“เจ้าสิบสี่ พี่สี่ทำอะไรเปิดเผยจริงใจไม่เหมือนพี่แปดที่ปิดบังซ่อนเร้นภายนอกโปรยคำหวานแต่ข้างในยากหยั่งถึง”
“ข้ายอมให้เขาโปรยคำหวานดีกว่าต้องมาทนดูสีหน้าบึ้งตึงของพี่สี่”
“นี่ไง! สำเร็จแล้วววว เก๊ามู่เฉินเจ้าใช่ไหม เจ้าทำเป็นเจ้าใช่ไหม”
มีบางคนที่อยู่เหนือความขัดแย้ง
อิ๋นจื่อตะโกนเสียงดังอย่างดีใจกอดกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่นคล้ายกลัวกระดาษจะหายไป อิ๋นจื่อวิ่งออกไปอย่างรวจเร็วกระโดดคว้าตัวเก๊ามู่เฉินที่นอนนิ่งกำลังจะหลับใหลมากอดไว้แน่นอย่างดีใจ
ก่อนจะผละออกและเขย่าให้เก๊ามู่เฉินตื่นเต็มตา อิ๋นเจิ้งและอิ๋นเสียงที่ตามมามองอย่างงุ่นงงมีเพียงอิ๋นถีที่ยิ้มกว้างเหมือนภูมิใจ
“อะไร อะไร องค์ชายสาม ท่านใจเย็นๆ”
เก๊ามู่เฉินสะลึมสะลือ
“เจ้าใช่ไหม เจ้าทำใช่ไหม กระดาษพวกนี้ข้าเห็นเจ้าเอาวางไว้”
“ท่านอ่านแล้วหรือ”
“ใช่ ไป ไปกับข้าเดี๋ยวนี้เลย”
“เดี๋ยวๆ ไปไหนองค์ชายสาม ข้าจะนอนข้าเวียนหัว”
อิ๋นจื่อกำรอบข้อมือเก๊ามู่เฉินแน่นพยายามจะดึงเขาให้ลุกขึ้นจากที่นอน อิ๋นเจิ้งกระแอมเสียงดังทีหนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วและถามอย่างใจเย็น
“นี่มันเรื่องอะไรกันองค์ชายสาม ข้าไม่เข้าใจ”
อิ๋นจื่อไม่ได้สนใจเสียงอย่างอื่นแต่โวยวายเสียงดังและลากเก๊ามู่เฉินสุดแรง อิ๋นถีเห็นแบบนั้นก็กล่าวเหมือนตัวเองมีความดีความชอบในเรื่องนี้ด้วย
“นั้นคือสิ่งที่ท่านพ่อมอบหมายให้พี่สาม แต่เก๊ามู่เฉินสามารถให้คำตอบได้”
“เจ้าคนเลี้ยงม้า สามารถถึงกับไขปริศนาหาคำตอบในสิ่งที่องค์ชายสามผู้รอบรู้ไม่อาจไขได้อย่างนั้นหรือ”
อิ๋นถีพยักหน้าขึ้นลง อิ๋นเจิ้งขมวดคิ้วดกดำ
“โอเคๆ ข้าลุก ข้าลุกแล้ว”
เก๊ามู่เฉินคลานลงจากเตียงและปัดเนื้อตัวเสียใหม่
“เจ้าพร้อมแล้วงั้นเรา ไปกัน”
“เดี๋ยวๆ ไปไหนน ท่านยังไม่บอกข้าเลย”
“ไปหาฮ่องเต้”
คังซีไล่สายตาไปบนแผ่นกระดาษสีเหลืองอมน้ำตาล พยักหน้าขึ้นลง
“แม้จะมีคำตอบในใจ ผลลัพธ์ที่ได้เหมือนกันแต่วิธีทำต่างออกไป ห่าว (ดี) น่าชื่นชมการศึกษาเรื่องนี้ยังต้องแตกแขนงไปอีกไกล เจิ้น (ข้า) ยังคิดว่าองค์ชายสามใช้เวลาไม่น้อยในการไขความกระจ่างแต่ก็ถือว่า ไม่นานเท่าที่คิดน่าชื่นชมยิ่งนัก จดบันทึกไว้ในจดหมายเหตุต้าชิง”
“เสด็จพ่อลูกไม่อาจรับความดีความชอบไว้ด้วยเป็นเขาที่ทำเรื่องนี้สำเร็จ”
อิ๋นจื่อชี้มือไปที่เก๊ามู่เฉินที่ยื่นตัวลีบด้วยแค่เพียงเห็นบัลลังก์มังกรสีทองอร่ามกับองครักษ์ท่าทีขึงขังที่ยืนรายล้อม ขันทีนับสิบ และ นางกำนัลที่ยืนแสตนบายและคังซีฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ของต้าชิง เก๊ามู่เฉินก็ถึงกับมือไม้อ่อน คังซีเลยนะเว๊ยไม่ใช่ลุงข้างบ้านที่เห็นก็แทบจะกลั้นขำไว้ไม่ไหวนี่คือคังซีเขากำลังอยู่ต่อหน้าคังซี
“เป็นเจ้าหรือ”
“พะพะย่ะค่ะฝ่าบาท ข้าน้อยเก๊ามู่เฉิน” เสียงสั่นรัว
“หืมมม สำเนียงเหมือนพวกชนเผ่าพวกชนเผ่านี่ มีคนที่มีความสามารถแบบนี้เชียวหรือว่าแต่เจ้าคือชนเผ่าใดกัน”
“ข้าน้อยเป็นเสียม (ไทย) ชนเผ่าเสียม”
