“ท่านแม่ทัพขอรับ หรือว่าท่านยัง….”
“พวกเจ้าออกไปได้แล้วข้าจะนอนพัก พรุ่งนี้ต้องรีบออกเดินทางแต่เช้า”
""ขอรับ""
จางเต๋อไม่กล้าถามเขาซ้ำอีกรอบ แม้ว่าพวกเขาจะจากเมืองชิงโจวไปถึงสิบปีเต็มแต่ในตอนที่พวกเขาจากมา จำได้ว่าครั้งนั้นคุณชายพึ่งจะหายจากพิษไข้ที่ถูกโบยและตากฝนเพื่อไปช่วยคุณหนูเจียง
พวกเขาได้ยินคุณชายร้องไห้ตลอดทางพร้อมกับคำพูดว่า “เหตุใดต้องส่งเขามาไกลถึงเพียงนี้ เขาทำผิดถึงขนาดนี้เชียวหรือถึงให้อภัยกันไม่ได้” พวกเขาทั้งสองไม่กล้าเอ่ยปาก ทำได้เพียงแค่ปลอบใจคุณชายจนเขาสงบลงได้และเริ่มฝึกหนักอย่างตั้งใจนับแต่นั้นเป็นต้นมา
“พิธีปักปิ่นงั้นหรือ”
เฉินจวินเซียวเดินมาที่เตียงของเขาและค่อย ๆ หยิบบางอย่างออกมาจากห่อผ้าที่เขาสวมติดตัวเอาไว้ ในนั้นมีทั้งอาวุธและหีบไม้สีน้ำตาลเข้ม เมื่อเขาหยิบและเปิดออกมาในนั้นมีปิ่นทองที่ถูกทำขึ้นจากช่างฝีมือแดนเหนือแสงเงาสะท้อนจากปิ่นทองประดับมุกและทับทิมระย้าสีแดงถูกยกขึ้นมา
“สิบปีแล้วปีศาจน้อย ข้าชดใช้ให้เจ้าโดยถูกส่งมาอยู่แดนไกลนานถึงสิบปีเชียวนะ จากนี้ถึงคราวข้า...แก้แค้นเจ้าบ้างแล้ว”
ปิ่นนกยูงประดับถูกวางกลับไปในกล่องไม้ที่รองด้วยผ้ากำมะหยี่สีม่วงหรูหราและปิดลง เขาห่อเก็บอีกครั้งก่อนจะล้มตัวลงนอนและนึกถึงคำพูดขององครักษ์ของเขาเมื่อครู่
“นางงดงามจนได้สมญานามว่าธิดาบุปผาเซียน มีชายหนุ่มหลายคนเตรียมมอบของขวัญให้นางในวันทำพิธี…”
“ต่อให้เจ้างดงามเพียงใดเจ้าก็ยังคงเป็นปีศาจน้อยของข้าอยู่ดี ข้าปล่อยให้เจ้าเสพสุขในจวนสกุลเฉินมานานกว่าสิบปีแล้ว ได้เวลาที่เจ้าจะต้องชดใช้คืนข้าบ้างแล้วปีศาจน้อย”
สองวันถัดมา / เมืองชิงโจว
ขบวนกองทัพของแม่ทัพคนใหม่ของเมืองชิงโจวที่ควบตำแหน่งท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินชิงโจวค่อย ๆ เคลื่อนพลเข้ามาในเมืองที่ถูกประดับตกแต่งด้วยดอกเบญจมาศสีเหลืองไปทั่วเมืองตั้งแต่ประตูทางเข้า บุรุษหนุ่มในชุดเกราะสีเงินอาชาสีขาวค่อย ๆ นำกองทัพเข้าเมือง
“เขาอยู่นั่นเจ้าค่ะคุณหนู”
“คนผู้นั้นหรือคือท่านแม่ทัพเฉิน แม่ทัพคนใหม่ของเมืองชิงโจว”
“หลี่หนิงฮวา” บุตรีของใต้เท้า “หลี่เจา” ชะเง้อมองตามขบวนกองทัพที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าเมืองมาอย่างช้า ๆ แต่ใบหน้าของท่านแม่ทัพคนใหม่นั้นตราตรึงใจสตรีทั่วเมืองชิงโจวเพราะความรูปงามและสง่า ท่วงท่าที่บังคับบังเหียนอยู่นั้นมากไปด้วยเสน่ห์
