ที่ใต้ตึกคณะศิลปศาสตร์ รมิดาจูงมือน้องอชิเดินมาหยุดที่ม้านั่งไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ อากาศร่มรื่นช่วยบรรเทาความร้อนในยามสาย เธอหยิบขนมกับนมกล่องสำหรับเด็กออกมาจากกระเป๋าเป้ใบเล็กของน้องอชิ ตรวจดูว่าเตรียมของทุกอย่างครบถ้วนหรือยัง
“อชิครับ หิวมั้ย? ป้าดาเตรียมนมกับขนมไว้ให้นะครับ” เธอถามพลางยิ้มอ่อนโยน “ยังไม่หิวฮะ ป้าดา” เด็กน้อยตอบเสียงใส แต่ก็ยอมรับนมกล่องไปถือไว้ ขณะนั้นเอง เสียง ติ้ง! ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือของรมิดา เธอหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นข้อความจากพี่รหัสของเธอเอง—พี่ศรัณย์พร (พี่แป้ง) พี่แป้ง: “ดา พี่กำลังลงไปแล้วนะ รอแป๊บนึง” รมิดาอ่านข้อความแล้วยิ้มบาง ๆ เธอพิมพ์ตอบไปอย่างรวดเร็ว “โอเคค่ะพี่แป้ง ขอบคุณมากนะคะ” ไม่ถึงห้านาที หญิงสาวร่างสมส่วนในชุดนักศึกษามีเครื่องแบบครบถ้วนก็เดินตรงมาหา รมิดารู้จักพี่แป้งดีในฐานะพี่รหัสที่ทั้งขี้เล่นและใจดี เธอไม่ใช่คนที่ยอมใครง่าย ๆ แต่กับรุ่นน้องแล้ว เธอมักเต็มใจช่วยเสมอ “รมิดา! นี่น้องอชิใช่มั้ย?” พี่แป้งพูดขึ้นทันทีที่มาถึง เธอก้มลงมองน้องอชิที่กำลังมองเธอด้วยตาแป๋ว “ใช่ค่ะพี่แป้ง อชิ นี่คือป้าแป้งนะครับ ทักทายหน่อย” รมิดาพูดพลางบอกหลานชาย “สวัสดีครับ ป้าแป้ง” น้องอชิยกมือน้อย ๆ ไหว้ด้วยความน่ารัก พี่แป้งหัวเราะด้วยความเอ็นดู “โอ๊ย น่ารักจังเลย! ดา นี่เธอเอาหลานมาด้วยทุกวันแบบนี้จริง ๆ เหรอ?” รมิดายิ้มเจื่อน ๆ “ค่ะพี่แป้ง บางครั้งก็ไม่มีใครช่วยดูน้องได้ เลยต้องพามาด้วย” พี่แป้งถอนหายใจ “โอเค งั้นฝากหลานไว้กับพี่ เดี๋ยวพี่พาไปที่ห้องสมุดเอง เธอรีบไปเรียนเถอะ มันเลยเวลามาเป็นชั่วโมงแล้ว เดี๋ยวตามเนื้อหาไม่ทัน” รมิดายิ้มขอบคุณ “รบกวนพี่อีกแล้วนะคะ ฝากน้องอชิด้วยนะคะ” เธอหันไปหาน้องอชิ พลางย่อตัวลงระดับเดียวกับเขา “อชิครับ ไปอ่านหนังสือไดโนเสาร์กับป้าแป้งที่ห้องสมุดก่อนนะครับ เดี๋ยวป้าดาเรียนเสร็จแล้วจะรีบมารับ” น้องอชิพยักหน้าด้วยความเชื่อฟัง “ครับ ป้าดา อชิจะรอนะ” พี่แป้งมองเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม “ไปครับ อชิ เดี๋ยวป้าพาไปเลือกหนังสือดี ๆ” รมิดาโบกมือลาทั้งคู่ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นอาคารเรียนด้วยความโล่งใจในใจลึก ๆ แม้ชีวิตเธอจะยุ่งเหยิงไปบ้าง แต่โชคดีที่เธอมีพี่รหัสอย่างพี่แป้งที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเสมอ ขณะพี่แป้งจูงมือน้องอชิเดินไปยังห้องสมุด เธออดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “อชิชอบไดโนเสาร์เหรอครับ?” “ครับ ป้าแป้ง อชิชอบไดโนเสาร์มากที่สุด!” เด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “งั้นป้าจะพาไปหาหนังสือเกี่ยวกับไดโนเสาร์เยอะ ๆ เลย ดีมั้ย?” “ดีครับ!” พี่แป้งหัวเราะเบา ๆ ขณะมองเด็กน้อยที่เดินเคียงข้างเธออย่างสดใสร่าเริง เธอรู้สึกได้ว่าแม้รมิดาจะต้องเผชิญกับชีวิตที่หนักหนาแค่ไหน แต่ความรักที่เธอมีให้น้องอชินั้นแท้จริงและลึกซึ้งอย่างไม่ต้องสงสัย ณ ห้องเรียนของคณะศิลปศาสตร์ รมิดายืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องเรียนของคณะศิลปศาสตร์ ความเงียบภายในห้องและเสียงเล็คเชอร์ที่ดังลอดออกมาทำให้เธอรู้สึกกดดัน เธอถอนหายใจ พยายามรวบรวมความกล้า ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูเข้าไป ทันทีที่ประตูเปิด สายตาทุกคู่ในห้องก็จับจ้องมาที่เธอ รมิดารู้สึกเหมือนเวลาเดินช้าลง เสียงขยับเก้าอี้ เสียงปากกาที่หยุดเขียนไปครู่หนึ่ง ยิ่งทำให้เธอประหม่า “นักศึกษา” เสียงของอาจารย์สริตา ดังขึ้น อาจารย์ประจำวิชาวรรณกรรมเปรียบเทียบที่มีบุคลิกเคร่งขรึมและช่างสังเกต ดันแว่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “คุณมาสายอีกแล้วนะคะ” คำพูดนั้นทำให้รมิดายิ้มเจื่อน เธอโค้งศีรษะให้อาจารย์อย่างรู้สึกผิด “ขอโทษค่ะอาจารย์” อาจารย์สริตามองนิ่ง ๆ แต่ไม่ได้ตำหนิเพิ่มเติม “ไปหาที่นั่งได้แล้วค่ะ” รมิดารีบเดินไปหาที่นั่งตรงกลางห้องทันที พลางพยายามไม่สบตาเพื่อนร่วมชั้นที่บางคนแอบหัวเราะคิกคักอยู่เบา ๆ ช่วงเวลาสามชั่วโมงผ่านไปอย่างเชื่องช้า อาจารย์อธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับ “การตีความตัวละครในวรรณกรรมร่วมสมัย” แต่รมิดาก็ยังคงกระวนกระวายใจ เธอหยิบมือถือออกมาแอบพิมพ์ข้อความถึงพี่แป้ง รมิดา: “พี่แป้งคะ น้องอชิงอแงมั้ยคะ?” ไม่นานนักข้อความตอบกลับก็เด้งขึ้นมา พี่แป้ง: “ไม่เลยจ้ะ น้องอชิน่ารักมาก กำลังนั่งดูรูปไดโนเสาร์เงียบ ๆ อยู่ ฝากไว้ทั้งวันก็ยังได้” รมิดาอ่านข้อความแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอรู้สึกขอบคุณพี่แป้งในใจที่ช่วยดูแลน้องอชิให้เธอได้มีเวลามาเรียน หลังจากที่อาจารย์อธิบายเนื้อหาเสร็จ ก็เริ่มถามคำถามเพื่อกระตุ้นการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษา “นักศึกษารมิดา ในฐานะที่มาสาย แถมยังเหม่อลอยในขณะเรียน ช่วยบอกบ้างได้ไหมคะว่าตัวละคร ‘อันนา’ ในเรื่อง Anna Karenina ของ Tolstoy สะท้อนความขัดแย้งของสังคมยุคนั้นอย่างไร?” รมิดาอึ้งไปทันที เพราะเธอไม่ได้ฟังตั้งแต่ต้น การมาสายทำให้เธอพลาดเนื้อหาในช่วงแรก และตอนนี้เธอก็ไม่รู้จะตอบอะไรดี ขณะที่รมิดาก้มหน้าหลบสายตา เธอก็สังเกตเห็นกระดาษแผ่นเล็กที่ถูกยื่นมาจากโต๊ะข้าง ๆ ในนั้นมีข้อความเขียนด้วยลายมือสวยและเป็นระเบียบ “อันนาเป็นตัวแทนของความขัดแย้งระหว่างความรักที่ท้าทายบรรทัดฐานทางสังคมและหน้าที่ในครอบครัว เธอแสดงถึงการดิ้นรนเพื่อเสรีภาพส่วนตัว แต่กลับถูกกดดันจากศีลธรรมและค่านิยมของสังคมชนชั้นสูงในรัสเซีย” รมิดามองไปที่คนส่งกระดาษ เธอเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดนักศึกษาที่ดูสะอาดสะอ้าน เขายิ้มบาง ๆ ให้เธอราวกับกำลังช่วยเหลือแบบเงียบ ๆ เธอตัดสินใจตอบคำถามทันที “ตัวละครอันนา สะท้อนความขัดแย้งระหว่างความรักที่ท้าทายบรรทัดฐานทางสังคม และหน้าที่ในครอบครัวค่ะ เธอแสดงถึงการดิ้นรนเพื่อเสรีภาพส่วนตัว แต่กลับถูกกดดันจากศีลธรรมและค่านิยมของสังคมชนชั้นสูงในรัสเซีย” อาจารย์สริตาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความพอใจ “ดีค่ะ คุณรมิดา ตอบได้ดีทีเดียว” เสียงกระซิบกระซาบจากเพื่อนร่วมชั้นเงียบลงเมื่ออาจารย์ชม รมิดาหันไปขอบคุณชายหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาและเขาก็เพียงแค่พยักหน้าให้ “ขอบคุณนะคะ” รมิดากระซิบเบา ๆ “ไม่เป็นไรครับ คราวหน้ามาให้ทันก็พอ” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มมุมปาก รมิดารู้สึกเหมือนหัวใจโล่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็สงสัยว่าเขาเป็นใคร เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นหน้าเขาในห้องเรียน หลังจากเสียงระฆังบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น รมิดารีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปหาชายหนุ่มที่ช่วยเหลือเธอในชั่วโมงเรียนก่อนหน้านี้ “เอ่อ…ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยเรื่องคำตอบในห้อง” รมิดาเอ่ยพร้อมกับยิ้มเล็ก ๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังเปิดดู เขายิ้มตอบอย่างเป็นมิตร “ไม่เป็นไรครับ ผมดีใจที่ได้ช่วยคุณ” รมิดาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะถามอย่างสุภาพ “ว่าแต่…คุณชื่ออะไรเหรอคะ? เหมือนเราเรียนรุ่นเดียวกัน แต่ไม่เคยเจอกันมาก่อน” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “ผมชื่อ ภีม ครับ ภีมวรินทร์” เขายื่นมือมาให้รมิดาอย่างเป็นกันเอง รมิดาจับมือเขาเบา ๆ “ฉันชื่อรมิดา แต่เพื่อน ๆ เรียกว่าดา ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” “ดา…ชื่อน่ารักดีนะครับ” ภีมพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ รมิดายิ้มบาง ๆ “ขอบคุณค่ะ” ภีมมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ผมไม่ค่อยเข้าเรียนเท่าไหร่ แต่หวังว่าต่อไปเราจะได้เจอกันบ่อย ๆ นะครับ” รมิดาพยักหน้าเบา ๆ แต่ก่อนที่เธอจะตอบอะไร สายตาก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาข้อมือของตัวเอง เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาบ่ายแล้ว “ตายจริง! ฉันต้องรีบไปแล้วค่ะ น้องอชิคงหิวข้าวแล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “น้องอชิ?” ภีมขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย “หลานชายของฉันค่ะ เดี๋ยวไว้เจอกันนะคะ” รมิดารีบบอกลา แล้ววิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ภีมมองตามเธอไปจนลับสายตา ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “ดา… ชื่อน่ารักดี” เขายิ้มมุมปากน้อย ๆ และเก็บของลงกระเป๋า ทิ้งความสงสัยเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้ไว้ในใจวันรุ่งขึ้นเช้านี้ แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านผ้าม่านสีขาวในห้องนั่งเล่น รมิดานั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับแก้วกาแฟในมือ แต่เธอแทบไม่ได้แตะมันเลย ดวงตาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ซึ่งยังคงฉายข่าวเรื่องการจากไปของพ่อแม่พิชชาเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นที่หน้าบ้าน เธอหันไปมองผ่านหน้าต่าง เห็นรถของปรเมศจอดอยู่ รมิดาวางแก้วกาแฟลง ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้เขา“เห็นข่าวหรือยังคะ?” เธอถามทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในบ้าน ปรเมศพยักหน้า สีหน้าของเขาเคร่งขรึม “เห็นแล้ว”รมิดาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฉันว่าจะไปเยี่ยมพิชชาสักหน่อยค่ะ”ปรเมศมองเธอ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมก็ว่าจะไปเหมือนกัน”เธอเงยหน้ามองเขาอย่างแปลกใจ “คุณก็จะไป?”“ใช่” เขาพยักหน้า แล้วอธิบาย “ตระกูลดั้งเดิมของพิชชาให้ความสำคัญกับหน้าตาทางสังคมมาก ข่าวใหญ่โตขนาดนี้ ผมว่า ญาติของเธอคงไม่มีใครอยากมายุ่งเกี่ยวด้วย”รมิดานิ่งไป“ผมจะไปแสดงความเสียใจ และขอจัดงานศพแทนพ่อแม่ของเธอ” เขาพูดต่อ น้ำเสียงหนักแน่น “ถึงแม้เธอจะทำเรื่องเลวร้ายแค่ไหน สุดท้ายเธอก็เหลือตัวคนเดียว ผมไม่อยากให้เธอจากไปโดยไม่มีใครเลย”รมิดามองเ
“ป้าดา ป่าป๊าอชิไปไหนฮะ ป่าป๊าเจ็บอยู่ ยังอยู่ในนั้นใช่ไหม ป่าป๊าเจ็บมากไหมฮะ ฮึก”เสียงหลานชายสะอื้นเรียกสติรมิดาอีกครั้ง เธอจะบอกอชิยังไงดีรมิดากระชับอ้อมกอดน้องอชิแน่นขึ้น ลูบหลังเบา ๆ เพื่อปลอบโยนให้เด็กน้อยสงบลง“อชิไม่ร้องนะครับ ป้าดาอยู่ตรงนี้นะ”เสียงของเธอสั่นเครือพอ ๆ กับหัวใจที่เจ็บปวด ความสูญเสียครั้งนี้หนักหนาเกินกว่าที่เธอจะรับมือได้ แต่น้องอชิยังเด็กนัก… เขาไม่ควรต้องเผชิญเรื่องแบบนี้เลยเด็กน้อยสะอื้นฮัก ซุกหน้ากับอกของเธอ พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ป่าป๊าภีมไปไหนเหรอฮะ ป้าดา… ทำไมยังไม่ออกมาหาอชิ”รมิดาหลับตาลง พยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลรื้นขึ้นมาอีกครั้ง เธออยากจะบอกความจริงทั้งหมด แต่จะให้เด็กวัยนี้เข้าใจความตายได้อย่างไร“ป๊าภีมต้องไปที่ไกล ๆ แต่เขายังรักอชิอยู่เสมอนะครับ”“แล้วป๊าจะกลับมาไหมฮะ”คำถามนั้นเหมือนคมมีดที่กรีดกลางใจเธอรมิดาไม่รู้จะตอบอย่างไร เธอได้แต่ลูบศีรษะเล็ก ๆ นั้นเบา ๆ พลางเอ่ยเสียงแผ่ว “ป๊าภีมจะอยู่กับอชิตลอดไป… อยู่ในหัวใจของอชิไงครับ”เด็กน้อยสะอื้นหนักขึ้น ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ จะค่อย ๆ อ่อนแรงลงจากความเหนื่อยล้า เสียงร้องแผ่วลงจนกระทั่งเ
