Masukก่อนที่สายเรียกเข้าจะตัดไป ผมก็กดรับเอาในวิสุดท้ายพอดี
“ฮัลโหล”
[อยู่ไหน]
อีกฝ่ายยังคงเป็นไต้ฝุ่นคนเดิม พูดน้อย ไม่อ้อมค้อม ยิงเข้าประเด็นทันที ผมเริ่มจะชินแล้วละ
“อ่า เอ่อ แถว xx”
ด้วยความที่ขึ้นรถมาผมก็เอาแต่เหม่อ เลยไม่ได้ดูว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว พอชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงได้เห็นว่ายังมาได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ ช่วงเวลาเร่งด่วนกับรถเมล์ ยังไงก็ไม่มีทางเร็วไปกว่ารถเล็กได้
[ลงป้ายหน้า]
“หา?” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดัง จนป้าที่นั่งด้านข้างหันมามอง ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษท่านเล็กน้อย พอตั้งสติได้เลยพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร “วันนี้มีเรียนเช้าเหรอ”
[ไม่มี อาจารย์ยกคลาส] ไต้ฝุ่นตอบกลับสั้น ๆ ก่อนถามย้ำอีกรอบ [ลงหรือยัง]
“ให้ลงทำไม จะมารับ?” ผมแกล้งยียวน
[อืม]
ชิบ นี่ก็ตรงเกิน
“ไม่ใช่แฟนกันจริง ๆ สักหน่อย ไม่ต้องดูแลขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ผมบ่นเสียงเบา ทว่ามือก็เอื้อมไปกดออด แล้วลงที่ป้ายรถเมล์อย่างที่อีกฝ่ายต้องการ
[ฉันไม่เคยทำอะไรเล่น ๆ แล้วก็ไม่ชอบหลอกใครด้วย]
“...”
ประโยคนี้มันหลอกด่าผมปะวะ
ลงจากรถเมล์มาได้ไม่นาน รถยุโรปเงาวับคุ้นตาก็ขับเข้ามาจอดเทียบท่าทันที ไม่ต้องรออีกฝ่ายลงมาเปิดประตูเชิญแบบในละคร ผมก็รีบกระโดดขึ้นไปทันทีอย่างรู้งาน
อย่างที่ไต้ฝุ่นบอกว่าวันนี้เขาไม่มีเรียน ชุดที่ใส่เลยเป็นชุดลำลองอย่างเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสามเม็ด กับกางเกงยีนสีเข้มขาดตรงเข่า เครื่องประดับอะไรก็ไม่มี เรียกว่าโคตรง่าย โคตรสบาย แต่โคตรหล่อฉิบหาย
น่าหมั่นไส้จริง!
“มาไวจัง อย่างกับมาดักรอ”
ผมแซวออกไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ในใจคิดว่าไต้ฝุ่นน่าจะไปทำธุระทางนี้ละมั้ง ถึงได้แวะมารับ ผมหันไปดึงสายเบลต์มาคาด พอทุกอย่างเรียบร้อยถึงได้ยินเขาตอบกลับ
“อืม”
“ฮะ?”
ผมหันขวับไปมองหน้าอีกฝ่ายอย่างตกใจ รอยยิ้มแห้งลง ผมแค่แซวเล่นนะเว้ย อย่าจริงจังขนาดนั้นดิ ใจไม่ดี
“จะไปรับที่บ้านแต่คลาดกันก่อน ดีที่นายยังไปไม่ไกล”
“...”
คำตอบนี้ทำเอาผมรีบก้มหน้างุด ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย ริมฝีปากเม้มแน่น แล้วก็ไม่ล้อเล่นต่อแล้วด้วย แม่ง
“เป็นอะไร”
“เปล่า ง่วงนิดหน่อย” ผมเฉไฉ
“เช้า ๆ แบบนี้รถค่อนข้างติด ถ้าง่วงก็นอนก่อน เดี๋ยวปลุก”
ไม่ต้องอธิบายต่อว่าผมง่วงเพราะอะไร ก็เมื่อคืนตอนตีสองเรายังคุยกันอยู่เลย และต่อให้ไม่ได้คุยกัน แค่เห็นวงสีดำใต้ตา ถ้าตาไม่บอดก็ต้องรู้ว่าผมไม่ได้นอนเลย
ครั้งนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองโชคดีขึ้นมานิด ๆ แล้วที่ไต้ฝุ่นมารับ เพราะถ้ายังอยู่บนรถเมล์ ต่อให้ง่วงแทบตายก็ไม่กล้าหลับอยู่ดี
แต่ก็นะ คนที่โชคดีที่สุดก็คือไอ้หน้าหล่อด้านข้างคนนี้นี่แหละ เมื่อคืนเขาบอกว่านอนไม่หลับ วันนี้ก็ไม่มีเรียน ทำธุระอะไรเสร็จก็คงกลับไปนอนอุตุต่อที่บ้าน น่าอิจฉาชะมัด!