“โอ้ไกลโพ้นทะเล ที่นั่นมากมายด้วยสินค้าฝรั่งมังฆ้องและชาวโปตุเกตุ ส่งสินค้าค้าขายกับชาวเสียม อืมมมนับว่าน่านับถือที่สามารถไขความกระจ่างในแบบของเจ้า”
เก๊ามู่เฉินยิ้ม วิธีนี้แพร่หลายเป็นบทเรียนสำหรับลูกหลานโดยมีคนที่คอยสร้างสูตรให้เป็นหนังสือเรียน“มอบทองสามหีบเงินห้าหีบ และแต่งตั้งให้เก๊ามู่เฉินรั้งตำแหน่ง ซงมิงต้าจื่อ (ผู้ฉลาดรอบรู้ที่อยู่กับองค์ชายสาม) ”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”เก๊ามู่เฉินหุบยิ้มไม่ได้ รวยแล้วโว้ยยย แบบนี้ให้หนีไปใช้ชีวิตข้างนอกได้ด้วยตัวคนเดีวยแบบหรูๆ เริ่ดๆ ไม่ต้องทนรับความตึงขององค์ชายสี่และไม่ต้องยุ่งกับเรื่องแย่งชิงที่จะมาถึงระหว่างทางเดินกลับเก๊ามู่เฉินหันหน้าหันหลังเป็นห่วงหีบทองและหีบเงินในมือขันที ทั้งๆ ที่พวกเขาคงไม่มีโอกาสยักยอกไปไหนได้เพราะว่าเดินตามหลังเขาและองค์ชายสามมาขนาดนั้น“ไหนๆ เจ้าก็ได้รางวัลตั้งขนาดนี้ ช่วงนี้อยากไปเที่ยวเล่นพักผ่อนที่ไหนก็ไปเถอะ”“องค์ชายสาม ข้าย้ายออกเลยได้หรือไม่”“ย้ายออก? ..เจ้ามีตำแหน่งที่เสด็จพ่อแต่งตั้งให้แล้ว เจ้าคิดจะไปไหน”อิ๋นจื่อถามพลางหันไปชี้นิ้วสั่งให้ขันทีนำหีบทองและหีบเงินไปเก็บในห้องของเก๊ามู่เฉิน เก๊ามู่เฉินยืนอ้าปากตาค้าง“ข้าไปไม่ได้หรือ เดี๋ยวสิๆ ทำไม”“ตำแหน่งของเจ้าชื่อก็บอกแล้วว่าต้องอยู่ข้างๆ ข้าช่วยงานข้า และเจ้าก็ยังไม่หลุดจากข้อสงสัยของน้องสี่”“งั้น
“ไหนๆ ดูหน่อย”เก๊ามู่เฉินใช้ฝ่ามือลูบไปตามแผ่นไม้ก่อนจะร้องตกใจและพลิกมือขึ้นดูเห้ยมีระบบป้องกันตัวเองด้วย แม่งมีเสี้ยนบาดมือ อันนี้ดีๆเก๊ามู่เฉินลองสำรวจอย่างระวังและพยายามไม่จับต้องมั่ว ถ้าพังขึ้นมานี่งานหยาบเลย หรือซวยสุดๆ คือถูกส่งไปยุคอุ๋งก้า ถ้าเป็นแบบนั้นท่าจะบ้าแล้วแต่สำรวจจนแน่ใจกลับไม่พบว่ามีอะไรที่ดูจะเหมือนไทม์แมชชีนสักอย่างไม้สี่แผ่นนี้ก็แค่ไม้จริงๆ ที่น่าตกใจก็มีแค่ที่มันตีเส้นตารางไว้ละเอียดมากๆ พร้อมตัวเลขอารบิกแค่นั้นเอง ไม่มีตรงไหนที่ดูเหมือนเป็นกลไกที่เป็นไทม์แมชชีนพาข้ามเวลาสักนิด!“เก๊ามู่เฉิน?” เสียงหนึ่งทำเอาความคิดสะดุดลงและตกใจ“เฮ้ย!”อิ๋นจื่อโพล่ขึ้นที่ประตูและเอ่ยทักจนเก๊ามู่เฉินสะดุ้งตกใจแทบกระโดดหนี“ท่านอย่ามาแบบไม่ให้สุ่มไม่ให้เสียงแบบนี้สิ ข้าหัวใจจะวายตาย”“อย่าจับต้องของในห้องมั่วซั่วแบบนั้นหากมีอะไรพังขึ้นมาข้าจะลำบาก”อิ๋นจื่อเดินเข้ามาพยายามดันเก๊ามู่เฉินออกไปจากห้องและปิดประตูตามหลัง แม้จะไม่ดูร้อนรนหรือมีพิรุธแต่ท่าทีผลักไสแบบนี้ก็น่าสงสัย“องค์ชายสามท่านรู้จักไทม์แมชชีนไหม”“หือ? อะไร”“แล้วแผ่นไม้สี่แผ่นนั้นเล่า ไม่ใช่ของท่านหรือ”“ของข้า
“เก๊ามู่เฉิน”“เอ้า น้องสิบสี่เจ้ามาไวจัง พี่แปดบอกเจ้ารึยัง”“บอกข้าหมดแล้ว ดูท่าเขาจะทำความดีความชอบใหญ่จริงๆ ข้ารู้ตั้งแต่เห็นเขาพยายามในวันนั้นแล้ว” อิ๋นถียิ้มอย่างภาคภูมิใจ“ข้าไม่คาดคิดมาก่อนเลย แค่เห็นเขาจัดเรียงตำราให้ข้าอย่างเป็นระเบียบและพยายามแยกประเภท ข้าก็คิดว่าเขาอาจเป็นคนที่เจ้าระเบียบและพอมีความรู้นิดหน่อยเท่านั้น”“แล้วเขาไปไหนเล่า ไม่ได้อยู่ช่วยงานพี่สามที่นี่หรือ ทำไมปล่อยข้ารอ”อิ๋นถีขมวดคิ้วมองไปรอบห้องและชะโงกดูข้างนอก อิ๋นจื่อถูกถามแบบนั้นก็ได้แค่เงียบและถอนหายใจเสียงดัง ทำเป็นไม่ได้ยินคำถามไม่ตอบอะไรเพียงกลับมาก้มหน้าเขียนหนังสือต่อ“เขาตื่นสายหรือพี่สาม”“ข้าพูดตามตรงเพราะเจ้าถามแล้วกัน เขา…ไม่อยากไป”“เดี๋ยว ทำไมเพราะข้าหรอ ไหนพี่แปดบอกเขาถึงขั้นโวยวายพี่สาม”“ข้าไม่รู้ เมื่อวานเขาออกปากเองว่าอยากหนีแต่พอข้าบอกให้ไปทำงาน เจอเขาอีกทีเขาก็ยืนยันจะอยู่และไม่อยากทำให้น้องสี่สงสัยมากกว่าเดิม ข้าสงสัยว่านั้นคืออุบายใหม่ของเขา เจ้าไปกับเขาก็ดูแลดีๆ อย่าให้หนีจะดีที่สุด ข้าไม่อยากมีปัญหากับเจ้าสี่ที่เย็นชาคนนั้น” อิ๋นจื่อถอนหายใจยาวอิ๋นถีพยักหน้ารับเบาๆ ตอนแรกเขาต
“ข้าต่างหากที่ไม่คาดคิด”อิ๋นเจิ้งคล้ายไม่แยแสเขายกจอกชาขึ้นจิบแต่เมื่อพลันพบว่าอิ๋นถีวิ่งตามมาก็ขมวดคิ้วแน่น“หึ พวกเจ้าช่วงนี้สนิทกันสนิทสนมกันดีจริงๆ ถึงขั้นพากันออกมาสองคนโดยไม่บอกข้าก่อนทั้งๆ ที่เจ้ามีข้อหาติดตัว”“แหม่ๆ ผู้มีพระคุณอย่าพูดแบบนั้นซี่ ข้า…”“ข้อหาอะไรกันพี่สี่ ตอนนี้เขาคือเพื่อนข้าแล้ว”จู่ๆ อิ๋นถีชิงตัดบทออกหน้าให้เขา พร้อมแทรกตัวกันเขาออกแต่ยังไม่วายหันมากัดฟันกระซิบกับเขา“เจ้าหาเรื่องแท้ๆ ข้าบอกว่ามีข้าอยู่ให้สบายใจ ได้แต่ไม่ได้หมายถึงให้หาเรื่องกับพี่สี่ได้สบายใจเจ้า”เก๊ามู่เฉินหน้างอหงิกทันที“ ทำไมข้าผิด อิ๋นถี! เจ้าดูสิ นั้นพี่ชายเจ้ากำลังเที่ยวเล่นคนเดียวเหมือนกันนะ เจ้าจะไม่ใช้โอกาสนี้หรือเช่น พี่ชายข้ารู้เรื่องนี้ถ้าท่านเลี้ยงสักมื้อเราหายกัน”“เพื่อนเจ้า? หึ เลือกคบคนดีจริงๆ นะน้องสิบสี่” อิ๋นเจิ้งเบือนหน้าหนีเก๊ามู่เฉินเห็นว่ายังไงสถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้นรั้งแต่จะตีกันตายต่อหน้าเขาด้วยซ้ำ เขาจึงเลิกปั้นหน้ายิ้มโง่ๆ“เอ๊าๆ พอๆ ข้าไม่ได้ไม่ดีตรงไหนกันว่าข้าต่อหน้าไม่ถนอมใจดวงน้อยๆ ของข้าเลย เอาแบบนี้องค์ชายสี่พวกข้าขอร่วมโต๊ะได้หรือไม่ถือว่ารักษาจิตใจที่บอ
อิ๋นถีสาวเท้าอย่างเร็วรียังจวนองค์ชายแปด“พี่แปด”“น้องสิบสี่ ค่อยๆ เดินระวังจะล้มลงไป” น้ำเสียงเนิบนาบ“พี่แปด ข้าเจอพี่สี่ข้างนอกกำลังคุยกับใครสักคน ที่ข้าพยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าคือใคร”“เจ้าระแวงมากไปแล้วเจ้าสิบสี่ เดี๋ยวหัดสอดแนมคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีพี่สี่อาจจะแค่คุยเรื่องทั่วไปกับเพื่อนเก่า”“แต่พี่แปด คนอย่างพี่สี่หรือจะเข้าโรงน้ำชา”“อืม มีพิรุธจริงดั่งว่า ปกติแล้วพี่สี่เกลียดที่สุกคือโรงน้ำชาและหอนางโลม เขามีชีวิตเพียงวังหลวงแม้แต่ชายายังให้เสด็จพ่อเป็นคนหา”“พี่แปดพูดอย่างนี้มันกระทบถึงข้า ข้าเองก็ให้เสด็จพ่อหาชายาให้เหมือนกัน”“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าลืมไปว่ามีอีกคนที่ถอดแบบพี่สี่ออกมา”ว่างท่าราวกับองค์ชายแต่ภายในราวกับขันที“อันนี้ข้าต้องไปถามเก๊ามู่เฉินแล้ว เพราะข้าตีความคำพูดของพี่แปดไม่ออกจริงๆ”“เจ้าสิบสามอยู่ด้วยไหม” น้ำเสียงเริ่มเป็นงานเป็นการ“ไม่ ข้าเห็นเขา”“หลิงจู้ข้างกายองค์ชายสี่ คนผู้นั้นมักใหญ่ใฝ่สูงด้วยบิดาเป็นเอ้อปี้หลง บุตรสาวของหลิงจู้ชิงหยุนเนียเก๋อเก๋อที่ถวายตัวเป็นเมียพี่สี่ นางเองก็ฉลาดหลังแหลมส่งเสริมพี่สี่ได้ดีไม่น้อย”“แต่พี่แปด การแย่งชิงเหล่าช
