บทที่ 1 เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม
“ตัดผม กับแต่งตัวให้ดูดีขึ้น ก็ไม่น่ามีอะไรแล้ว” ปอเอ่ยพลางพาเตโชมาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อแปลงโฉม เตโชมองไปรอบๆ ด้วยสายตาวาววับ ก่อนที่เสียงของหญิงสาวที่เดินอยู่ด้านหน้าจะเอ่ยขึ้นว่า “และเก็บท่าทางอยากรู้อยากเห็นนั่นไปซะ ในวงการนี้ยิ่งรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี” เตโชเม้มปากก่อนจะลดสายตาลง แล้วเอ่ยกับหญิงสาวว่า
“แล้วเรื่องเงิน?” หญิงสาวหัวเราะ ก่อนจะหันไปปรายมองเตโชจากด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเหยียดหยามว่า
“เอาไว้ให้มีคนเลี้ยงก่อนค่อยมาพูดเรื่องเงินกับฉัน” เมื่อได้ยินเตโชก็เม้มปาก ก่อนจะเดินตามหญิงสาวเข้าไปในร้านทำผมหรูหรา “เอาทรงที่เข้ากับเบ้าหน้าหมอนี่” ปอเอ่ยพลางชี้ไปที่เตโชที่กำลังทำท่าเหนียมอาย และพนักงานก็รับคำอย่างสุภาพก่อนจะเข้ามารุมล้อมเตโชเพื่อทำผม ในขณะที่หญิงสาวนั่งอ่านนิตยสารรออีกฝ่าย หลังจากเวลาผ่านไปราวชั่วโมงกว่าเตโชก็ทำผมเสร็จ หญิงสาวจึงพาไปต่อที่ร้านเสื้อผ้า ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงจริงจังว่า
“นอกจากเรื่องที่ยิ่งรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี ก็เรื่องของความมั่นใจ ถ้าทำตัวเหนียมอายอย่าหวังว่าจะมีเสี่ยมาเลี้ยงเลย เพราะฉะนั้นนอกจากปากหวาน เอาใจเก่งแล้วยังต้องฉลาดคิดฉลาดพูดด้วย ไม่อย่างนั้นก็อยู่ที่วงการนี้ได้ไม่นานหรอก” หญิงสาวพูดพลางปรายตามองเตโชด้วยสายตาพอใจ เด็กนี่พอแต่งตัวก็ดูดีใช้ได้อยู่ เอามาล้างน้ำสักพักน่าจะตกปลาตัวใหญ่ได้ และส่วนแบ่งของเธอย่อมไม่น้อยอย่างแน่นอน เตโชเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่หลายชุดก่อนจะเดินถือถุงเสื้อผ้าออกมาพร้อมกับหญิงสาวพลางเอ่ยถามด้วยเสียงเบาว่า
“คือพี่ปอ ผมยังไม่เคยทำเรื่องอย่างว่าเลย มันจะมีผลไหม?” เมื่อได้ยินหญิงสาวก็หรี่ตาลง ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงไม่เชื่อว่า
“แน่ใจนะว่ายังไม่เคย?” เมื่อได้ยินเตโชก็พยักหน้ารับ
“ใช่ๆ ผมไม่เคยจริงๆ ” เมื่อได้ยินหญิงสาวก็มีแววตาวาววับ และคิดไปถึงปลาใหญ่หลายๆ ตัวที่น่าสนใจ เอาล่ะดูเหมือนครั้งนี้เธอจะไม่ขาดทุนแล้ว
“ดี แต่ถ้ามาโกหกกันล่ะก็ อย่าหวังว่าจะได้อยู่ในวงการนี้อีกเลยเถอะ” เมื่อได้ยินเตโชก็พยักหน้ารับ ก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยถึงเรื่องสำคัญว่า
“ว่าแต่แกเป็นเพศพิเศษใช่ไหม?” เมื่อได้ยินเตโชก็เม้มปาก ก่อนจะพยักหน้ารับ
“จิ ดูเหมือนยังรับแขกไม่ได้เร็วๆ นี้” เตโชมองหน้าหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่เธอจะโบกมือพาเตโชกลับไปที่ลานจอดรถ แล้วเอ่ยด้วยเสียงจริงจังว่า “ฉันต้องพาแกไปตรวจโรค และฝังยาคุมก่อน ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่แขกจะเอาแกแน่ๆ ” พูดจบเธอก็สตาร์ตรถก่อนจะขับออกจากห้างสรรพสินค้าตรงไปที่โรงพยาบาลทันที
............................
เตโชเม้มปากก่อนจะมองใต้ท้องแขนซ้ายด้วยสายตาอ่านยาก แล้วเงยหน้ามองหญิงสาวที่กำลังนั่งทานข้าวฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาสงสัย “ถ้าเราฝังยาคุมแบบนี้ แล้วเราจะจับเขาได้อย่างไร?” เมื่อได้ยินปอก็หัวเราะเยาะ ก่อนจะยกนิ้วเคาะไปที่หน้าผากของเตโช แล้วเอ่ยด้วยเสียงเหยียดว่า
“ฉันจะสอนแกในฐานะรุ่นพี่แล้วกัน วงการนี้แกเชื่อได้เลยว่าตัวเองอาจจะเป็นเมียน้อย เมียเก็บ เด็กเลี้ยง บลาๆ แล้วแต่คนจะนิยาม เพราะฉะนั้นเรื่องท้องเพื่อจับอีกฝ่ายนะอย่าคิดหวังจะดีกว่า เพราะคนพวกนั้นมีหลายวิธีที่ทำให้แกต้องจบไม่สวย เข้าใจใช่ไหมว่าฉันกำลังเตือนเรื่องอะไร?” เตโชที่ได้ยินก็พยักหน้ารับ ก่อนที่หญิงสาวจะพูดต่อว่า “จำวันเวลาหมดอายุของยาคุมที่ฝังไว้ให้ดี เข้าใจไหม?”
“อืม” เมื่อได้ยินหญิงสาวก็พยักหน้ารับ ก่อนจะพาเตโชกลับคอนโดฯ ของเธอแล้วบอกกับอีกฝ่ายว่า
“เพราะฉันคิดจะตกปลาตัวใหญ่ แกเลยต้องเรียนรู้เรื่องมรรยาทพวกนี้ไว้ด้วย อย่าทำให้ตัวเองรู้สึกด้อยค่าต่อหน้าคนอื่น เพราะหน้าตาของแกอาจแลกมาด้วยหน้าตาของอีกฝ่าย” เมื่อได้ยินเตโชก็พยักหน้ารับ ก่อนจะรับไอแพดมาด้วยตาวาววับ เพราะความหรูหราที่ได้รับ “และใช่ ไอ้สายตาที่มองทุกอย่างแปลกใหม่นั่นเก็บไปด้วย อย่าทำตัวตื่นเต้นออกนอกหน้าเหมือนพวกไม่เคยเห็นโลก ไม่ว่าแกจะเคยเห็นหรือไม่เคยเห็น สิ่งที่แกแสดงออกได้มีเพียงแค่ความเฉยชาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแกนอนนับวันรอเขี่ยทิ้งได้เลย”
“อืม” เตโชพยักหน้ารับ ก่อนที่หญิงสาวจะเท้าเอวแล้วเอ่ยต่อว่า
“เห็นแก่ที่เป็นคนละแวกเดียวกัน ฉันจะเตือนอีกอย่าง ในวงการนี้ถ้าแกตกหลุมรักอีกฝ่าย เท่ากับแกตัดทางรอดของตัวเองไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อไรก็ตามที่แกตกหลุมรักอีกฝ่ายสิ่งที่แกทำได้คือต้องซ่อนให้ลึกที่สุดอย่าให้ใครรู้เด็ดขาด แม้แต่ตัวเองแกก็ต้องหลอกไว้ว่าไม่ได้รักเขา ไม่อย่างนั้นจุดจบของแกไม่สวยแน่” เมื่อได้ยินเตโชก็กลืนน้ำลาย ก่อนจะเอ่ยตอบรับเสียงเบา
“อืม” หญิงสาวจ้องมองเตโชด้วยสายตาพอใจเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวค่อนข้างเชื่อฟังที่เธอสอน ดีกว่าเด็กคนก่อนหน้านี้มาก ก่อนจะเอ่ยตัดบทว่า
“อ่านไอ้ที่ฉันให้อ่านในไอแพดให้หมด แล้วจำให้ได้ภายในสามวัน เพราะอีกสามวันต่อมาฉันจะพาแกไปตกปลา”
“ตกปลา?” เตโชไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร ก่อนที่หญิงสาวจะหัวเราะแล้วเอ่ยด้วยเสียงอารมณ์ดี
“หาเสี่ยมาเลี้ยงแกนะสิ” เตโชที่ได้ยินก็ตาวาว ก่อนจะซ่อนสีหน้านั้นไว้แล้วเปลี่ยนเป็นราบเรียบ ทำเอาหญิงสาวปรบมืออย่างชอบใจที่เตโชหัวไวเรียนรู้ที่เธอสอนได้เร็ว “หัวไวใช้ได้ แต่อย่ามาตกม้าตายตอนเริ่มงานจริงล่ะ”
“แน่นอน” เตโชเอ่ยด้วยความมั่นใจ ก่อนจะนั่งอ่านสิ่งที่อยู่ในไอแพดด้วยความตั้งใจ
..........................
