Masukกลุ่มพวกผมนั้นมีกันอยู่สี่คน พวกเราเจอกันในเกมและคบกันมาได้หนึ่งปีแล้ว แน่นอนว่ามันเป็นโชคชะตานรกลิขิตหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถึงดลให้พวกเรามาอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันแบบไม่ได้ตั้งใจ ทั้งยังค่อนข้างสนิทกันมากอีกด้วย
เมื่อก่อนก็แค่นัดกันเล่นเกมตามปกตินั่นแหละ กระทั่งเมื่อสามเดือนก่อน จู่ ๆ ไอ้เปา เพื่อนคณะนิเทศฯ ก็คิดเกมหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นคือเกมลงโทษ
ชื่อก็ตามตัวเลย เราสี่คนจะสตรีมแข่งเกมกัน กติกาก็ง่าย ๆ คนที่ชนะอันดับหนึ่งสามารถสั่งลงโทษคนอันดับโหล่ได้หนึ่งอย่าง ส่วนที่สองกับที่สามทำเพียงแค่ชมเรื่องสนุก พร้อมกับรอแบล็กเมลเพื่อนไปด้วย กลายเป็นอีเวนต์ตลก ๆ ของกลุ่มพวกผม แถมคนดูสตรีมยังค่อนข้างชอบอีกด้วย
มีครั้งหนึ่งเซฟชนะ มันสั่งให้เปาโพสต์รูปตัวเองทำท่าแอ็ก พร้อมแคปชันเสี่ยว ๆ ลงโซเชียลเป็นเวลาสามวันอะไรแบบนั้น
หรือตอนผมแพ้ ก็โดนสั่งให้เลี้ยงข้าวร้านหรูเพื่อนทั้งแก๊งหนึ่งมื้อ เดือนนั้นเล่นเอากระเป๋าตังค์กรอบแห้ง แทบจะต้องซดมาม่ากันเลยทีเดียว
สิ่งที่พวกเราเล่นกัน คำสั่งจะอยู่ในขอบเขตที่ไม่ได้ทำร้ายเพื่อนอีกคนมากนัก อย่างการเลี้ยงข้าว พวกมันรู้ว่าผมได้ค่าขนมเยอะ ถึงได้เลือกสั่งลงโทษแบบนั้น แต่สุดท้ายพอเลี้ยงจริง ๆ ทุกคนก็จะผลัดกันสรรหาของกินมาให้ผมแทบทั้งเดือนนั่นแหละ
พวกมันบอกว่าเห็นผมตัวเล็กเกินไป พอค่าขนมหมดเดี๋ยวจะตัวหดไปมากกว่านี้ เป็นประโยคที่กวนตีนใช้ได้ แต่ก็มองออกถึงความห่วงใย จนโกรธพวกมันไม่ลง
กลับมาที่เกมของคืนนี้กันต่อ ปกติเวลานัดกันเล่นเกมลงโทษ พวกเราจะคิดบทลงโทษแล้วพิมพ์บอกกันในแชตไว้ล่วงหน้าให้เตรียมใจกันก่อนอยู่แล้ว เป็นแรงจูงใจในการพยายามเอาชนะ เพื่อไม่ต้องโดนลงโทษ
“รอบนี้เปามันบอกว่า จะให้แฟนคลับคิดบทลงโทษให้ว่ะ แบบแพ้หน้าไลฟ์ก็บอกบทลงโทษตรงนั้นเลย ลุ้นดีนะ”
เซฟพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น ราวกับลืมไปแล้วว่าบทลงโทษครั้งก่อนของแฟนคลับเปา บอกให้มันไปเต้นหน้าคณะวิศวะ ทำเอามันต้องใส่แมสก์ไปเรียนอยู่เป็นเดือนเพราะความอับอาย
“เอาจริงดิ”
ผมทำหน้าแหยง ๆ เล็กน้อย แฟนคลับพวกนี้รู้ลิมิตบทลงโทษของพวกเราดี ทว่าแต่ละอย่างก็ทำเอาอับอายขายขี้หน้าไปนานเลยทีเดียว