รมิดาเดินกลับมาถึงหน้าห้องไอซียู ร่างบางมองเห็นปรเมศที่ยืนพิงกำแพง มือหนายกขึ้นเสยผมด้วยความเครียด ก่อนจะลดมือลงมาจับมือน้อย ๆ ของน้องอชิที่กำลังหลับอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆเมื่อปรเมศเห็นเธอเดินกลับมา เขาก็รีบสาวเท้าเข้ามาหา สีหน้าของเขาดูเป็นกังวล “คุยกับคุณแม่เป็นยังไงบ้าง?”รมิดามองหน้าเขาแล้วยิ้มบาง ๆ “ไม่เป็นไรแล้วล่ะ คุณหญิงแค่… ยอมรับฉันแล้ว”แววตาของปรเมศไหววูบไปชั่วครู่ ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะค่อย ๆ ยกยิ้มขึ้นมาอย่างโล่งใจ“จริงเหรอ?” เขาถามเสียงเบา ราวกับยังไม่อยากจะเชื่อ รมิดาพยักหน้า “ค่ะ จริง คุณหญิงยอมรับฉันแล้ว”ปรเมศมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ เขาเห็นความสุขและความโล่งใจที่สะท้อนอยู่ในนั้น มันเป็นสิ่งที่เขาเฝ้ารอมาโดยตลอดเขายื่นมือไปจับมือเธอเอาไว้ “ดีแล้ว… ผมดีใจจริง ๆ”รมิดากำมือของเขาแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองน้องอชิที่ยังคงหลับสนิท เธอถอนหายใจเบา ๆ“ตอนนี้เหลือแค่ภีม…” น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาลง แววตาหม่นลงเล็กน้อยปรเมศบีบมือเธอเบา ๆ เป็นเชิงปลอบโยน “ภีมต้องปลอดภัย เขาแข็งแรงขนาดนั้น เขาไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นอะไรไปง่าย ๆ หรอก”รมิดาฝืนยิ้ม
ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งรมิดานั่งอยู่หน้าห้องไอซียู มือของเธอคอยลูบศีรษะเล็ก ๆ ของน้องอชิที่หลับอยู่ในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา ดวงตาของเด็กน้อยยังคงบวมแดงจากการร้องไห้หนัก ความเหนื่อยล้าทำให้เขาหลับไป แต่ถึงอย่างนั้น มือเล็ก ๆ ก็ยังจับชายเสื้อของเธอไว้แน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปรมิดามองประตูห้องไอซียูที่ปิดสนิท หัวใจของเธอเต้นแรงอย่างหวาดหวั่น ทุกวินาทีที่รอคอยช่างยาวนาน ราวกับเข็มนาฬิกาเดินช้าลงอย่างน่าทรมาน“ถึงมือหมอแล้ว นายจะไม่เป็นอะไร”ริมฝีปากสีสวยพึมพำเบา ๆ เธอเคยดูละครหลังข่าวมาก็เยอะ สถานการณ์ที่พระเอกโดนยิง จะมีปาฏิหารย์ตลอด ฉะนั้นภีมคือพระเอกในเรื่องราวของเธอ เป็นป่าป๊าของน้องอชิ เขาต้องรอดเท่านั้นตึก ! ตึก !ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากปลายทางเดิน ปรเมศที่เพิ่งจัดการเรื่องราวต่าง ๆ เสร็จ รีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาเธอ“รมิดา!”เสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนใจรมิดาเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนล้าและความกังวล “ปรเมศ…”ปรเมศทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เธอ หายใจหอบเล็กน้อยเพราะวิ่งมาอย่างรีบร้อน “เป็นยังไงบ้าง หมอบอกว่ายังไง?” เขาพูดเสียงอ่อนพลางลูบหลังเธอเ