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงวันที่เตโชต้องเริ่มงานแล้ว ปอจัดเตรียมแต่งตัวสอนแต่งหน้าบางๆ ให้เจ้าตัว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงจริงจังว่า “ในวงการนี้แกต้องดูแลตัวเอง อย่าอ้วน ห้ามหน้าโทรม และที่สำคัญยั่วให้เป็น ไม่อย่างนั้นแกก็ดับ” เตโชที่กำลังนั่งให้ปอแต่งหน้าพยักหน้ารับ ก่อนจะเริ่มแต่งตัว เป็นเสื้อแขนยาวสีดำคอเต่า แต่เผยให้เอวขาวผ่องเรียบเนียน ที่สวมด้วยสร้อยคล้องเอว รับกับกางเกงสีเดียวกันขายาว และรองเท้าผ้าใบสีดำดูทะมัดทะแมง “ใช้ได้” ปอเอ่ยชมเปาะเพราะอีกฝ่ายดูเนียนตา เชื่อเถอะว่าปลาใหญ่เห็นแล้วต้องอยากงาบเหยื่ออย่างเตโชอย่างแน่นอน
แล้วหญิงสาวก็พาเตโชไปที่คลับแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในโรงแรมสูง เพราะถูกหญิงสาวสั่งสอนมาถึงเรื่องการวางตัว เมื่อมาถึงเตโชก็ยังคงนิ่งเงียบ มองทุกอย่างด้วยสายตาราบเรียบไร้ระลอกคลื่นใด แต่ในใจกลับเต้นระรัวเพราะความตื่นเต้น ทำเอาปออดพยักหน้ารับในใจไม่ได้ที่อีกฝ่ายทำตามที่เธอสอนทุกอย่างอย่างมีสติ เมื่อมาถึงเลานจ์หรูปอก็พาเตโชเดินไปรอบๆ ที่นั่นแน่นอนว่ามีสายตาให้ความสนใจมากมาย ก่อนที่เธอจะพาเตโชไปนั่งที่บาร์แล้วเอ่ยกับบาร์เทนเดอร์ว่า “เด็กใหม่ค่ะคุณกิต” บาร์เทนเดอร์เหลือตามองเตโชที่ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมด้วยท่าทางสงบ ก่อนที่กิตติจะพยักหน้ารับ
“สอนมาดี” ปอที่ได้ยินก็ยกยิ้มหวานเมื่อได้รับคำชมจากเจ้านาย ก่อนที่เธอจะหันไปกระซิบกับเตโช
“นี่คุณกิตติเจ้าของเลานจ์ที่นี่ และนายหน้าหาเด็กๆ ให้ท่านทั้งหลาย” เธอกระซิบเสียงเบา ก่อนที่เตโชจะพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เธอพยักหน้ารับอย่างพอใจ ก่อนที่เสียงของกิตติจะเอ่ยขึ้นว่า
“วันนี้มีแขก VVIP พอดี ถ้าท่านถูกใจก็ถือว่าบุญหล่นทับ” เมื่อได้ยินปอก็มีแววตาของความอิจฉาชั่วครู่ก่อนจะสงบลง แล้วเอ่ยตอบรับด้วยเสียงยินดีว่า
“ขอบคุณค่ะคุณกิต ขอบคุณคุณกิตสิเต” เตโชยกมือไหว้คุณกิตติอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงหวานว่า
“ขอบคุณครับคุณกิต” อีกฝ่ายพยักหน้ารับ จ้องมองเตโชด้วยสายตาพิจารณา ก่อนจะวางแก้วเครื่องดื่มตรงหน้าเตโช แล้วเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า
“เห็นโซนที่กั้นด้วยเส้นแดงไหม” เมื่อเห็นว่าเตโชหันไปตามที่ตัวเองชี้แล้วพยักหน้ารับ กิตติก็เอ่ยต่อว่า “โต๊ะในสุดที่มีผู้ชายตัวใหญ่สองคนยืนคุมอยู่ เดินเข้าไปแล้วเสิร์ฟเครื่องดื่มให้อีกฝ่าย ถ้าท่านสนใจ เธอจะได้อยู่นั่งเป็นเพื่อนท่าน แต่ถ้าไม่ก็แค่เดินกลับมา” เมื่อได้ยินเตโชก็ยกแก้วเครื่องดื่มในมือขึ้น แล้วเดินอย่างมั่นใจไปตามทางที่ว่า แม้จะรู้สึกประหม่าและมองทางไม่ค่อยเห็นเพราะความมืด แต่เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิมเตโชทำได้เพียงกัดฟันแล้วเดินหน้าต่อไปเท่านั้น เพราะตนไม่อยากกลับไปที่สลัมนั่นอีกต่อไป!!
“ผมมาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ท่าน” เตโชเอ่ยกับบอดีการ์ดด้วยท่าทางสงบ ไม่ได้ตื่นตระหนกหรือแสดงความกลัวใดใด เพราะในโลกนี้สิ่งที่เตโชกลัวคงจะมีเพียงแค่ การกลับไปอยู่ในสลัมนั่นอีกครั้ง กลายเป็นไอ้เตที่เป็นได้แค่ที่รองมือรองตีนของคนในบ้านเท่านั้น ในระหว่างที่เตโชกำลังเอ่ยกับบอดีการ์ดด้านหน้า สายตาคมก็จับจ้องที่ร่างเล็กด้วยความสนใจ ก่อนจะโบกมือให้อีกฝ่ายเข้ามา เตโชไม่ได้ถอนหายใจหรือทำท่าโล่ง แต่เดินผ่านไปด้วยความมั่นใจ แล้ววางเครื่องดื่มด้วยท่าทางสงบ ก่อนจะเดินถอยออกมา คล้ายจะเดินกลับ ทำเอาอีกฝ่ายนิ่งไปก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า
“มานั่งสิ” เมื่อได้ยินนัยน์ตาของเตโชก็เต็มไปด้วยระลอกคลื่นก่อนจะจางหายไป แล้วเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายพลางนั่งลงที่ด้านข้าง
“ขอบคุณครับ” เตโชไม่ได้นั่งจนชิดเกินไป แต่ก็ไม่ได้ออกห่างจนน่าเกลียด อีกฝ่ายจ้องมองใบหน้าของเตโช ในขณะที่เตโชเองก็ยกยิ้มให้อีกฝ่าย แล้วแอบประเมินอีกฝ่ายในใจ ดูท่าอีกฝ่ายน่าจะอายุ 30 ปลายๆ หรือมากกว่านั้น รูปร่างไม่ได้อ้วนหรือผอมเกินไป ดูเป็นคนรักสุขภาพพอสมควร แต่ที่สำคัญคือเจ้าตัวมีออร่าที่รู้สึกว่าตัวเองต้องโค้งคำนับเจ้าตัวอยู่เสมอ
“ชื่อ?” เมื่อได้ยินเตโชก็ยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงไพเราะน่าฟังว่า
“ผมชื่อเตโชครับ เรียกว่าเตเฉยๆ ก็ได้” เตโชเอียงศีรษะก่อนจะเม้มปากทำท่าเหมือนอยากพูดอะไร แต่ไม่กล้า ก่อนจะกัดฟันแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนน้อมว่า “เตถามชื่อท่านได้ไหมครับ?” เตโชถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัว จนมือเหงื่อออกไปหมด ก่อนที่อีกฝ่ายจะเลิกคิ้วแปลกใจ แล้วเอ่ยตอบด้วยเสียงราบเรียบว่า
“ภาคย์ แต่จะดีกว่าถ้าเธอเรียกฉันว่าคุณป๋า?” เมื่อเห็นสายตาหยอกเย้าของอีกฝ่าย เตโชก็เริ่มมีความกล้าจึงได้เอนตัวไปเข้าอีกฝ่าย แล้วเอ่ยด้วยเสียงกระซิบยั่วเย้าว่า
“คุณป๋า?” เตโชเอ่ยด้วยเสียงหวานยั่วเย้า ก่อนจะเอ่ยถามต่อว่า “แบบนี้ใช่ไหมครับ?” นัยน์ตาของเตโชเต็มไปด้วยการเชิญชวนอย่างไม่ปิดบังเมื่อเห็นอีกฝ่ายเองก็ดูจะเล่นด้วยกับตัวเอง ภาคย์มองเด็กตรงหน้าด้วยสายตาขบขัน ก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อโอบไหล่เล็กเข้ามาในอ้อมอก แล้วเอ่ยด้วยเสียงอารมณ์ดีว่า
“ไหนบอกฉันสิว่าเธออายุเท่าไรแล้ว” เมื่อได้ยินเตโชก็ยกยิ้ม ก่อนจะขยับให้ตัวเองเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างพองาม
“18 แล้วครับ” เมื่อได้ยินภาคย์ก็เลิกคิ้ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม
“เรียนจบอะไรมา?” เมื่อได้ยินเตโชก็มุมปากกระตุกก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า
“เตเรียนจบม.3ครับ คุณป๋ารังเกียจคนการศึกษาน้อยอย่างเตไหมครับ?” เมื่อได้ยินภาคย์ก็เลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนลงว่า