อีกทั้งวันนี้แม่ทัพหนุ่มยังผูกรวบขึ้นสวมกวานสีเงินปล่อยหางม้ายาวอยู่ด้านหลัง ใบหน้าที่รูปงามดุจรูปปั้นในอารามหลวงยิ่งทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต่างชื่นชม
“ช่างรูปงามยิ่งนัก”
“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ”
“นั่นผู้ใดกัน”
“ดูเหมือนจะเป็นบุตรของขุนนางกรมขุนนางนะขอรับ ชื่ออะไรนะ…”
“คุณหนูหลี่ บุตรสกุลหลี่ขุนนางกรมขุนนางขอรับ”
“อ้อ งั้นหรือ”
“ท่านแม่ทัพ ดูเหมือนว่านางจะเตรียมช่อดอกเบญจมาศมาด้วย หรือว่า…นางคิดจะโยนให้กับท่าน”
“ไร้สาระ รีบไปเถอะ”
“เอ่อ ขอรับ”
“อ้าว!! เหตุใดจึงวิ่งผ่านไปรวดเร็วนักเล่า ข้ายังไม่ทันได้โยนดอกไม้ไปให้เขาเลย”
“คุณหนูเจ้าคะ จะลองไปที่หน้าจวนสกุลเฉินดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เอาหรอก ถึงอย่างไรก็ต้องมีงานเลี้ยงต้อนรับอยู่แล้ว เอาไว้พบกันในวันนั้นจะดีกว่าข้าเป็นสตรีก็ต้องเก็บตัวหน่อยเจ้าว่าหรือไม่เล่า”
“เจ้าค่ะ ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า!!…ที่นั่นยังมีเจียงลี่หลิน เหตุใดข้าถึงลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปได้นะ”
“แต่ว่าคุณหนูเจ้าคะ เห็นว่าท่านแม่ทัพไม่ชอบหน้าคุณหนูผู้นั้นนี่เจ้าคะ ถึงขั้นเกลียดเลยนะเจ้าคะ”
“จริงหรือ!! เป็นไปได้เช่นไรกันแล้วทำไมพวกเขาถึงต้องเกลียดกัน”
“คือเรื่องนี้….”
นับว่าสาวใช้ของหลี่หนิงฮวาเตรียมการมาเป็นอย่างดีและเล่าเรื่องในสกุลเฉินให้นางฟังจนนางเริ่มยิ้มออกมาได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะไม่เคยรู้ว่าสกุลเฉินมีบุตรชายที่เก่งกาจเช่นนี้อยู่ก็ตาม แต่ในเมื่อวันนี้ได้เห็นแม่ทัพเฉินน้อยแล้วนางก็ยิ่งรู้สึกว่าชอบเขา
“เขาช่างเหมาะสมกับข้ายิ่งนัก ทั่วเมืองชิงโจวนี้ไม่มีบุรุษใดที่ต้องตาต้องใจข้าเท่าเขาอีกแล้ว”
“คุณหนู แล้วคุณชายหย่งเล่าเจ้าคะ”
“เฮ้อ แม้ว่าจะรูปงามแต่คุณชายหย่งเป็นบัณฑิตที่เอาใจยากเมื่อเทียบกับแม่ทัพเฉินผู้นี้แล้วเขาน่าสนใจกว่ามากนัก ขอเพียงครั้งนี้ไม่มีเจียงลี่หลินมาวุ่นวาย บุรุษผู้นี้ไม่พ้นต้องเป็นเขยสกุลหลี่เป็นแน่”