แน่นอนว่าผมที่ง่วงจนตาเปิดได้แค่ครึ่งเดียว ย่อมต้องรับน้ำใจนี้แบบไม่เล่นตัว แขนยกกระเป๋าเป้ขึ้นมากอดแล้วฟุบหน้าลงไป สติหายวูบภายในสามวิเพราะง่วงมาก
ท่ามกลางแอร์เย็นฉ่ำ ผมถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง พอหันออกไปด้านนอกก็เห็นว่าตอนนี้พวกเรามาถึงมหาวิทยาลัยแล้วเรียบร้อย ผมเบนสายตามองไปยังนาฬิกาดิจิทัลหน้ารถ เป็นเวลาแปดโมงสี่สิบแล้ว อีกยี่สิบนาทีก็จะเริ่มคลาสเรียน ถือว่ามาเร็วกว่าปกติเล็กน้อย
“ขอบใจนะ”
ผมหันไปพูดกับคนขับรถกิตติมศักดิ์ มือคว้ากระเป๋าเป้กำลังจะลงจากรถ ทว่า เสียงจากคนด้านข้างกลับทำเอาผมชะงักไป
“วันนี้มีเรียนแค่ช่วงเช้าใช่ไหม เดี๋ยวตอนเที่ยงมารับ”
ผมทำตาโตมองไต้ฝุ่น แค่มาส่งตอนเช้านี่ก็เกินพอแล้วมั้ง “จะมารับทำไม”
“ก็ไม่ทำไม แค่ว่าง”
“...”
เออ รู้ว่าว่าง
แต่คำตอบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากรู้เลยสักนิด ผมไม่เข้าใจเขาจริง ๆ ถึงเราจะขึ้นสถานะคบกันแล้วก็เถอะ แต่พวกเราต่างรู้ดีว่ามันเป็นแค่การคบหลอก ๆ เท่านั้น ทำไมไต้ฝุ่นจะต้องจริงจังขนาดนี้ด้วย
“ลงไปได้แล้ว ไม่ไปเรียนหรือไง” ไต้ฝุ่นเอ่ยเสียงเรียบ
“อะ เอ้อ ไปสิ”
ผมลงจากรถมาด้วยอาการใจลอย ความง่วงแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง ระหว่างเดินขึ้นตึกเรียน จู่ ๆ ก็มีกลุ่มคนมาขวางหน้าเอาไว้
ผมที่เอาแต่เดินหาเศษเหรียญบนพื้นชะงักเท้า พอเงยขึ้นมาเห็นหน้าพวกมัน ก็ทำเอาอยากวิ่งหนีไปเสียเดี๋ยวนั้นเลย
“ไง ไอ้คิรินลูกพ่อ” เปาทักทายด้วยรอยยิ้มเย็น
“กล้ามากนะไม่รับสายกู” เซฟกดเสียงต่ำ สายตาที่มองมามีแต่แววข่มขู่
“เมื่อกี้มีคนมาส่งเหรอ?” โอบชะเง้อคอมองออกไปด้านนอก
นี่ท่าทางคงเห็นกันหมดแล้วสินะ
“แหะ แหะ”
ผมยิ้มแหยให้เพื่อนสนิทต่างคณะ คอแทบจะหดเข้าไปในเสื้ออยู่แล้ว อุตส่าห์กะว่าจะหลบหน้าเพื่อทำใจก่อน ใครจะไปคิดว่าพวกมันดันจับมือกันมาดักรอแบบนี้!