จวนองค์ชายสี่ที่มิได้มีอะไรพิเศษมีเพียงโต๊ะไม้ที่ตัวเตี้ยทว่ายาวที่วางบนพื้นพรมที่ทอจากชนเผ่าทางเหนือบรรณาการที่ได้มาจากการประพาสป่าล่าสัตว์เมื่อปีกลายเต็มพื้นที่บนศาลาฉาฮวาของจวนองค์ชายที่ด้านหลังสุดที่เก๋อเก๋อหรือชิงหยุนเนียเป็นผู้ดูแลปัดกวาดราวกับเป็นนางกำนัลรับใช้คนหนึ่งในจวนก็เท่านั้นใบหน้าสะอาดหมดจดแต่งแต้มเพียงบางเบาด้วยเครื่องสำอางสีชาดที่ปากเป็นสีชมพูกลีบบัว ไม่ได้แดงจัดจ้านอย่างที่หญิงงามในวังหลวงนิยมเหล่าองค์ชายทั้งห้าก้าวเดินเอามือไพล่หลังราวกับเลียนแบบกันกระนั้นชิงหยุนเนียแค่เพียงก้มหน้าประสานมือระดับเอวย่อกายลงช้าๆ ทว่างดงามตรึงใจ พร้อมกับใบหน้าใสที่เก๊ามู่เฉินอยากจะอิจฉานางว่าช่างเป็นหญิงงามที่ดูแลตัวเองดียิ่งหากเป็นที่นี่คงไม่ต่างจาก อั้มพัชราภาที่ดูสวยใสไม่เปลี่ยน“ชิงหยุนเนียถวายพระพรองค์ชายทั้งห้า ใต้เท้า”“ใครคือใต้เท้าของเจ้า” องค์ชายสิบสามอิ๋นเสียงถาม“น้องสิบสาม สะใภ้สี่นางเป็นคนพูดน้อยเจ้าก็อย่ากดดันนาง”องค์ชายสามอินจื่อเอ่ยปากเตือนด้วยเห็นใจชิงหยุนเนียที่นอบน้อมกับทุกคนชิงหยุนเนียก้มหน้า“ก็ใต้เท้าที่มากับองค์ชาย” ปรายตาไปทางเก๊ามู่เฉิน น้ำเสียงนอบน้อมถ
“ฮ่องแต้เสด็จจจจจจจจจจจจ”คังซีเดินเข้ามาในศาลาฉาฮวาพลางยกมือหยุดเสียงขันทีข้างกายไม่ให้รบกวนการร่ายรำกระบี่ของหงลี่ องค์ชายทั้งเจ็ดลุกขึ้นยืนถวายพระพรแต่ทว่ากลับถูกโบกมือห้ามไว้เช่นเดิม“นี่ข้าใส่ใจเรื่องในราชสำนักมากเกินไปจนลืมไปว่าความสัมพันธ์ของครอบครัวก็สำคัญไม่น้อย”“ฝ่าบาทเพฮะ องค์ชายหงลี่ชันษายังน้อยทว่ามีความมุ่งมั่นอย่างที่สุด ดูจากการร่ายรำกระบี่คงผ่านการฝึกปรือมาแรมปี”“อืม” คังซีพยักหน้าขึ้นลงและพูดต่อ“เห็นเขาแล้วทำให้ข้านึกถึงองค์รัชทายาท”องค์ชายสี่อิ๋นเจิ้งก้มหน้ามองพื้น“ท่านปู่ก็มาดูข้าหรือ”คังซีย่อตัวลงรับเอาหงลี่เข้าสู่อ้อมกอด“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านพ่ออยากดูข้ารำกระบี่ เสด็จปู่ก็อยากดูด้วยหรือ ท่านลุงกับและท่านอาเองต่างคนต่างก็อยากดูข้ารำกระบี่ ทุกคนอยากดูข้ารำกระบี่หมดเลยดีใจจัง”“พ่อของเจ้าชวนข้ามาดูดอกโบตั๋น ไม่น่าเชื่อว่าดอกโบตั๋นจะงดงามแล้วยังได้มาเห็นหงลี่น้อยร่ายรำกระบี่”“เสด็จพ่อ องค์ชายหงลี่อายุยังน้อยยังมีความมุ่งมั่นเพียงนี้ หากผ่านการอบรมที่ดีไม่แน่อาจเป็นยอดคน” อิ๋นสือกล่าวองค์ชายสี่อิ๋นเจิ้งเหลือบตามองอิ๋นสือ คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแทนตัวเอง“อืม ดีแล้วต่อไ
จวนองค์ชายแปดอิ๋นสือ“พี่แปด ท่านพลาดแล้ว” อิ๋นถังกระดกสุราในมือลงคอ“น้องเก้า เรื่องนี้เราต้องดูกันไปยาวๆ ข้าจงใจเดินไปตามแผนของพี่สี่เมื่อถึงเวลาที่ทุกอย่างพุ่งเป้าไปที่พี่สี่แล้ว เขาก็จะหมดหนทางปฏิเสธว่าตัวเองไม่ต้องการแย่งชิงบัลลังก์ เสด็จพ่อในตอนนี้มองพี่สี่เป็นเพียงองค์ชายที่รักสันโดษ มีชีวิตกับครอบครัวมีชายาที่ดีมีลูกที่น่ารักไปวันๆ พี่สี่ลงทุนขนาดนี้ เจ้าเก้าเจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะมองไม่ออกหรือไร