หลี่หนิงฮวามองตามขบวนกองทัพที่มุ่งตรงไปยังจวนแม่ทัพเฉินพร้อมกับรอยยิ้มที่คาดหวังอยู่ไม่น้อยว่านางจะต้องเป็นสตรีในดวงใจท่านแม่ทัพคนใหม่แห่งเมืองชิงโจวผู้นี้อย่างแน่นอน
จวนสกุลเฉิน
“มาแล้วเจ้าค่ะ มาแล้ว ๆ”
“ท่านแม่ทัพมาถึงแล้ว”
“หลินเอ๋อร์ พี่เจ้ามาแล้วรีบ ๆ ออกไปรอต้อนรับเร็วเข้า”
“จะ…เจ้าค่ะท่านป้า”
ลี่หลินที่ยืนถือช่อดอกเบญจมาศสีเหลืองและขาวที่นางทำขึ้นมาด้วยตนเองด้วยมือที่สั่นและหัวใจที่เต้นรัวดุจกลองศึก เสียงอาชาของบรรดากองทัพค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมกับธงสีแดงขาวที่มีสัญลักษณ์ราชสีห์ของสกุลเฉินอยู่
“คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดท่านถึงได้ตัวสั่นเช่นนี้เจ้าคะ”
“คุณหนู ท่านยืนไหวอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
“แม่นม ข้า…. ข้ายังไหวอยู่”
“เหตุใดท่านจึงได้หายใจแรง หอบถี่เช่นนี้เจ้าคะคุณหนู ท่านคงมิได้…. แม่นมแย่แล้วอาการหอบของคุณหนูกำเริบหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ ๆ ข้าไม่ได้เป็นอะไร จริง ๆ นะไม่ต้องห่วง ขบวนกองทัพมาถึงแล้ว ท่านป้ากับท่านลุง…”
“รีบไปเถอะเจ้าค่ะ นายท่านทั้งสองอยู่หน้าจวนแล้ว”
“ได้สิ ข้าไป ข้า…ไม่เป็นไร”
เจียงลี่หลินค่อย ๆ เดินก้าวออกไปด้านหน้าจวน เฉินฮูหยินดึงนางมายืนใกล้ ๆ เมื่อขบวนม้าสีขาวเข้ามาใกล้ และเพียงอึดใจเดียว บุรุษหนุ่มรูปร่างกำยำก็ลงจากหลังอาชาที่สง่างามลงมาพร้อมกับคำนับให้กับทั้งสอง
“เฉินจวินเซียว คารวะท่านพ่อท่านแม่ขอรับ”
“ลูกแม่!! เจ้ากลับมาแล้วจริง ๆ ไหนมาให้แม่ดูหน้าเจ้าให้ชัด ๆ หน่อยเซียวเอ๋อร์ของแม่ จากกันนับสิบปีไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเติบโตขึ้นมารูปงามเช่นนี้ เจ้าสบายดีหรือไม่เจ็บไข้ได้ป่วยบ้างหรือเปล่า เจ้าไม่ค่อยตอบจดหมายของแม่จนแม่ใจคอไม่ดีเลย”
“แม่ของเจ้าบ่นทุกวันหากว่าเจ้าไม่กลับมาเห็นทีพวกเราคงได้อพยพไปที่เมืองเหนือเพื่อไปอยู่กับเจ้าที่โน่นเป็นแน่”
“ท่านพ่อ ขออภัยจริง ๆ ขอรับทางเหนือตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเท่าใดนัก อากาศก็กำลังดีเพียงแต่ว่าการขนส่งและกว่าที่ข้าจะได้รับจดหมายอาจจะล่าช้าไปบ้างก็เท่านั้น ข้าสบายดีขอรับ”
“ยอดเยี่ยมเหลือเกินเจ้ากลับมาครั้งนี้จะไม่กลับไปแล้วใช่หรือไม่”