ดูท่าผมจะหนีไม่รอดแล้วละ
เซฟยืนกอดอก “กูว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันยาว”
“พวกมึงไม่มีเรียนเหรอ” ผมถามออกไป พยายามหาทางรอดที่มีอันน้อยนิด
“กูโดด/โดด/โดดสิ” สามเสียงประสานออกมาพร้อมเพรียง
ผมมองพวกมันตาเหลือก ลำพังเซฟกับเปาก็พอเข้าใจได้ แต่ไอ้โอบนี่ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าที่หมอฟันโดดเรียนแบบนี้จะไม่เป็นไรแน่เหรอ
สุดท้ายสามเสียงย่อมชนะอยู่แล้ว ผมโดนบังคับลากตัวไปที่คาเฟ่เจ้าประจำ ซึ่งตั้งไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ภายในร้านตกแต่งสไตล์มินิมอลขาวล้วน เป็นที่ชื่นชอบของนักศึกษามาก ๆ
เช้าตรู่แบบนี้จึงยังไม่มีคนเข้ามานั่ง จะมีก็เพียงแค่ชาวออฟฟิศหรือนักศึกษาที่แวะมาซื้อกาแฟเท่านั้น
“อ้าว เช้านี้ไม่มีเรียนกันเหรอจ๊ะ”
พี่เจ้าของร้านเดินมารับเมนู พลางทักทายพวกผมอย่างสนิทสนม สายตาที่มองกลุ่มพวกเรามีแต่ความเอ็นดู อย่างว่าแหละ ผมก็ไม่ได้อยากจะอวดหรอกนะ แต่พวกเราก็หน้าตาดีกันทั้งแก๊งจริง ๆ นั่นแหละ
“โดดน่ะครับ” เซฟตอบอย่างไม่ปิดบัง “พวกเราเอาแบบเดิมครับ”
“แหม รู้จักโดดเรียนกันด้วย” พี่เจ้าของร้านยิ้มกว้าง
ไม่! ผมไม่ได้อยากโดดสักหน่อย ผมโดนบังคับ
ขอโทษนะครับแม่ วันนี้ผมเป็นเด็กไม่ดีซะแล้ว
ผมมองไปที่พี่เจ้าของร้านตาละห้อย ในใจอัดอั้นไปหมด ท่าทางอย่างกับคนโดนลักพาตัว จนเซฟแอบหยิกเอวผมทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้
“โอ๊ย” ผมลูบเอวที่โดนหยิก หันไปค้อนใส่เพื่อนวงใหญ่
“น้อย ๆ หน่อย ทำอย่างกับถูกพวกกูลักพาตัว”
“...”
แล้วไม่ใช่เหรอวะ
ประโยคนี้ผมพูดแค่ในใจ ไม่กล้าเอ่ยออกไปมากกว่านี้ แค่นี้ดวงตาเพื่อนทั้งสามก็แทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว
“สรุปว่ายังไง เล่ามาให้หมด” เปาเอ่ยขึ้นอย่างไม่รอช้า สองแขนกอดอก หลังเอนพิงโซฟา ท่าทางอย่างกับพ่อกำลังเค้นลูกชายที่แอบหนีเที่ยว
ไม่ต้องถามว่าให้เล่าเรื่องอะไร เพราะมีเรื่องเดียวนี่แหละที่ผมยังไม่ได้บอกสามคนนี้
“เอ่อ มันก็ยาวอยู่” ผมอ้อมแอ้มพูดออกไป นิ้วชี้เขี่ยโต๊ะไปมาอย่างลีลา จนโดนโอบที่นั่งอยู่ตรงข้ามเตะขาเข้าให้หนึ่งที “โอ๊ย เล่าแล้ว ๆ”
ขืนยังชักช้าผมน่าจะเจ็บตัวกว่านี้แน่นอน
ผมไม่โกรธเพื่อนหรอกที่พวกมันมีท่าทางแบบนี้กัน ถึงจะชอบแกล้งผมบ่อย ๆ แต่กลับเป็นพวกมันที่ห่วงผมที่สุด
ที่ผมไม่กล้าบอกเพื่อนตั้งแต่แรก ทั้งที่พวกมันเองก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนหนึ่งก็เพราะตกใจ คิดเอาว่าจะไปจัดการเรื่องนี้เองเงียบ ๆ แต่ไม่ทันรู้ตัว คนนอกดันเข้าใจว่าผมคบกับไต้ฝุ่นไปแล้วเนี่ยสิ แถมยังบานปลายจนไปขึ้นสถานะบนโซเชียลกันอีกด้วย!