เราสองคนคุยเล่นกันในสภาพเปียกโชกเสื้อเขรอะอยู่นาน จนกระทั่งรถประจำทางผ่านมาก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
เพราะเสียเวลาอยู่ที่ป้ายรถเมล์นาน กว่าจะถึงบ้านก็เป็นเวลาสองทุ่มเข้าไปแล้ว ผมตรงดิ่งเข้าบ้านไปด้วยเสื้อเลอะ ๆ ที่แห้งจากการตากแอร์บนรถ แต่ยังไม่ทันได้วิ่งขึ้นชั้นสอง เสียงของแม่บังเกิดเกล้าก็ดังมาเสียก่อน
“น้องคิริน วันนี้กลับช้าจังเลยลูก”
“ติดฝนน่ะฮะ”
ผมหันไปตอบ ทำท่าจะพุ่งเข้าไปกอดแม่เหมือนอย่างปกติ แต่นึกได้ว่าตัวเองเพิ่งโดนน้ำโคลนสาดใส่มาจึงชะงักเอาไว้ทัน
แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็เห็นแล้วเช่นกันว่าเสื้อของผมเละเทะ น้ำเสียงจึงดังขึ้นเล็กน้อย “ตายแล้ว! ทำไมเสื้อเปื้อนแบบนี้”
ไม่พูดอย่างเดียวแต่กลับตรงเข้ามาลอกเสื้อผ้าผมออกจนหมดจด เหลือไว้แต่กางเกงบ็อกเซอร์สีชมพูเท่านั้น
“แม่อะ รินไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ผมยู่ปากอย่างขัดใจเล็กน้อย มีอย่างที่ไหนมาถอดเสื้อผ้าลูกชายอายุยี่สิบแล้วแบบนี้
“ไปอาบน้ำสระผมไป เดี๋ยวไม่สบาย แม่เอาเสื้อผ้าไปแช่ก่อน ไม่รู้จะซักออกมั้ยเนี่ย”
ผู้เป็นแม่ไม่ได้สนใจลูกชายผู้น่ารักที่ยืนโป๊เท้าเอวงอนแต่อย่างใด เห็นดังนั้นผมจึงได้แต่วิ่งขึ้นห้องนอนด้วยความไวแสง ก่อนจะพุ่งตัวเข้าห้องน้ำ จัดการตัวเองจนเสร็จภายในห้านาที
ผมเดินนุ่งผ้าเช็ดตัวไปเปิดคอม จากนั้นก็ค้นตู้เสื้อผ้าเลือกเอาชุดนอนจั๊มสูทแบบเต็มตัวมีหมวกหน้าเสือสีชมพูออกมา
ให้ตาย ผมไม่ได้ชอบหรอกนะไอ้สีชมพูเนี่ย ทั้งหมดนี้เป็นอภินันทนาการจากคุณนายแม่ล้วน ๆ ทำไงได้ ก็ผมยังต้องขอเงินท่านใช้อยู่นี่นา เพราะงั้นก็ต้องก้มหน้ายอมรับไป ยังดีหน่อยที่ชุดไปรเวทแม่ยังยอมให้ใส่สีปกติบ้าง
จัดการตัวเองเสร็จก็รีบเข้าแชตกลุ่มเพื่อน ๆ ทันทีด้วยความตื่นเต้น อาการง่วงเมื่อตอนเย็นหายเป็นปลิดทิ้ง
โอบคุณไว้ในใจ : มาสักทีนะน้องคิริน
Kiki.rin : น้องพ่อคุณสิครับ
ผมตอกกลับประโยคกวนตีนของโอบ เพื่อนคณะทันตะด้วยความไวแสง
เคยได้ยินมาว่าพวกคณะเกี่ยวกับหมอ แพทย์อะไรพวกนี้เรียนหนักมาก แต่ไหงไอ้หมอนี่มันมาเล่นกับพวกผมได้ทุกคืนก็ไม่รู้ นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พวกเรายังไม่สามารถหาคำตอบได้เช่นกัน
โอบคุณไว้ในใจ : ทำไมเดี๋ยวนี้พูดจาหยาบคายวะ ไอ้เซฟ มึงไปสอนเหรอ!
เซฟสุดหล่อ : กูเปล่านะ
เซฟสุดหล่อ : กูก็พูดปกติ อย่ามาใส่ร้าย!
ท่านเปาเป็นของทุกคน : ปกติของมึงนี่แหละที่แม่งหยาบ น้องรินลูกกูติดเลยเป็นไง
Kiki.rin : พวกมึงอย่ามาเวอร์ได้ปะ จะเล่นมั้ยเกมเนี่ย ถ้าไม่เล่นกูจะไปนอนแล้ว
เซฟสุดหล่อ : เหมือนคนที่ตื่นเต้นสุดจะไม่ใช่กูว่ะ
ผมนั่งมองพวกเพื่อนพูดคุยหยอกล้อกันต่ออีกพักใหญ่ ระหว่างรอเพื่อนต่างคณะหารือกันว่าจะเล่นเกมอะไรดี มือก็เลื่อนไปเปิดช่องสตรีมเตรียมเอาไว้ก่อน
ตัวเลขยอดผู้เข้าชมในช่องของผมเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงร้อยกว่าก่อนจะหยุดนิ่งไป ช่องแชตรัวกระหน่ำมาจากเหล่าคนดูที่คุ้นหน้าคุ้นตา ทว่าผมกลับทำเพียงแค่ส่งยิ้มแล้วพูดประโยคสั้น ๆ เท่านั้น
“สวัสดีครับ”
[คิริน หวัดดีจ้า]
[วันนี้ก็น่ารักเหมือนเดิมเลยนะ!]
[อ๊าย~ ชุดนอนสีชมพู น่าร้ากกก คืนนี้มัมหมีฝันดีแล้ว]
[แคปรัว ๆ]
ผมอมยิ้มขณะมองแชตที่เด้งขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ส่วนคนดูรู้นิสัยผมพอประมาณอยู่แล้ว จึงไม่ได้โกรธอะไรที่ผมไม่พูด
สำหรับคนธรรมดาแบบผม คนดูจำนวนร้อยกว่าเรียกได้ว่าโคตรเยอะเลยละ ทว่าเทียบไม่ได้เลยกับเพื่อนอีกสามคน เพราะพวกมันมียอดผู้ชมกันหลักพันนู่น ทั้งสามคนนั้นทั้งหล่อ ทั้งพูดเก่ง ออเซาะแฟนคลับ จนมีด้อมเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ
ส่วนผมก็ได้อานิสงส์จากเพื่อนมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทำไมน่ะเหรอ
เพราะว่าผมพูดกับคนแปลกหน้าไม่เก่งยังไงล่ะ!
คนดูพวกไลฟ์สตรีมมักต้องการคนที่เอนเทอร์เทนสร้างเสียงหัวเราะเก่ง ๆ เพื่อคลายเครียด ทว่าการต้องมานั่งดูผมเล่นเกมเงียบ ๆ ไม่มีปฏิสัมพันธ์อะไรเลยมันก็เลยดูจะน่าเบื่อไปสักหน่อย
ผมไม่ได้น้อยใจอะไรหรอกนะ ออกจะขอบคุณด้วยซ้ำที่อย่างน้อยก็ไม่ด่าผมน่ะ ครั้งหนึ่งเคยมีคนดูพิมพ์เอาไว้
“คิรินหน้าตาน่ารักนะ พี่ชอบมองหน้าเรา เสียแต่พูดน้อยไปหน่อย พี่ขอไปดูช่องคนอื่นนะจ๊ะ”
คิดอะไรเรื่อยเปื่อยในที่สุดแชตจากกลุ่มเพื่อนต่างคณะก็เด้งขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับบอกชื่อเกมและให้เข้าเกมทันที พอเข้ามาพวกเราก็สร้างห้องแล้วเปลี่ยนไปเปิดไมค์ในเกมแทน
“มา! วันนี้แข่งกันตาเดียวพอ ได้ยินมาจากไอ้เซฟว่าคิรินง่วงใช่ไหม” เปาพูดขึ้นมา น้ำเสียงอบอุ่นราวกับพ่อพระ จนแฟนคลับสาว ๆ พากันหวีดลงกลุ่มแทบทุกวัน
แต่ขอโทษเถอะ ผมไม่หวั่นไหวหรอกนะ
“ก็ไม่ขนาดนั้น” ผมตอบกลับ
“เหอะ หลับซบกูจนไหล่แทบหัก บอกไม่ขนาดนั้น” เซฟพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
จบประโยคนี้จู่ ๆ ช่องแชตคนดูของผมที่เงียบกริบไปแล้วพลันเด้งขึ้นมารัว ๆ