“ฮูหยิน ลูกเราได้รับยศแม่ทัพแล้วจากนี้จะไปที่ใดได้ก็ต้องอยู่ในเมืองชิงโจวสิ”
“ท่านแม่ ลูกอกตัญญูไม่ได้อยู่ดูแลท่าน ตลอดสิบปีนี้ท่านสบายดีหรือไม่ ได้ข่าวว่าท่านไม่สบายบ่อยครั้ง”
“แม่ไม่เป็นอะไรเลยเจ้าดูแม่สิ แม่ยังแข็งแรงดีทุกอย่างนี่หากไม่ได้หลินเอ๋อร์คอยดูแลก็คงแย่ นางน่ะเก่งสารพัดทั้งจัดยาให้และคอยดูแลสุขภาพทั้งท่านพ่อเจ้าและแม่ เจ้าดูนี่สิชุดนี้นางก็เป็นผู้ตัดเย็บและปักผ้าด้วยตัวเอง งดงามหรือไม่เล่า”
“ขอรับ งดงาม…...ยิ่งนัก”
“หลินเอ๋อร์มานี่เร็ว ๆ สิรีบมาทักทายพี่เขาหน่อย เจ้าอุตส่าห์ตื่นเพื่อจัดเตรียมของต้อนรับพี่ของเจ้าด้วยตนเองเอาไว้ตั้งมากมายมิใช่หรือ”
สตรีตัวเล็กในชุดสีม่วงอ่อนที่ขับกับผิวขาวของนางแม้จะดูบอบบางแต่นางสูงขึ้นมากแล้วจากความทรงจำของเขาในครั้งก่อน ช่อดอกเบญจมาศในมือของนางสั่นเล็กน้อยเมื่อเดินเข้ามาหาเขา
ใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ในเวลานี้เติบโตขึ้นจนเป็นสตรีที่งดงาม แม้แต่จางเต๋อและจางอี้ก็อดตกตะลึงในความงามนั้นไม่ได้ แน่นอนว่า รวมถึงแม่ทัพหนุ่มอย่าง “เฉินจวินเซียว” ที่มองนางราวกับตกอยู่ในภวังค์อยู่สักพักเช่นกัน
“เจียงลี่หลินคารวะท่านแม่ทัพเฉิน ยินดีต้อนรับท่านกลับสู่เมืองชิงโจวเจ้าค่ะ”
“ท่านพี่!!”“อะไรอีกงั้นหรือ”“ท่าน…ต้องทำพิธีเปิดหน้าเจ้าสาวก่อนเจ้าค่ะ”“นั่นสิข้าลืมไปเลยหากเจ้าหายใจไม่สะดวกจะแย่เอานะ ไหนล่ะไม้เปิดนั่น อ้อ อยู่นี่เอง ทำไมพิธีการถึงได้เยอะเช่นนี้กันนะ”“เฉินจวินเซียวท่านบ่นตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนเช้า มาในตอนนี้ก็ยังไม่เลิกบ่นอีก เช่นนั้นไม่แต่งดีหรือไม่เจ้าคะ”“ไม่นะ!! ลี่หลินวันนี้เป็นวันมงคลใหญ่เจ้าจะพูดเช่นนี้หาได้ไม่ ข้าไม่ยอมนะ ”“ท่านเอาแต่บ่นจนข้าคิดว่าท่านไม่เต็มใจจะแต่งงาน”“ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าจะเปิดแล้วนะ”จวินเซียวมือสั่นเล็กน้อยเมื่อใช้ไม้มงคลที่ผูกโบสีแดงเอาไว้ค่อย ๆ เลื่อนเข้าไปในผ้าสีแดงและค่อย ๆ เปิดหน้าเจ้าสาวเอาไว้ เจียงลี่หลินที่ถูกแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าที่จัดจ้านกว่าเดิมด้วยสีแดงสดแต่กลับงดงามราวดอกโบตั๋นในฤดูหนาวที่เลอค่ายิ่งกว่าบุปผาใดในใต้หล้าสำหรับเฉินจวินเซียว“เจ้า…ช่างงามยิ่งนัก