“แล้วเราอยากเรียนเพิ่มไหม?” เตโชยกยิ้มยินดี ก่อนจะเอ่ยพร้อมกับจับเนื้อตัวอีกฝ่ายอย่างพองาม
“อยากสิครับ ถ้ามีโอกาสเตก็อยากเรียนให้จบมหาลัยฯ เลย” เมื่อได้ยินสีหน้าของภาคย์ก็อ่อนลงอีกระดับ ก่อนที่ภาคย์จะเอ่ยถามต่อว่า
“แล้วถ้าฉันให้โอกาสนั้นเธอจะคว้าไว้ไหม?” เมื่อได้ยินเตโชก็ช้อนสายตาก่อนจะกอดอีกฝ่ายแล้วเอ่ยด้วยเสียงออดอ้อนว่า
“ถ้าคุณป๋าใจดีมอบโอกาสนั้นให้เต เตก็จะน้อมรับด้วยความเต็มใจครับ” เมื่อได้ยินภาคย์ก็หัวเราะก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มเด็กหนุ่มข้างกาย แล้วเอ่ยด้วยเสียงอารมณ์ดีว่า
“แล้วเตจะให้อะไรฉันเป็นการแลกเปลี่ยนล่ะ?” เมื่อได้ยินเตโชก็ยกยิ้ม ก่อนจะยกมือป้องปาก แล้วยืดตัวจนมือของภาคย์เลื่อนไปจับที่ผิวเนื้อข้างเอว พร้อมกับเสียงกระซิบชิดริมใบหูที่ว่า
“เตให้คุณป๋าทุกอย่างเลย ทั้งใจ ทั้งกาย แต่คุณป๋าต้องค่อยๆ สอนเตนะครับ เพราะเตยังไม่เคย” เตโชหน้าแดง พลางก้มหน้าลงซบกับอกของอีกฝ่าย ทำเอาภาคย์หลุดยิ้มกับความออดอ้อนนั้น ก่อนจะตาวาวเมื่อได้ยินว่าเจ้าตัวยังไม่เคยผ่านมือใครมาก่อน พลางเชยคางอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยเสียงอารมณ์ดีว่า
“ไม่โกหกฉันนะเด็กดี?” เตโชยิ้มหวาน ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยต่อ
“สาบานเลยครับ” เมื่อได้ยินนัยน์ตาของภาคย์ก็เต็มไปด้วยความสนใจ ก่อนจะโอบกระชับรอบเอวอีกฝ่าย แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มว่า
“ดี ถ้าอย่างนั้นไปกับฉันเถอะ ฉันจะค่อยๆ สอนเธอคืนนี้” เมื่อได้ยินเตโชก็ยกยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเขินอาย แล้วเดินกอดแขนอีกฝ่ายออกไปจากเลานจ์ ทันเห็นหญิงสาวยกยิ้มย่างภูมิใจให้ตัวเอง พลางยกแก้วขึ้นชู เตโชยกยิ้มก่อนจะกอดแขนอีกฝ่ายลงลิฟต์ เมื่อมาถึงรถเตโชไม่ได้แสดงอาการตกใจกับความหรูหราที่ว่า แต่ค่อนข้างสงบ แน่นอนว่าภาคย์เองก็มองเห็นจึงได้พยักหน้ารับอย่างพอใจ ก่อนจะพาเด็กหนุ่มเข้าไปในรถ แล้วเอ่ยกับคนขับให้ไปที่เพนต์เฮาส์ของตัวเองเพราะความถูกใจของภาคย์
“ไหนบอกฉันสิว่ายังไม่เคยทำอะไรบ้าง?” เมื่อได้ยินเตโชก็ยิ้มอย่างเขินอาย ก่อนจะเอียงตัวไปกอดแขนอีกฝ่าย แล้วป้องปากกระซิบว่า
“ทุกอย่างเลยครับ คุณป๋าจะเป็นคนแรกของเตทุกอย่าง” เมื่อได้ยินภาคย์ก็มีสีหน้าสนใจ ก่อนจะเชยคางอีกฝ่าย แล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่ริมฝีปากบาง พลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“รู้ใช่ไหมว่าถ้าโกหกจะเจออะไร?” เตโชยกยิ้มก่อนจะเผยอปาก กลืนนิ้วเข้าไปในปาก แล้วเอ่ยด้วยเสียงอู้อี้ว่า