ทั้งสามคนนี้คือเพื่อนสนิทที่สุด ผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นการปิดบังและโกหก เพราะหากพวกมันมารู้ทีหลัง อาจจะเสียความรู้สึกเอาได้
ผมตั้งใจว่าสักวันยังไงก็ต้องบอกอยู่แล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าพวกนี้กลับทนไม่ไหว มาดักลักพาตัวกันไวขนาดนี้!
ให้ทำใจก่อนก็ไม่ได้!
ก่อนที่สายเรียกเข้าจะตัดไป ผมก็กดรับเอาในวิสุดท้ายพอดี“ฮัลโหล”[อยู่ไหน]อีกฝ่ายยังคงเป็นไต้ฝุ่นคนเดิม พูดน้อย ไม่อ้อมค้อม ยิงเข้าประเด็นทันที ผมเริ่มจะชินแล้วละ“อ่า เอ่อ แถว xx”ด้วยความที่ขึ้นรถมาผมก็เอาแต่เหม่อ เลยไม่ได้ดูว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว พอชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงได้เห็นว่ายังมาได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ ช่วงเวลาเร่งด่วนกับรถเมล์ ยังไงก็ไม่มีทางเร็วไปกว่ารถเล็กได้[ลงป้ายหน้า]“หา?” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดัง จนป้าที่นั่งด้านข้างหันมามอง ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษท่านเล็กน้อย พอตั้งสติได้เลยพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร “วันนี้มีเรียนเช้าเหรอ”[ไม่มี อาจารย์ยกคลาส] ไต้ฝุ่นตอบกลับสั้น ๆ ก่อนถามย้ำอีกรอบ [ลงหรือยัง]“ให้ลงทำไม จะมารับ?” ผมแกล้งยียวน[อืม]ชิบ นี่ก็ตรงเกิน“ไม่ใช่แฟนกันจริง ๆ สักหน่อย ไม่ต้องดูแลขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ผมบ่นเสียงเบา ทว่ามือก็เอื้อมไปกดออด แล้วลงที่ป้ายรถเมล์อย่างที่อีกฝ่ายต้องการ[ฉันไม่เคยทำอะไรเล่น ๆ แล้วก็ไม่ชอบหลอกใครด้วย]“...”ประโยคนี้มันหลอกด่าผมปะวะลงจากรถเมล์มาได้ไม่นาน รถยุโรปเงาวับคุ้นตาก็ขับเข้ามาจอดเทียบท่าทันที ไม่ต้องรออีกฝ่าย
[เราคบกันแล้วใช่ไหม] ประโยคคำถามนี้ ราวกับเพื่อยืนยันให้แน่ใจถึงสถานะของพวกเรา ผมจ้องข้อความนี้ตาค้าง สมองประมวลผลไม่หยุดถ้าบอกว่า อ๋อใช่ เราคบกัน แล้วภายหลังไต้ฝุ่นรู้ความจริงเข้าล่ะ หมอนี่จะไม่รู้สึกเหมือนถูกล้อเล่นอยู่เหรอ ไม่ต้องพูดถึงแฟนคลับพวกนั้นเลย ผมคงโดนเขาเกลียดแน่นอนผมไม่ได้ชอบไต้ฝุ่นในเชิงนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยากถูกเกลียดหรอกนะ อย่างน้อยในแง่ของเพื่อน ผมก็ชอบเขาอยู่บ้างอันที่จริงแล้วผมเป็นคนโกหกไม่เก่งเลย ถ้าให้โกหกในแชตน่ะได้ เพราะอีกฝั่งไม่ได้เห็นสีหน้าและน้ำเสียง แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าแล้วเรื่องที่ต้องตอบมีคำโกหก ท่าทางผมมันจะออกจนอีกฝ่ายจับได้แน่นอนว่าด้วยสถานะของเราตอนนี้ ผมคงไม่สามารถโกหกไต้ฝุ่นไปได้ตลอด และจะต้องถูกจับได้แน่นอนถ้าอย่างงั้นควรบอกเลยดีไหมนะ ดีกว่าปล่อยให้เขารู้จากปากคนอื่นระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลต่าง ๆ นานา โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จู่ ๆ หน้าจอก็มีสายเรียกเข้าขึ้นมาเป็นไต้ฝุ่น...ผมลังเลอยู่ประมาณห้าวิ จากนั้นก็กดรับสาย ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายกลับเอ่ยถามมาเสียงเรียบ[ทำไมไม่ตอบแชตล่ะ]ก็กำลังคิดอยู่ไงผมสูดลมหายใจเข้าลึก โอเค เอ