งามจนข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นของข้า เจียงลี่หลินข้าควรรู้มานานแล้วว่าข้ารักเจ้าและไม่สามารถปล่อยเจ้าไปที่ใดได้นับตั้งแต่เจ้าก้าวเข้ามายังสกุลเฉินแห่งนี้”“ท่านพี่ข้าเองก็เช่นกันเจ้าค่ะ วันนี้ท่านดูสง่างามในชุดเจ้าบ่าวสีแดงสดนี้ ช่างรูปงามยิ่งนัก
“เปล่านะขอรับ ข้าเพียงแค่ได้ยินมาว่าผู้ที่ตั้งครรภ์ควรนอนพักให้มาก ๆ จึงปล่อยให้นางนอนพักต่ออีกสักหน่อยเพราะก่อนหน้านี้นางไปทัพคงอ่อนเพลียมากอย่าไปรบกวนนางเลยขอรับ”“เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ”“ท่านแม่ข้าฝากดูแลลี่หลินก่อนนะขอรับแล้วลูกจะรีบกลับ”“เจ้ารีบไปเถอะทางนี้แม่ดูแลให้เองไม่ต้องห่วง”จวินเซียวและใต้เท้าเฉินลู่เดินทางออกจากจวนทันที พวกเขาพบกับหย่งเล่อหานที่เข้าวังมาเช่นกันก่อนที่ทั้งหมดจะเข้าเฝ้าท่านอ๋องในห้องทรงงานเล็ก“อาการขององค์ชายรองดีขึ้นมากแล้ว เขารู้เรื่องขององค์หญิงและไม่ได้คิดติดใจเอาโทษกับเราเพราะทราบสถานการณ์ครั้งนี้ดี อีกอย่างเขารู้ตั้งแต่คืนที่นางถูกพาตัวไปแล้วแม้ว่าอยากจะช่วยก็คงสุดกำลังเพราะรู้ดีว่าข้าศึกคงไม่มีทางปล่อยนางเอาไว้เป็นแน่”“เช่นนั้นเงื่อนไขการเจรจาที่ต้องสมรส…”“องค์ชายรองยอมรับเงื่อนไขที่ข้าส่งมอบให้แล้ว เขาตกลงจะครองเมืองเสิ่นที่อยู่ติดกับอี้โจวของเรา ส่วนแคว้นเว่ยก็ตกลงลงนามสัญญาสงบศึกสามสิบปีและส่งมอบค่าธรรมเนียมพ่ายทัพให้กับแคว้นข่านเล่อและชิงโจวตามที่เรียกแลกกับการส่งองค์ชายเพียงคนเดียวกลับแคว้น”“ท่านอ๋อง กระหม่อมยังอยากให้ทางเราตกลงกับข่านเล่ออี
“ถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องยอมรับข้อเสนออีกทั้งต้องเสียทั้งค่าธรรมเนียมพ่ายศึกอีกสองเท่าทั้งตอนแพ้ที่อี้โจวและชิงโจว”“หากเลือกจะยอมแพ้ตั้งแต่ที่อี้โจวพวกเขาคงไม่สูญเสียมากถึงเพียงนี้”“เพราะความละโมบของฮ่องเต้แคว้นเว่ยที่เกือบจะลืมศึกภายในที่รออยู่ข้างหลังดังนั้นครั้งนี้เขาคงคิดอะไรได้ ยอมเสียน้อยเพื่อได้มาก ดังนั้นชิงโจวและข่านเล่อจึงได้รับประโยชน์จากการศึกในครั้งนี้ ว่าแต่แผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“เกือบหายดีแล้วขอรับท่านพ่อ อีกสองสามวันก็ฝึกดาบได้แล้วขอรับ”“เจ้าก็ยังใจร้อนอีกเช่นเคย