แม้แต่เรายังมองเกมออกเสด็จพ่อเองที่ไม่พูดไม่ใช่ไม่รู้ แต่เพียงแค่จะดูว่าพี่สี่จะทำอย่างไรต่อไป บางทีเรื่องของหงลี่เราก็ควรจะปล่อยๆ ไปบ้าง น้ำเชี่ยวอย่าพึ่งขวางเรือ”“แต่ครั้งนี้เป็นพี่สี่ที่ได้ทุกอย่างไป แม้แต่เก๋อเก๋อของพี่สี่เราก็ยังคงต้องมองนางเสียใหม่ ไม่แน่ว่าจะเป็นแผนการของพี่สี่” องค์ชายเก้าผู้ไม่อุปนิสัยไม่ต่างกับองค์ชายสี่ที่มองทุกอย่างในด้านที่แสนจะมืดบอด“ไม่ต้องสงสัย หากข้าจะพลาดก็พลาดตรงที่ยอมไปจวนของพี่สี่ทำให้สายตาเสด็จพ่อมองว่าพี่สี่เป็นที่รักใคร่ของพี่น้อง มีพี่น้องดีมีชายาดีมีลูกที่ดี”องค์ชายเก้าอิ๋นถังถอนหายใจ“แผนการครั้งนี้ นับว่าแยบยลไม่น้อยข้าล่ะอิจฉาพี่สามกับเก๊
“ข้าง่วงแล้วไปนอนกันเถอะ”จวนองค์ชายสามอิ๋นจื่อ“พี่สาม ข้ามาลา”องค์ชายสามอิ๋นจื่อขมวดคิ้ว“เจ้าจะไปไหนกันเจ้าสิบ”“ข้าหลังจากที่มาไตร่ตรองดูแล้วข้าควรจะไปเสียจากวังหลวง ลดแรงเสียดทานและออกห่างจากการแย่งชิง”“แน่ใจแล้วหรือ”“พี่สาม ตอนนี้ชายาของข้ากำลังตั้งครรภ์สิ่งที่ข้าอยากเห็นที่สุดก็คือใบหน้าลูกและความสำเร็จของลูกชายข้า และสิ่งที่ข้ากลัวที่สุดคือกลัวว่าลูกข้าจะกำพร้าพ่อ”องค์ชายสามทอดถอนใจ“ไม่อาจรั้งเจ้าไปแล้วน้องสิบ พี่สามขอให้เจ้าโชคดี”อิ๋นเอ๋อประสานมือคุกเข่าก้มหน้าจรดพื้น“ข้าสัญญา ข้าจะไม่มีทางลืมเลือนสายสัมพันธ์พี่น้องของเรา”“โชคดีเจ้าสิบและเราจะได้พบกันอีกครั้ง ข้าหวังอย่างนั้น”องค์ชายสิบไปแล้ว เฉิงหยิงเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับถ้วยชา“องค์ชายความขัดแย้งครั้งนี้แม้แต่องค์ชายสิบที่ไม่เคยจะทุกข์ร้อนกับเรื่องใดเขากลับเปลี่ยนแปลงตัวเอง กลายเป็นคนที่กลัวไปเสียทุกเรื่อง”องค์ชายสามอิ๋นจื่อยิ้มเศร้าๆ“ความบาดหมางครั้งนี้มากมายเกินไป บางทีข้าเองก็คิดว่าไม่อาจแก้ไขมันได้ เจ้าสี่เป็นคนที่ใจแข็ง เด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นสิ่งที่เขาทำเขาจะไม่มีวันเสียใจแม้ว่าจะผิดก็ตามเพราะเขาคิดว่ามันคุ้
ต้ากงเหวินวิ่งออกจากตรงนั้นไปที่ตำหนักเคียงฟ้าเก็บข้าวของที่จำเป็นก่อนจะวิ่งไปที่ตำหนักใหญ่ของฮ่องเต้ หลงเค่อตั๋วขมวดคิ้วเมื่อเห็นต้ากงเหวิน“องค์ชายใหญ่ฝ่าบาทบรรทมไปแล้ว หากท่านคิดจะมาร้องขอให้ฝ่าบาทตามใจท่านเรื่องใดอีกก็ควรจะมาในเวลาอื่น”ต้ากงเหวินทำเสียงจิ๊จ๊ะ บรรทมบ้าอะไร ฝ่าบาทอยู่กับชิงหยุนเนียเจ้าองครักษ์โง่นี่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่ากำลังมีคนหนีเที่ยว“ฝ่าบาทยังไม่ได้บอกท่านอีกหรือว่าให้ข้ามาที่นี่”เดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่ตอนนี้โกหกเจ้านี่ให้รอดก่อน หลงเค่อตั๋วยิ้มมุมปาก“จะมาอยู่ที่นี่ทำไมกัน ท่านมีประโยชน์ใดกันกับต้าชิงของเรา ตัวท่านเอาแต่เที่ยวเล่นสนุกสนานไปวันๆ ท่านควรจะกลับตงโกได้แล้ว อยู่ไปก็รังแต่จะสร้างความหนักใจให้ฝ่าบาท สร้างความร้าวฉานให้พวกพี่น้องเขาไม่มีท่านก็มีข้าที่คอยอารักขาฝ่าบาท สามกองธงขาวอะไรของท่านไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น”ต้ากงเหวินยิ้มมุมปาก“อ้าวหรอข้าพึ่งรู้ว่าสามกองธงขาวไม่มีความสำคัญ เช่นนั้นยามที่ฝ่าบาทเชิญข้าเข้าร่วมกับฝ่าบาทและทัพของต้าชิงข้าก็จะได้อ้างคำพูดของท่าน ทั้งๆ ที่ข้าคิดว่าสามอย่างไรก็มากกว่าหนึ่งกองธงขลิบเหลืองของท่านล่ะว่ะ”หลงเค่อตั๋วกัดฟ