“ให้คุณป๋าลงโทษเตได้เลย” เมื่อได้ยินภาคย์ก็ดึงนิ้วมืออก ก่อนจะละเลียดชิมริมฝีปากของเด็กที่บอกว่าไม่เคยทุกอย่าง อย่างค่อยเป็นค่อยไป และใช่ ถ้าเตโชไม่แสดงเก่งเกินไป ก็ต้องเชี่ยวชาญมากเกินไปที่จะปลอมแปลงแม้แต่ความเงอะงะของการจูบที่ว่า และเพราะแบบนั้นภาคย์ถึงได้ติดใจ กดจูบเด็กหนุ่มซ้ำๆ อย่างเอาแต่ใจ จนมือของเตโชเลื่อนมาจับที่อกเสื้อแล้วผละใบหน้าออก หอบใจด้วยดวงตาสั่นไหวฉ่ำน้ำ “ฮ่าส์ เตหายใจไม่ทันครับคุณป๋า” เมื่อได้ยินภาคย์ก็ยกมือลูบแก้มเนียน ก่อนจะก้มลงจุ๊บริมฝีปากฉ่ำวาว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงทุ้มอ่อนโยนว่า
“เรามาลองอีกครั้งเถอะ เดี๋ยวครั้งนี้ฉันจะค่อยๆ สอนเธอเอง” เมื่อได้ยินเตโชก็พยักหน้ารับ ก่อนจะยกยิ้ม แล้วเผยอปากหรี่ตาเพื่อรอให้อีกฝ่ายเข้ามาจูบตัวเอง แล้วมีหรือที่ภาคย์จะไม่สนอง
+++++
Lady Zombie
23/11/67
บทสุดท้าย จับเสือมือเปล่าเส้นทางของเตโชเดินมาไกลมาจริงๆ จากเด็กสลัมที่ต้องดิ้นรนอยู่ในครอบครัวเฮงซวย สู่เด็กเลี้ยงที่ต้องแย่งชิงความรักจากคุณป๋า และมาสู่แม่ของลูกที่ไร้สถานะมาหลายปี ก่อนจะกลายเป็นคุณชายของอัครพิเสธถูกต้องตามกฎหมายในปัจจุบัน เพราะแบบนั้นเตโชจึงรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นจากแต่ก่อนที่คิดหวังเพื่อต้องการขึ้นเป็นคุณชายของอัครพิเสธเพียงเท่านั้น ตอนนี้เตโชสงบลงแล้ว มองโลกได้กว้างขึ้น และเลี้ยงลูกด้วยความรักความห่วงใยอย่างเต็มเปี่ยม ตอนนี้อาโปอายุได้ 5 ขวบแล้ว เจ้าตัวเรียนอยู่อนุบาลสอง และนี่เป็นเพียงช่วงปิดเทอมเท่านั้น ภาคย์กับเตโชเลยตกลงกันว่าจะพาลูกชายไปเที่ยวทะเลเพื่อพักผ่อนหนีร้อนในเมืองคุณป๋าอาสาขับรถมาเองเพราะอยากออกไปเที่ยวกับครอบครัวแบบธรรมดา อาโปนั่งที่เบาะด้านหลังร้องเพลงเจื้อยแจ้วอย่างสนุกสนาน ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณแม่ น้องคืออะไร?ใจ๋ใจ๋บอกว่าตัวเองกำลังมีน้องล่ะ” เมื่อได้ยินสีหน้าของเตโชก็แดงก่ำเหลือมองคุณป๋าที่หัวเราะร่า ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือตัวเอง แล้วเอ่ยด้วยเสียงอารมณ์ดีว่า“น้องคือเพื่อนเล่นอีกคนครับ ทำไมอาโปอยากมีน้องหรือ?” เมื่อได้ยินอาโปก็ย่นคิ
บทที่ 19 ดีดลูกคิดรางแก้วภายในสลัมโชคจ้องหนังสือพิมพ์ที่กำลังแปะพาดหัวข่าวการแต่งงานของยักษ์แห่งวงการยา แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้โชคสนใจไม่ใช่เรื่องราวความรักหวานชื่นแต่เป็นภาพของภรรยาคุณชายคนใหม่แห่งอัครพิเสธ อย่างเตโช อัครพิเสธต่างหากที่ทำให้โชคเลียริมฝีปากที่แห้งผาก ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ไอ้เต มึงอยู่นี่นี้เอง” ใช่โชคกำลังมองหาลูกชายคนเล็กที่หายตัวไปราว 10 กว่าปีได้ มันทิ้งให้ตัวเองต้องเผชิญกับเรื่องบัดซบหนีเอาตัวรอดคนเดียวแบบนี้ โชคยิ่งแค้นใจนัก ตนจ้องมองชื่อและนามสกุลใหญ่ที่ว่า ก่อนจะยืมมือถือของลูกน้องคนหนึ่งมากดเสิร์ชหาที่อยู่ของบ้านอัครพิเสธในวันแรกโชคมาที่บริษัทยาที่ชื่อว่า เภตรา ฟาร์มาซูติคอล ซึ่งเป็นบริษัทที่ผัวไอ้เตมันทำงานอยู่ โชคมาด้อมๆ มองๆ อยู่บริษัทอยู่หลายวันถึงได้รู้ว่ารถคันไหนเป็นรถที่ผัวไอ้เตมันนั่ง หลังจากนั้นก็พยายามสะกดรอยตามไปถึงที่บ้าน ตอนแรกโชคหาทางไปบ้านไม่เจอเพราะคาดกันหลังจากนั้นผ่านไปไม่นานก็มาถึงบ้านหลังใหญ่ โชคมองบ้านหลังใหญ่ด้วยความโลภในดวงตา ก่อนจะเผยริมฝีปากเมื่อเห็นจากไกลๆ ว่าเตโชมันออกมาพร้อมเด็กตัวเล็กอีกคนน่าจะเป็นลูกมันโชคคิดในใจ ก่อนจะเ