วันนี้ผมไม่มีเรียนคลาสเย็น เลยกลับมาถึงบ้านตอนที่ฟ้ายังสว่าง แน่นอนว่าหลังจากอาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องไปสิงในเกมกับเพื่อนต่างคณะตามกิจวัตรเดิมของตัวเองระหว่างเล่นเกมจนใกล้จะถึงจุดไคลแมกซ์ มือซ้ายกดคีย์บอร์ดรัว ๆ มือขวาลากเมาส์อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น จู่ ๆ เซฟก็ถามขึ้นมา“คิริน มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอวะ”“ฮะ! เชี่ย!”ประโยคคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของเซฟ ทำเอาผมนิ้วเคลื่อนกดปุ่มพลาด ไม่ได้ยิงพลังออกมา สุดท้ายก็โดนฝั่งตรงข้ามฟาดพลังอัดเต็มหน้า จนตายในวินาทีสุดท้าย“พูดอะไรของมึงเนี่ยเซฟ กูตายเลยเห็นไหม”ผมโวยวายออกมา ใบหน้าที่ปรากฏบนจอออกอาการบูดบึ้งเล็กน้อย สองแขนยกขึ้นกอดอก“ตอบกูมาก่อน” เซฟถามย้ำ“ตอบอะไร” ผมทวนคำถามอีกครั้ง เมื่อกี้เพราะตั้งสมาธิมากก็เลยไม่ทันได้ฟังคำถาม รู้แค่ตกใจเสียงของมันที่ดังขึ้นมากะทันหันเท่านั้น“มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอ” เซฟพูด“เออ กูก็อยากรู้ บอกมาเลยนะเว้ย” เปาเสริมขึ้นมาอีกคน“ยังไง ๆ” โอบลากเสียงยาว ฟังแล้วดูกวนตีนสุด ๆส่วนผมนั้นอึ้งกิมกี่ไปแล้วเรียบร้อย ทำไมพวกมันถึงได้ถามคำถามนี้ล่ะ มันไปรู้อะไรมา!“ไม่มี!” ผมพูดเสียงดัง ก่อนที่จะถามออกไปเสียงนิ่ง แต่ใน
“อ้าว คิริน มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ ทำไมไม่เข้าห้อง แล้วนี่ทำไมหน้าแดง เป็นไข้เหรอ”เสียงของเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งทักขึ้นมา ผมรีบยกมือปิดแก้มตัวเองอย่างร้อนตัว “แค่ร้อนเฉย ๆ ใช่ อากาศร้อนเนอะวันนี้”“ก็ไม่นะ”ก่อนที่เพื่อนร่วมคลาสจะได้ถามอะไรต่อ ผมก็รีบวิ่งฉิวเข้าห้อง ตัดจบบทสนทนาอย่างคนร้อนตัวทันทีผมจำได้ว่าไต้ฝุ่นบอกให้รอหน้าห้องเรียนตัวเอง แต่ผมยังไม่ทันได้ ‘รอ’ อีกฝ่ายก็มา 'ยืน' เป็นเสาหลักอยู่หน้าห้องแล้วเรียบร้อยดูท่าอาจารย์คงจะเลิกคลาสเร็วสินะ ช่างน่าอิจฉาจริง แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ผมไม่ได้อยากให้หมอนี่มาตอนที่เพื่อนร่วมคลาสอยู่กันเต็มแบบนี้นะ!เสียงจ้อกแจ้กจอแจของสาว ๆ ในคลาสดังกระหึ่มอย่างกับผึ้งแตกรัง สายตาหลายคู่เหล่ออกไปด้านนอก จนลูกตาแทบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว“วันนี้พวกเธอคงเรียนเข้าหัวหมดแล้วเนอะ น่าจะไม่ต้องสอนอะไรแล้ว เนื้อหาวันนี้ออกสอบนะจ๊ะ”อาจารย์ประจำคลาสกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น และนั่นก็ทำให้ทั้งห้องกลับมาสงบตั้งใจเรียนกันอีกครั้งนักศึกษาที่เรียนวิชานี้ต่างรู้นิสัยของอาจารย์ท่านนี้ดีว่า เป็นคนที่ดูใจดีแค่ภายนอกเท่านั้น ระดับความยากของข้อสอบจะขึ้นอยู่กับความพอใจล้ว