[อะไร ๆ ใครซบใครนะ]
[อ๊าก ฉันจิ้น ฉันฟิน]
[ฉันตายได้นะ! แต่ยังไม่ตาย ขอโมเมนต์อีกค่า]
“ไอ้เซฟ มึงทำไรลูกกู” น้ำเสียงเปาฟังเหมือนโมโห แต่พวกผมที่รู้จักกันมานานก็รู้ว่านี่เป็นการแสดงล้วน ๆ
“ลูกมึงสิทำกู บอกว่าขอพิงหน่อย กูยังไม่ทันตอบแม่งก็หลับปุ๋ยไปละ กูก็ไม่กล้าปลุกด้วย”
เซฟรีบแก้ตัว ทว่ายิ่งมันแก้ตัวกลับยิ่งเป็นการแฉผมเองเสียอย่างงั้น ยิ่งเห็นช่องแชตหวีดกันเป็นสิบ ๆ ข้อความ ผมก็เม้มปากเล็กน้อย
ทั้งที่ถ้าอยู่กันแค่กลุ่มเพื่อน ตามปกติผมคงด่าพวกมันไปแล้ว ทว่าพอต้องมาอยู่ต่อหน้าคนหลายร้อยแบบนี้ คำพูดมันดันติดอยู่ที่ปาก คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรดีเสียอย่างงั้น
“จะเล่นไหม” ผมถามออกไปสั้น ๆ
“ฉิบ เออ ๆ เล่นครับ อย่าเพิ่งงอนนะ” เปารีบกลับมาจริงจังแบบเดิม เพราะรู้แล้วว่าผมเริ่มจะหงุดหงิด
“งอนหน้ามึงสิ”
ก่อนที่สายเรียกเข้าจะตัดไป ผมก็กดรับเอาในวิสุดท้ายพอดี“ฮัลโหล”[อยู่ไหน]อีกฝ่ายยังคงเป็นไต้ฝุ่นคนเดิม พูดน้อย ไม่อ้อมค้อม ยิงเข้าประเด็นทันที ผมเริ่มจะชินแล้วละ“อ่า เอ่อ แถว xx”ด้วยความที่ขึ้นรถมาผมก็เอาแต่เหม่อ เลยไม่ได้ดูว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว พอชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงได้เห็นว่ายังมาได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ ช่วงเวลาเร่งด่วนกับรถเมล์ ยังไงก็ไม่มีทางเร็วไปกว่ารถเล็กได้[ลงป้ายหน้า]“หา?” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดัง จนป้าที่นั่งด้านข้างหันมามอง ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษท่านเล็กน้อย พอตั้งสติได้เลยพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร “วันนี้มีเรียนเช้าเหรอ”[ไม่มี อาจารย์ยกคลาส] ไต้ฝุ่นตอบกลับสั้น ๆ ก่อนถามย้ำอีกรอบ [ลงหรือยัง]“ให้ลงทำไม จะมารับ?” ผมแกล้งยียวน[อืม]ชิบ นี่ก็ตรงเกิน“ไม่ใช่แฟนกันจริง ๆ สักหน่อย ไม่ต้องดูแลขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ผมบ่นเสียงเบา ทว่ามือก็เอื้อมไปกดออด แล้วลงที่ป้ายรถเมล์อย่างที่อีกฝ่ายต้องการ[ฉันไม่เคยทำอะไรเล่น ๆ แล้วก็ไม่ชอบหลอกใครด้วย]“...”ประโยคนี้มันหลอกด่าผมปะวะลงจากรถเมล์มาได้ไม่นาน รถยุโรปเงาวับคุ้นตาก็ขับเข้ามาจอดเทียบท่าทันที ไม่ต้องรออีกฝ่าย