ตำหนักเคียงฟ้าต้ากงเหวินเดินไปเดินมาภายในห้องด้วยท่าทีครุ่นคิด ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ขาดหายไปเท่าที่เขาจำได้องค์ชายสามอิ๋นจื่อใช้ชีวิตอย่างสงบเขียนตำราภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง องค์ชายแปดกลับมาในตำแหน่งเหลียนชินหวังเช่นเดิม องค์ชายสิบขอประทานอนุญาตใช้ชีวิตนอกเขตวังหลวง องค์ชายสิบสามกลับมาในตำแหน่งเหอซั่วอี๋ชินหวัง องค์ชายสิบสี่ผู้นั้นต่างหากที่น่าห่วงถูกคุมขังกักบริเวณไม่ให้ไปไหน บางทีนี่อาจไม่ใช่จุดจบแต่เป็นจุดเริ่มต้น ไม่มีใครตายอีกแล้วต่อจากนี้ เช่นนั้นเขาควรหาทางกลับไปเสียเพราะไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว จะต้องมีอะไรผิดไปแน่ๆ เขาจึงย้อนเวลากลับไปไม่ได้ข้าควรไปพบพี่สามคนนั้นดีกว่า นางจะต้องรู้อะไรแน่ๆ หรือบางที นางอาจพาเขากลับไปยังที่ที่จากมาสาวเท้าไปยังตำหนักฉาฮวาของชิงหยุนเนียจักรพรรดิหย่งเจิ้งก้าวขาเข้าไปในตำหนักฉาฮวาเพียงลำพังไร้องครักษ์และขันทีติดตามราวกลับเขาเร้นกายมาเพียงลำพัง บรรยากาศข้างนอกหนาวเหน็บ แสงสุรีย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ชิงหยุนเนียเดินเข้ามาปลดเสื้อคลุมที่มีเกล็ดหิมะเกาะไปทั่วหลังไหล่ออกช้าๆ ดึงเอาเสื้อคลุมขนสัตว์ที่ราวแขวนอาภรณ์มาคลุมให้หย่งเจิ้ง เติมฟื
จักรพรรดิหย่งเจิ้งก้าวข้าลงมาจากบัลลังก์ช้าๆ มาหยุดยืนตรงหน้าองค์ชายสามอิ๋นจื่อ องค์ชายสิบสี่อิ๋นถีและองค์ชายสิบอิ๋นเอ๋อสาวเท้ามายืนข้างๆ องค์ชายสามอิ๋นจื่อ“ไม่เป็นไร ใครอยากจะตรวจสอบข้าก็ได้ตามสบาย ข้าเข้าใจว่าหากข้าเป็นพี่สามก็คงรู้สึกไม่พอใจเช่นกันในเมื่อแทนที่จะเป็นองค์ชายอันดับสามกลับเป็นอันดับสี่เช่นข้า” ยิ้มบางๆใต้เท้าฉู่ก้าวขาออกมาประสานมือด้านหน้า“ข้าน้อยเห็นควรว่า ควรจะแต่งตั้งให้ขุนนางที่มีความน่าเชื่อถือร่วมกันตรวจสอบพินัยกรรมพระปรมาภิไธยและตราประทับและอักษรคำว่าอันดับสี่ว่ามีใครปลอมแปลงขึ้นมาหรือไม่”จักรพรรดิหย่งเจิ้งหันไปทางหลงเค่อตั๋ว“หลงเค่อตั๋วรับบัญชาไปคัดคนมาตรวจสอบพินัยกรรม”องค์ชายสามอิ๋นจื่อยิ้มเย็น“น้องสี่จะไม่น่าเกลียดไปหน่อยหรือ หลงเค่อตั๋วเป็นคนของน้องสี่”“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร มีใครอยากจะเสนอตัวบ้าง”ขุนนางหลายฝ่ายต่างซุบซิบ ใครบ้างจะกล้าเสนอตัว หากใครกล้าเสนอตัวนั่นเท่ากับตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับจักรพรรดิหย่งเจิ้ง องค์ชายสามอิ๋นจื่อพูดขึ้นดังๆ“ครั้งนี้ถือว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำเพื่อเสด็จพ่อ พวกท่านเหล่าขุนนางที่เคยภักดีต่อเสด็จพ่อหากพินัยกรรมเป็นของจร