บทที่ 18 กิ่งทองใบหยกเตโชนั่งอ่านข่าวของน้ำฟ้าและวิจิตรกาลในโทรศัพท์มือถืออย่างใจเย็น รอยยิ้มมุมปากถูกยกขึ้นก่อนที่พี่เนยจะเอ่ยพร้อมกับเล่นกับน้องอาโปไปด้วยว่า “ดีแล้วค่ะที่คนเลวแบบนั้นโดนจับ” เตโชหุบยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเห็นใจว่า“สงสารก็แต่น้องน้ำตาลไม่รู้ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อได้ยินเนยก็ถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงโมโหว่า“ไม่น่าเห็นใจเลยค่ะ เด็กอะไรไม่รู้ทำไมรังแกอื่นไปทั่วแบบนั้น” เตโชพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ตนคิดว่าน้ำฟ้าจะจัดการกับตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่าน้ำตาลจะรังแกลูกชายตัวเองจริงๆ เห็นได้ชัดว่านี่น่าจะเป็นพฤติกรรมการส่งเสริมจากมารดาอย่างไม่ต้องสงสัย คงไม่มีเด็กสิบขวบที่ไหนมารังแกคนอื่นถ้านิสัยไม่เสียจริงๆ เพราะแบบนั้นเตโชจึงพูดออกมาจากใจจริงๆ ที่เป็นห่วงน้ำตาล เพราะเด็กหญิงคงเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายแบบนี้เพราะการกระทำของมารดาทั้งนั้น และไม่นานคุณป๋าก็กลับมาถึงบ้าน เตโชพาลูกชายออกไปต้อนรับเหมือนอย่างทุกวัน แต่วันนี้ต่างไปนิดหน่อยเพราะคุณป๋าดูเหมือนมีอะไรในใจ เมื่อขึ้นมาบนห้องหลังจากเตไปส่งลูกชายเข้านอน ก็เห็นภาคย์นั่งลงที่ปลายเตียงกำลังรอ
บทที่ 17 พออ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ภาคย์นั่งอ่านรายงานที่พัดส่งมาให้ตัวเองด้วยสีหน้าจริงจัง จากการสอบสวนน้ำฟ้า เธอตั้งท้องจริงหลังจากหย่ากับภาคย์มีโอกาสเป็นไปได้มากว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของภาคย์ แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่ชัดเมื่อในสูติบัตรของน้ำตาลในช่องพ่อถูกเว้นชื่อเอาไว้ ส่วนสาเหตุที่เธอกลับมาในช่วงสิบปีน่าจะเป็นผลมาจากครอบครัวของเธอเกิดปัญหา ตอนหย่ากันสินสมรสถูกแบ่งออกอย่างเท่าเทียมกัน และภาคย์ก็ยุติการร่วมมือระหว่างวิจิตรกาลและอัครพิเสธไปแล้วเพื่อความชัดเจน เพราะแบบนั้นตนจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องของวิจิตรกาลอีกต่อไป จนมาทราบตอนนี้ว่าทางวิจิตรกาลกำลังจะถูกฟ้องล้มละลาย เนื่องจากการหนีภาษีมาหลายปี “ท่านประธานอยากให้ผมสืบต่อไหมครับ?” ภาคย์วางเอกสารลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงจริงจังว่า“ให้แม่บ้านเก็บเส้นผมของน้ำตาลมาให้อย่างลับๆ ในเมื่อน้ำฟ้าไม่ต้องการตรวจพิสูจน์ความเป็นพ่อเพื่อให้เรื่องนี้กระจ่างฉันคงต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น”“ครับท่านประธาน” ก่อนที่ภาคย์จะเอ่ยต่อว่า“อีกเรื่องติดต่อคนจากวิจิตรกาล ฉันต้องการพูดคุยด้วยหน่อย” พัดเอ่ยตอบรับก่อนจะออกไปเหลือเพียงภาคย์ที่นั่งมองเอกสารในห้องด้วยสายต