ปรเมศกับภีมซุ่มอยู่ด้านนอกโกดัง ดวงตาทั้งสองคนจับจ้องไปยังพวกโจรที่กระจายตัวกันอยู่ด้านหน้าอาคาร“มีสองคนเฝ้าหน้าประตู อีกคนเดินตรวจตราอยู่รอบ ๆ” ภีมกระซิบขณะมองผ่านช่องเล็ก ๆ บนกำแพงร้าง“ถ้าบุกตรง ๆ เสียงปืนดังแน่ ต้องจัดการเงียบ ๆ ก่อน” ปรเมศพยักหน้าเห็นด้วยภีมชี้ไปทางด้านซ้าย “ฉันจะไปจัดการไอ้คนที่เดินตรวจ นายไปดักสองตัวที่เฝ้าประตู”“เออ เจอกันข้างใน” ปรเมศตอบเสียงเรียบ ก่อนที่ทั้งสองจะแยกกันดำเนินแผนภีมเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบ อาศัยเงามืดเป็นที่กำบัง รอจนโจรที่เดินตรวจตราเผลอ ก่อนจะพุ่งเข้าไปล็อกคอจากด้านหลัง กระชากตัวมันลงกับพื้นอย่างแรง“อึก…!!”ภีมใช้แขนรัดคอแน่นจนร่างนั้นหมดสติไป ก่อนจะค่อย ๆ วางมันลงกับพื้นอย่างไร้เสียง“หนึ่งไป” เขาพึมพำเบา ๆ แล้วส่งสัญญาณให้ปรเมศที่ซุ่มอยู่ใกล้ประตูปรเมศจัดการพวกที่เฝ้าหน้าประตูอย่างรวดเร็ว เขาใช้ท่อนไม้หนัก ๆ ฟาดเข้าที่ท้ายทอยของคนแรก ก่อนจะเตะเข้ากลางลำตัวของอีกคนจนมันล้มลงไป“สองไป”ภีมรีบเข้ามาสมทบ ทั้งคู่จับอาวุธจากพวกโจรมาไว้ในมือ ก่อนจะค่อย ๆ เปิดประตูโกดังเข้าไปทันทีที่เข้ามาข้างใน“ลุงภีม!! ลุงเมศ!! ช่วยป้
โกดังร้าง – เวลากลางคืนปรเมศกับภีมขับรถมาถึงบริเวณโกดังร้าง ก่อนจะดับเครื่องยนต์ไว้ห่างออกไปไม่เกิน 500 เมตร ทั้งสองกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาตึงเครียด บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด มีเพียงแสงไฟสลัวจากเสาไฟฟ้าบางต้นที่พอให้มองเห็นโครงสร้างเก่าโทรมของโกดัง“เราจะบุกเข้าไปเลยไม่ได้” ภีมพูดเสียงเครียด “ถ้าคนร้ายรู้ตัวก่อน มันอาจจะใช้รมิดากับอชิเป็นตัวประกัน”ปรเมศพยักหน้า เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความจากตำรวจที่ตอบกลับมาแล้วว่ากำลังเดินทางมา คาดว่าจะถึงภายใน 15 นาที“เราต้องถ่วงเวลาให้ตำรวจมาถึงก่อน” ปรเมศพูดเสียงหนัก “แต่เราก็ต้องหาทางให้พวกมันไม่รู้ตัวว่าเรามาแล้วด้วย”ภีมมองไปยังโกดัง สังเกตเห็นว่ามีลูกน้องของพวกมันสองคนเดินตรวจตราอยู่ด้านหน้า ถือปืนคนละกระบอก“ทางเข้าออกมีแค่ประตูหน้า” ภีมพึมพำ “ถ้าเราจะเข้าไป ต้องหาทางกำจัดยามพวกนั้นก่อน”ปรเมศขบกรามแน่น ก่อนจะเหลือบมองไปทางซ้ายมือของโกดัง ซึ่งมีช่องหน้าต่างแตกอยู่ “หรือเราจะลองเข้าไปจากตรงนั้น?”ภีมหรี่ตา “อืม… นั่นอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า”ขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของภีมสั่นเบา ๆ เขารีบกดรับ เป็นสายจากตำรวจ“ค