ผมมองเพื่อนทั้งสองของไต้ฝุ่นด้วยรอยยิ้มแห้ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย ว่าแต่พวกนายใช้สายตามองประเมินคนอื่นโจ่งแจ้งแบบนี้ รู้ไหมว่ามันเสียมารยาท ยังดีที่หน้าตาผมก็ไม่ได้ขี้เหร่ ทั้งยังโดนชมบ่อย ๆ ว่าน่ารัก ถึงจะไม่หล่อแต่ก็พอมั่นใจได้ละนะ ไม่งั้นเจอแบบนี้เข้าไปเป็นต้องเสียเซลฟ์แน่“สวัสดีครับ” ผมทักทายอีกรอบ“จะกินอะไร” ไต้ฝุ่นหันมาถาม “เดี๋ยวไปซื้อให้”ประโยคนี้หลุดออกมายิ่งทำให้เพื่อนทั้งสองของเขาตาโตแทบจะทะลักออกมาอยู่แล้วขอร้อง นายช่วยดูหน้าเพื่อนตัวเองหน่อยเถอะ“คิดไม่ออกอะ เดี๋ยวฉันไปด้วย”“อืม”ไต้ฝุ่นพยักหน้า พวกเราจึงเดินออกไปพร้อมกัน แน่นอนว่าผมโกหก ปกติผมมีเมนูประจำของตัวเองอยู่แล้วเวลาที่ต้องมากินข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัย นั่นก็คือสุกี้น้ำยังไงล่ะ!แต่ที่บอกว่าไม่รู้ ก็เพราะไม่อยากอยู่กับสองคนนั้นต่างหาก ถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางพวกเขา ผมน่าจะโดนจ้องจนตัวหดเหลือสองนิ้วแน่ ๆ“ชอบสุกี้เหรอ?”น้ำเสียงเรียบนิ่งถามออกมา เมื่อเห็นว่าผมหยุดยืนอยู่หน้าร้านเจ้าประจำ“อื้ม เจ้านี้อร่อยนะ” ผมหันไปพูดยิ้ม ๆ “ว่าแต่ทำไมไม่ไปต่อแถวซื้อข้าวล่ะ หรือนายจะกินร้านนี้เหมือนกัน”“ทำไมไม่กินข้า
“แม่ฮะ วันนี้รินไม่กินข้าวเที่ยงที่บ้านนะ” ผมตะโกน มือก็สาละวนผูกเชือกรองเท้าอยู่ที่หน้าประตูบ้าน“อ้าว แล้วไม่หิวเหรอลูก มื้อเช้าก็ไม่ได้กิน”“เดี๋ยวว่าจะไปกินกับเพื่อนที่โรงอาหารน่ะครับ”“งั้นเอานมไปกินรองท้องก่อนสักกล่องนะ เผื่อหิวจนเป็นลมไป” แม่พูดพร้อมกับเดินไปหยิบนมมายื่นให้“เวอร์น่า” ผมตอบยิ้ม ๆ ทว่าก็รับเอาความหวังดีของผู้เป็นแม่มาอย่างไม่อิดออด พอผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็เจาะกล่องกินมันหน้าประตูบ้านนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องหิ้วไปทิ้งนอกบ้านจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อย ครั้งนี้ตัวไม่เลอะแล้ว ผมเลยกระโจนเข้าไปกอดคุณแม่สุดสวยของตัวเอง แล้วหอมแก้มท่านฟอดใหญ่“แหม โตแล้วยังจะขี้อ้อนอยู่อีก” แม่หัวเราะคิกคัก พลางตีแขนผมไปด้วย “ถ้ามีแฟนแล้วไปอ้อนแบบนี้ อีกฝ่ายคงหลงตาย”“...”จากที่ผมกำลังอารมณ์ดี ๆ เจอประโยคนี้เข้าไปก็ถึงกับชะงักกึก รอยยิ้มแข็งค้าง มือไม้สับสนไปหมดอย่างไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดีทำไมต้องน

![สถานะลับ(รับ)สถานะรัก [เมะxเมะ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)