ไม่ควรหุนหันพุ่งเข้าโจมตีหนึ่งต่อสามสิบเช่นนั้นอีก ลืมไปแล้วหรือว่ามิได้ตัวคนเดียวแล้วยังมีหลินเอ๋อร์และลูกของเจ้ารออยู่”“ขอรับท่านพ่อ ท่านสั่งสอนได้ถูกต้องแล้วลูกไม่กล้าใจร้อนอีกแล้วขอรับ”“เอาเถอะ ยังดีที่เจ้าส่งม้าเร็วมาแจ้งแผนสำรองให้ท่านอ๋องได้ทันเวลา”“แต่แผนที่จะให้ลี่หลินไปที่นั่นข้ามิได้บอกเอาไว้นะขอรับ”“กุนซือของเจ้าทูลท่านอ๋องเอาไว้น่ะสิ คุณชายหย่งบอกว่าหากว่าแคว้นเว่ยใช้แผนสกปรกถึงที่สุด เราเองก็ต้องใช้แผนการที่พวกเขาคาดไม่ถึงเช่นกัน ดังนั้นจึงได้มาขอร้องหลินเอ๋อร์ด้วยพระองค์เองอีกทั้
“ฮูหยินเจ้าคะ”“ช่างเถอะ เร็วเข้ารีบเอาดอกไม้มาข้าจะโปรยรับนายท่านกับ…”“ฮูหยิน ท่านแม่ทัพกับฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”“เซียวเอ๋อร์…. หลินเอ๋อร์กลับมากันแล้ว พวกเขากลับมาแล้ว”""ท่านแม่""จวินเซียวและลี่หลินที่เปลี่ยนมานั่งม้าของจวินเซียวค่อย ๆ บังคับบังเหียนม้ามายังหน้าประตูจวนสกุลเฉินก่อนที่จวินเซียวจะลงม้ามาก่อนและพยุงลี่หลินลงมาและคุกเข่าตรงหน้าเฉินฮูหยิน“ลูกกลับมาแล้วขอรับท่านแม่”“เซียวเอ๋อร์ เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยพร้อมกับชัยชนะ ยอดเยี่ยมยิ่งนักแม่ภูมิใจในตัวเจ้า”“ท่านแม่ ครั้งนี้หากมิได้ลี่หลินไปช่วยลูกไว้ชิงโจวอาจจะไม่ชนะรวดเร็วเช่นนี้ขอรับ”“ท่านแม่”“เจ้านะเจ้า หากมิใช่เป็นท่านอ๋องที่เสด็จมาขอร้องถึงจวนมีหรือแม่จะยอมให้เจ้าออกไปตรากตรำข้างนอก ลุกขึ้นเร็ว ๆ เข้า ลุกขึ้น แม่นมเร็วเข้าพยุงฮูหยินน้อยเข้าไปข้างในจวนก่อนอย่าให้กระทบ…”“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าขี่ลี่เยว่มาช้า ๆ ไม่กระทบกระเทือนหลานของท่านแม่แน่ขอรับ”“เจ้า…. รู้แล้วอย่างนั้นหรือ ข้าคิดเอาไว้แล้วเชียวว่าหลินเอ๋อร์คงอยากจะบอกเจ้าด้วยตัวเองไปเถอะรีบเข้าไปข้างในกันก่อนข้าจะรอท่านพ่อของเจ้า”“ท่านพ่อเข้าวังไปกับท่านอ๋องขอรับท่
“คือว่า เรื่องของสกุลเจียง…. เมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น เจ้า…”“เจ้าคะ??”“สาเหตุที่แคว้นเว่ยที่ลักลอบเข้ามาขโมยตำรับยาของสกุลเจียงนั่นก็เพราะ…. สกุลเจียงสามารถช่วยเหลือกองทัพของสกุลเฉินเอาไว้ได้ ดังนั้นจึงบุกสกุลเจียงเพื่อข่มขู่เอาตำรับยาไปรักษาฮ่องเต้ของแคว้นเว่ยแต่ว่า….”