บทที่ 16 พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง“ตอนเราหย่ากันฉันก็ท้องน้องน้ำตาลแล้ว แต่ฉันไม่คิดจะบอกคุณ เพราะคิดว่าไม่จำเป็น แต่ดูเหมือนตอนนี้คุณจะมีลูกแล้ว ฉันแค่ไม่อยากให้น้องน้ำตาลไม่ได้รับในสิ่งที่ควรได้รับ เพราะฉะนั้นฉันมาที่นี่วันนี้เพื่อบอกให้คุณรู้ว่าคุณยังมีลูกสาวอีกคนอยู่ด้วย”“!!!!!!!!!!!!!!” ภาคย์จ้องหน้าหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “แล้วทำไมคุณถึงเพิ่งมาบอกผมตอนนี้น้ำฟ้า?” เมื่อได้ยินน้ำฟ้าก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์อะไร ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า“เพราะฉันไม่คิดว่าคุณจะเชิดชูลูกของเด็กเลี้ยงคนนั้นออกหน้าออกตาอย่างไรเล่า รู้แบบนี้ตอนนั้นฉันไม่หย่ากับคุณน่าจะดีกว่า” น้ำฟ้าเอ่ยพลางยกกาแฟขึ้นจิบ ก่อนจะมองใบหน้าอดีตสามีด้วยสายตาราบเรียบเย็นชา เธอกับภาคย์แต่งงานกันเพราะผลประโยชน์ของคนรุ่นเก่า ทำตามคำสัญญาบ้าบอของคนแก่ที่ไม่คิดว่าจะทำ ชีวิตรักบนเตียงของภาคย์ก็ดีไม่แย่ แค่ตอนที่หย่าเธอดันมีลูกติดท้องมาด้วยเท่านั้น“ผมอยากตรวจ DNA ” เมื่อได้ยินน้ำฟ้าก็เบ้ปากก่อนจะเอ่ยเสียงไม่ยี่หระว่า“แต่ฉันไม่อนุญาต” เมื่อได้ยินภาคย์ก็ย่นคิ้วจ้องมองเธอด้วยสายตาสงสัย ภ
บทที่ 15 ชี้นกบนปลายไม้วันนี้เหมือนทุกวันภาคย์กำลังทำงานอยู่ที่บริษัท แต่จู่ๆ พัดก็เข้ามาแล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “ท่านประธานครับ คุณอินติดต่อมาว่าอยากขอพบท่านครับ” เมื่อได้ยินภาคย์ก็เงยขึ้นจากกองเอกสาร ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสับสนว่า“อิน? ใคร?” อาจจะเพราะหลายปีแล้วที่ภาคย์ไม่ได้ติดต่อกับอีกฝ่ายทำให้ความทรงจำเลือนรางไปบ้าง ก่อนที่พัดจะเอ่ยอธิบายว่า“หนึ่งในเด็กในปกครองท่านครับ แต่เลิกติดต่อกันไปหลายปีแล้ว” เมื่อได้ยินภาคย์ก็ย่นคิ้ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า“ทางนั้นติดต่อมาทำไม?”“ไม่บอกเหตุผลไว้ แค่ต้องการติดต่อท่านครับ” ภาคย์เอนหลังพิงพนักพิง ก่อนจะหรี่ตาลงแล้วเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า“ข้อมูลทั้งหมดของอินหลังเจ้าตัวออกจากฉันไป และตอบตกลงอีกฝ่ายเป็นเย็นนี้ที่ร้านอาหาร x ขอข้อมูลของเจ้าตัวก่อนออกไปเย็นนี้”“ได้ครับ” ภาคย์ไม่รู้ว่าอินกลับมาหาตัวเองด้วยเรื่องอะไร แต่ที่ยอมไปพบเพราะเห็นแก่ที่มีอดีตร่วมกันมาสักพักแล้วตัวเองเป็นฝ่ายบอกลาอีกฝ่ายก่อน ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยภาคย์ก็ยังช่วยได้ แต่ถ้ามากกว่านั้นก็อย่าหาว่าภาคย์ใจร้ายเลยเถอะและเมื่อตอนเย็นมาถึงภาคย์ที่เพิ่งอ่านเอกสารของอินจบก็มี