“ไม่นะเพียงแค่อย่างที่บอกไว้ ก่อนคิดจะทำอะไรให้รักษาชีวิตไว้จึงดี”ต้ากงเหวินถอนหายใจพร้อมกับยิ้มกว้าง“ก็ได้ ข้าสัญญาว่าจะไม่เอาชีวิตข้าเข้าไปเสี่ยงหากไม่จำเป็นท้องพระโรงจักรพรรดิหย่งเจิ้งนั่งบนบัลลังก์สูงสุดสวมเสื้อคลุมมังกรสีทองอร่ามเข้ากันกับบัลลังก์ลวดลายมังกรที่นั่งฉีกงกงยืนอยู่ข้างๆ หลงเค่อตั๋วยืนไม่ห่างมือกำกระบี่ในท่าเตรียมพร้อม เหล่าเชื้อพระวงศ์ยืนด้านข้างบัลลังก์ด้วยท่าทีสงบหนึ่งในนั้นคือองค์ชายสิบสี่อิ๋นถีและองค์ชายสิบอิ๋นเอ๋อแต่ไร้ซึ่งวี่แววขององค์ชายสามอิ๋นจื่อและองค์ชายแปดอิ๋นสือ ในโถงกว้างเหล่าขุนนางต่างยืนเป็นระเบียบเรียบร้อย“บัดนี้ทุกคนต่างมาพร้อมหน้า ฉีกงกงเป็นหน้าที่ของท่านแล้ว”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ข้าน้อยฉีกงกงขอประทานอนุญาตอัญเชิญพระพินัยกรรม”ฉีกงกงก้าวลงมาด้านล่างบัลลังก์ส่งพานที่ด้านบนมีพินัยกรรมของคังซีวางไว้“หลงเค่อตั๋วรับบัญชาข้า รับหน้าที่ถ่ายทอดพระบัญชาของไท่ซางหวง”องครักษ์นับร้อยต่างกรูกันเข้ามาอารักขารอบๆ ท้องพระโรง หลงเค่อตั๋วขยับลงมาด้านล่างบัลลังก์ราวกับเตรียมพร้อมไว้แล้ว ก้มศีรษะรับเอาม้วนกระดาษที่เชื่อว่าเป็นพินัยกรรมของคังซี เหล่าขุนนางต่างส่งเ
ต้ากงเหวินยืนอยู่หน้าไทม์แมชชีนขึ้นไปยืนข้างบนแผ่นไม้ที่มีรอยซ่อมขององค์ชายสามอิ๋นจื่อนั่นแหละเวาลาเรียนเขาให้จำไม่จำ ว่าแต่มันอะไรวะละติจูดลองติจูดที่เท่าไหร่ เคยสงสัยว่าเขาให้เรียนไปทำไม ที่แท้ก็ให้มาหมุนไทม์แมชชีนนี่เอง ราวกับรู้ล่วงหน้าเลยว่ากูจะได้มาหมุนไทม์แมชชีน วันนี้แหละจำได้คลับคล้ายคลับคลาเป็นโคราชบ้านเอ็งหมุนแผ่นไม้ให้ตรงที่ตำแหน่งตัวเลขสองฝั่งXคือละติจูด 15 องศาเหนือ Yคือลองติจูด 102 องศาตะวันออก ต้ากงเหวินขึ้นไปยืนบนแผ่นไม้ตรงกลางพอดิบพอดี ก้มลงมองไทม์แมชชีนย่อส่วนหมุนตัวเลขให้ตรงกัน ต้ากงเหวินหลับตาแทบจะกลั้นลมหายใจเขาจะไปแล้ว เขากำลังจะไปแล้วจริงใช่ไหม ทำไมรู้สึกใจหายอย่างนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เขากลับคิดว่าไม่ได้ผูกพันอะไรก็แค่เหมือนมาเที่ยว แต่มาถึงตอนนี้คริสกลับรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ทั้งๆ ที่โลกปัจจุบันเขามีพ่อแม่เพื่อนฝูงแต่กลับรู้สึกว่าเหมือนเขากำลังจะจากบ้านไปแต่ดูสิ จะไปทั้งทีกลับทะเลาะกับองค์ชายสามที่งี่เง่าคนนั้น ก็ใช่น่ะซิ ตัวเองมีเมียแล้วนี่คงอยากให้เขาไปพ้นๆ เสียที หากย้อนเวลาได้อีกครั้งต้ากงเหวินก็คงจะทำเหมือนเดิม ทอดถอนใจลาก่อนต้าชิงเ
“ไม่ไม่ไม่ไม่ ต่อไปนี้เขาจะไม่ฆ่าใครอีกแล้ว ท่านวางใจเถอะ”“เจ้ารู้ได้ยังไง ดูเจ้าจะไว้ใจพี่สี่นะ” อิ๋นถีขมวดคิ้ว“ก็…ก็…ก็เขารับปากข้าแล้วนี่ว่าจะไม่ฆ่าใครอีก เขาไม่ลืมสัญญาแน่”“เจ้าเชื่อในสิ่งที่พี่สี่พูดด้วยหรือ”ต้ากงเหวินส่ายหน้าไปมา ก็ตามประวัติศาสตร์เขาฆ่าไปกี่คนแล้วล่ะก็อ่านไม่จบอ่านถึงแค่นั้นแล้วจะรู้ได้ไงว่าเขาฆ่าไปกี่คนจริงๆ แล้ว แล้วสิ่งที่ชิงหยุนเนียต้องการจะบอกคืออะไรกันแน่ ผู้หญิงคนนี้มาจากไหนก่อนคำพูดของเจ้าหล่อนทำเอาเขาคิดว่าต้องรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเขาควรไปเสียเหมือนที่ชิงหยุนเนียต้องการดีไหม ก็นั่นแหละนะเป้าหมายของเขาคือการกลับไป เขาไม่ได้อยากมาที่นี่เสียหน่อย