[เราคบกันแล้วใช่ไหม] ประโยคคำถามนี้ ราวกับเพื่อยืนยันให้แน่ใจถึงสถานะของพวกเรา ผมจ้องข้อความนี้ตาค้าง สมองประมวลผลไม่หยุดถ้าบอกว่า อ๋อใช่ เราคบกัน แล้วภายหลังไต้ฝุ่นรู้ความจริงเข้าล่ะ หมอนี่จะไม่รู้สึกเหมือนถูกล้อเล่นอยู่เหรอ ไม่ต้องพูดถึงแฟนคลับพวกนั้นเลย ผมคงโดนเขาเกลียดแน่นอนผมไม่ได้ชอบไต้ฝุ่นในเชิงนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยากถูกเกลียดหรอกนะ อย่างน้อยในแง่ของเพื่อน ผมก็ชอบเขาอยู่บ้างอันที่จริงแล้วผมเป็นคนโกหกไม่เก่งเลย ถ้าให้โกหกในแชตน่ะได้ เพราะอีกฝั่งไม่ได้เห็นสีหน้าและน้ำเสียง แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าแล้วเรื่องที่ต้องตอบมีคำโกหก ท่าทางผมมันจะออกจนอีกฝ่ายจับได้แน่นอนว่าด้วยสถานะของเราตอนนี้ ผมคงไม่สามารถโกหกไต้ฝุ่นไปได้ตลอด และจะต้องถูกจับได้แน่นอนถ้าอย่างงั้นควรบอกเลยดีไหมนะ ดีกว่าปล่อยให้เขารู้จากปากคนอื่นระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลต่าง ๆ นานา โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จู่ ๆ หน้าจอก็มีสายเรียกเข้าขึ้นมาเป็นไต้ฝุ่น...ผมลังเลอยู่ประมาณห้าวิ จากนั้นก็กดรับสาย ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายกลับเอ่ยถามมาเสียงเรียบ[ทำไมไม่ตอบแชตล่ะ]ก็กำลังคิดอยู่ไงผมสูดลมหายใจเข้าลึก โอเค เอ
วันนี้ผมไม่มีเรียนคลาสเย็น เลยกลับมาถึงบ้านตอนที่ฟ้ายังสว่าง แน่นอนว่าหลังจากอาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องไปสิงในเกมกับเพื่อนต่างคณะตามกิจวัตรเดิมของตัวเองระหว่างเล่นเกมจนใกล้จะถึงจุดไคลแมกซ์ มือซ้ายกดคีย์บอร์ดรัว ๆ มือขวาลากเมาส์อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น จู่ ๆ เซฟก็ถามขึ้นมา“คิริน มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอวะ”“ฮะ! เชี่ย!”ประโยคคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของเซฟ ทำเอาผมนิ้วเคลื่อนกดปุ่มพลาด ไม่ได้ยิงพลังออกมา สุดท้ายก็โดนฝั่งตรงข้ามฟาดพลังอัดเต็มหน้า จนตายในวินาทีสุดท้าย“พูดอะไรของมึงเนี่ยเซฟ กูตายเลยเห็นไหม”ผมโวยวายออกมา ใบหน้าที่ปรากฏบนจอออกอาการบูดบึ้งเล็กน้อย สองแขนยกขึ้นกอดอก“ตอบกูมาก่อน” เซฟถามย้ำ“ตอบอะไร” ผมทวนคำถามอีกครั้ง เมื่อกี้เพราะตั้งสมาธิมากก็เลยไม่ทันได้ฟังคำถาม รู้แค่ตกใจเสียงของมันที่ดังขึ้นมากะทันหันเท่านั้น“มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอ” เซฟพูด“เออ กูก็อยากรู้ บอกมาเลยนะเว้ย” เปาเสริมขึ้นมาอีกคน“ยังไง ๆ” โอบลากเสียงยาว ฟังแล้วดูกวนตีนสุด ๆส่วนผมนั้นอึ้งกิมกี่ไปแล้วเรียบร้อย ทำไมพวกมันถึงได้ถามคำถามนี้ล่ะ มันไปรู้อะไรมา!“ไม่มี!” ผมพูดเสียงดัง ก่อนที่จะถามออกไปเสียงนิ่ง แต่ใน