“พ่อข้ามิได้ให้ไปและพวกมันก็ทำทุกวิถีทาง ทั้งยื่นข้อเสนอและเงินจำนวนมากแต่เพราะคำมั่นสัญญาที่มีกับสกุลเฉินและความจงรักภักดีกับฝ่าบาทจึงไม่ยอมมอบให้ ดังนั้นสกุลเจียงของข้าจึงถูกโจมตีเพื่อแย่งตำรับยานั้น”“เจ้ารู้ทั้งหมดเลยงั้นหรือ”ลี่หลินหันมายิ้มให้จวินเซียว และนี่คงเป็นสิ่งที่จวินเซียวทราบมาก่อนแล้วและคิดว่านางคงจะไม่ทราบเพราะในครั้งนั้นนางยังเด็กมาก เขาจึงพยายามไม่เข้าใกล้นางและหาเรื่องนางเพื่อจะให้ตัวเองไม่รู้สึกผิดกับลี่หลินเพราะเขายอมรับไม่ได้ว่าสกุลเจียงต้องถูกฆ่าเพราะสกุลเฉินเป็นต้นเหตุนั่นเอง แต่ที่จริงตั้งแต่เริ่มจนจบเจียงลี่หลินรับรู้มาโดยตลอด“รู้เจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่ไม่เคยปิดบังเรื่องนี้กับข้าด้วยที่สกุลเจียงทุกคนมีวิชาแพทย์ติดตัวตั้งแต่เด็ก ทุกคนรู้ว่าชีวิตของหมอล้วนแขวนอยู่บนเส้นด้ายเสมอ บางครั้งการช่วย
ลี่หลินหันไปมองแม่ทัพเฉินที่ยังทำหน้าโมโหและไม่สนใจนางอีกครั้งพร้อมกับส่ายหัวให้กับคนหัวดื้ออย่างจวินเซียวอีกครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะในเมื่อท่านไม่ให้ข้าเช็ดตัวให้ ข้าก็จะออกไปเรียกจางเต๋อมาจัดการต่อเอง”“เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวก่อนสิ!! เจ้าจะไปจริง ๆ หรือ”ลี่หลินลุกขึ้นเพื่อลองใจเขา จวินเซียวเห็นว่านางลุกขึ้นจะไปจึงรีบดึงแขนนางเอาไว้ เขาก็แค่ปากแข็งไปอย่างนั้นเองแม้ว่าจะโกรธนางมากแต่ก็ดีใจที่ได้เห็นนางในวันนี้“ท่านแม่ทัพมีสิ่งใดจะพูดอีก ท่านต้องรีบเช็ดตัวและเปลี่ยนชุดเพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อ”“ข้า…ยอมแล้วเจ้าเช็ดตัวให้ข้าไม่ต้องออกไปเรียกจางเต๋อ”“ขออภัยท่านแม่ทัพแต่ว่าข้างนอกนั่นมีคนบาดเจ็บอีกมากและยังต้องการหมอ”“แต่ข้าเป็นแม่ทัพแล้วเจ้าก็เป็นฮูหยินของข้านะ!! ต้องดูแลข้าก่อนสิ ทหารคนอื่น ๆ พวกเขามีแพทย์สนามดูแลอยู่แล้ว”จวินเซียวดึงนางลงมานั่งที่ตักพร้อมกับสูดกลิ่นกายของนางที่ห่างหายเกือบสามเดือนจนสุดลมหายใจ ลี่หลินมิได้เบี่ยงกายหนี นางรู้ดีว่าจวินเซียวก็ทำปากดีไปเช่นนั้นเองและในตอนนี้นางเองก็รู้วิธีการจัดการคนปากดีอย่างเขาได้เรียบร้อยแล้ว“เช่นนั้นก็อยู่เฉย ๆ ข้าจะไปเตรียมของมาเช็ดตัวให้ท่าน”