ช่างหัวที่นี่มันเถอะ ประวัติศาสตร์ถูกเขียนไว้แล้วจะลบได้อย่างไรไว้พรุ่งนี้เถอะเขาจะกลับบ้านทันทีจวนองค์ชายสามอิ๋นจื่อ“ไปไหนมาไหนได้สะดวก อิ๋นเจิ้งไม่ได้กักตัวเจ้าไว้หรือ” อิ๋นจื่อไม่ได้แสดงท่าทีว่าดีใจหรือเสียใจที่เห็นอิ๋นถี“ยังมีข้ากับต้ากงเหวินที่ไม่ถูกกักตัว” อิ๋นถีถอนหายใจยาว“ต้ากงเหวินอยู่นอกกฎเกณฑ์นี้อยู่แล้ว อิ๋นเจิ้งไม่ได้เห็นเขาเป็นศัตรู” อิ๋นจื่อน้ำเสียงแกว่งๆ ในตอนท้าย“เพราะแบบนี้ไงข้าถึงไ
“เช่นไรจึงเรียกว่าประหลาดใจ กลับมาอีกครั้งฮ่องเต้กลายเป็นท่าน บางทีข้าก็สงสัยว่าข้าพลาดอะไรไปหรือเปล่า”คำพูดเป็นเลศนัยทำเอาจักรพรรดิหย่งเจิ้งขมวดคิ้ว“บัลลังก์ไม่อาจขาดฮ่องเต้ได้แม้แต่เพียงวันเดียว อีกทั้งยังมีคำสั่งเสียของเสด็จพ่อเป็นลายลักษณ์อักษรว่าบัลลังก์นี้มอบให้ข้า”“เห้อ ข้าต้องพลาดอะไรแน่เลย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เสด็จพ่อตั้งใจจะมอบบัลลังก์ให้พี่สี่”“สิ่งที่คาดเดายากที่สุดคือพระทัยของฮ่องเต้ แล้วทำไมเสด็จพ่อต้องป่าวประกาศบอกเจ้าด้วยว่าให้ข้านั่งบัลลังก์ต่อจากเสด็จพ่อ”“ฝ่าบาทท่านพูดแบบนี้ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ เสด็จพ่อโปรดปรานพี่สามใครๆ ก็รู้ดี ส่วนพี่แปดช่วยงานในราชสำนักได้ไม่น้อยหากให้เขาเป็นฮ่องเต้ย่อมไม่มีข้อบกพร่อง องค์ชายของเสด็จพ่อมีตั้งมากมายใครกันจะคิดว่าเป็นพี่สี่”จักรพรรดิหย่งเจิ้งกัดฟันจนเป็นสันนูน“เจ้าสิบสี่ เจ้าคงอยากจะเห็นคำสั่งเสียของเสด็จพ่อที่เป็นลายลักษณ์อักษร”“แน่นอน ข้าไม่ใช่คนที่เชื่อคนง่าย หากฝ่าบาทจะกรุณาพรุ่งนี้ที่ท้องพระโรงทุกคนจะได้เห็นพร้อมกัน”“ข้าจะได้ไม่ต้องอธิบายให้ใครฟังอีก”อิ๋นถีประสานมือตรงหน้ายิ้มมุมปาก“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ต้ากงเหวินน
ต้ากงเหวินตกใจกับท่าทีของชิงหยุนเนียไม่น้อย“องค์ชายใหญ่ ข้าน้อยบังอาจขอ ฝ่าบาทเจ็บปวดแต่เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ก็ควรจะเดินหน้าต่อไปไม่มองย้อนกลับ ท่านจะรื้อฟื้นเรื่องนี้ทำไมกัน การนั่งบัลลังก์ของฝ่าบาทมิใช่ถูกกำหนดมาแล้วหรือ”ต้ากงเหวินนิ่งงัน เรื่องนี้เป็นเขาที่เปลี่ยนแปลงได้หรือในเมื่อประวัติศาสตร์เขียนไว้ชัดเจนอิ๋นเจิ้งก้าวขาออกมายืนเอามือไพล่หลังอยู่หลังประตู“ข้าแค่อยากจะขอร้องฝ่าบาทว่าสิ่งที่ทำลงไปมีแต่จะสร้างความเกลียดชัง ต่อไปภายภาคหน้าหน้าถึงจะโกรธพวกเขาเพียงใดก็ให้เมตตาพวกเขา ถือว่าข้าขอร้อง”อิ๋นเจิ้งนัยน์ตาไหววูบชะงักงัน คำพูดของต้ากงเหวินถอดแบบมาจากคำพูดของคังซีราวกับเป็นคนคนเดียวกัน คำพูดเดียวกันนี้ของคังซีทำให้อิ๋นเจิ้งแค่เพียงให้องค์ชายเก้าอิ๋นถังเลือกวิธีตาย สำหรับเขานั้นถือว่าเมตตามากพอแล้ว แต่มาบัดนี้คำพูดของต้ากงเหวินกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญคือความเจ็บปวดในใจที่ต้องแบกรับไว้เพียงลำพัง บาปเคราะห์ทั้งหมดกัดกินหัวใจ จนแทบจะตายทั้งเป็น“บังอาจ! องค์ชายใหญ่ช่างปากกล้าสั่งสอนฝ่าบาท ท่านเป็นใคร ฝ่าบาทให้อยู่จึงอยู่ได้ ข้าในฐานะหัวหน้าองครักษ์เพื่อรักษาพระเกียรติของฝ่า