เขาอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูที่มาพร้อมกับร่างของคนสองคน คือ คุณหญิงฤดี มารดาของนพสูรย์ และ ท่าน ส.ส. บิดาของเขา โดยมี พี่อู๊ด ผู้จัดการส่วนตัวของนพสูรย์เดินนำหน้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“นพ! ลูกแม่! เกิดเรื่องแบบนี้ทำไมไม่รีบบอกแม่!” คุณหญิงฤดีรีบเดินเข้าไปที่เตียงด้วยความเป็นห่วงสุดขีด เธอจับมือลูกชายพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอ“ผมสบายดีครับแม่” นพสูรย์ตอบด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองกรรณที่ยืนอยู่ห่าง ๆ ด้วยความเกรงใจ “แม่ครับ... นี่ กรรณ ครับ”คุณหญิงฤดีหันไปมองกรรณอย่างพิจารณา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก่อนจะหันมามองนพสูรย์อย่างสับสนและตำหนิเล็กน้อย ส่วนท่าน ส.ส. พยักหน้าให้กรรณอย่างสุภาพ แต่ก็มีแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม“อู๊ด! แกปล่อยให้เรื่องบ้าอะไรมันเกิดขึ้นได้ยังไง!” คุณหญิงฤดีหันไปตวาดใส่ผู้จัดการส่วนตัวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “ลูกพี่ลูกน้องของฉัน! เธอรู้ไหมว่าการที่นพขับรถหนีออกมาเพราะเรื่องผู้หญิงมันจะกระทบงานข