“อ้าว คิริน มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ ทำไมไม่เข้าห้อง แล้วนี่ทำไมหน้าแดง เป็นไข้เหรอ”เสียงของเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งทักขึ้นมา ผมรีบยกมือปิดแก้มตัวเองอย่างร้อนตัว “แค่ร้อนเฉย ๆ ใช่ อากาศร้อนเนอะวันนี้”“ก็ไม่นะ”ก่อนที่เพื่อนร่วมคลาสจะได้ถามอะไรต่อ ผมก็รีบวิ่งฉิวเข้าห้อง ตัดจบบทสนทนาอย่างคนร้อนตัวทันทีผมจำได้ว่าไต้ฝุ่นบอกให้รอหน้าห้องเรียนตัวเอง แต่ผมยังไม่ทันได้ ‘รอ’ อีกฝ่ายก็มา 'ยืน' เป็นเสาหลักอยู่หน้าห้องแล้วเรียบร้อยดูท่าอาจารย์คงจะเลิกคลาสเร็วสินะ ช่างน่าอิจฉาจริง แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ผมไม่ได้อยากให้หมอนี่มาตอนที่เพื่อนร่วมคลาสอยู่กันเต็มแบบนี้นะ!เสียงจ้อกแจ้กจอแจของสาว ๆ ในคลาสดังกระหึ่มอย่างกับผึ้งแตกรัง สายตาหลายคู่เหล่ออกไปด้านนอก จนลูกตาแทบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว“วันนี้พวกเธอคงเรียนเข้าหัวหมดแล้วเนอะ น่าจะไม่ต้องสอนอะไรแล้ว เนื้อหาวันนี้ออกสอบนะจ๊ะ”อาจารย์ประจำคลาสกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น และนั่นก็ทำให้ทั้งห้องกลับมาสงบตั้งใจเรียนกันอีกครั้งนักศึกษาที่เรียนวิชานี้ต่างรู้นิสัยของอาจารย์ท่านนี้ดีว่า เป็นคนที่ดูใจดีแค่ภายนอกเท่านั้น ระดับความยากของข้อสอบจะขึ้นอยู่กับความพอใจล้ว
ผมมองเพื่อนทั้งสองของไต้ฝุ่นด้วยรอยยิ้มแห้ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย ว่าแต่พวกนายใช้สายตามองประเมินคนอื่นโจ่งแจ้งแบบนี้ รู้ไหมว่ามันเสียมารยาท ยังดีที่หน้าตาผมก็ไม่ได้ขี้เหร่ ทั้งยังโดนชมบ่อย ๆ ว่าน่ารัก ถึงจะไม่หล่อแต่ก็พอมั่นใจได้ละนะ ไม่งั้นเจอแบบนี้เข้าไปเป็นต้องเสียเซลฟ์แน่“สวัสดีครับ” ผมทักทายอีกรอบ“จะกินอะไร” ไต้ฝุ่นหันมาถาม “เดี๋ยวไปซื้อให้”ประโยคนี้หลุดออกมายิ่งทำให้เพื่อนทั้งสองของเขาตาโตแทบจะทะลักออกมาอยู่แล้วขอร้อง นายช่วยดูหน้าเพื่อนตัวเองหน่อยเถอะ“คิดไม่ออกอะ เดี๋ยวฉันไปด้วย”“อืม”ไต้ฝุ่นพยักหน้า พวกเราจึงเดินออกไปพร้อมกัน แน่นอนว่าผมโกหก ปกติผมมีเมนูประจำของตัวเองอยู่แล้วเวลาที่ต้องมากินข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัย นั่นก็คือสุกี้น้ำยังไงล่ะ!แต่ที่บอกว่าไม่รู้ ก็เพราะไม่อยากอยู่กับสองคนนั้นต่างหาก ถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางพวกเขา ผมน่าจะโดนจ้องจนตัวหดเหลือสองนิ้วแน่ ๆ“ชอบสุกี้เหรอ?”น้ำเสียงเรียบนิ่งถามออกมา เมื่อเห็นว่าผมหยุดยืนอยู่หน้าร้านเจ้าประจำ“อื้ม เจ้านี้อร่อยนะ” ผมหันไปพูดยิ้ม ๆ “ว่าแต่ทำไมไม่ไปต่อแถวซื้อข้าวล่ะ หรือนายจะกินร้านนี้เหมือนกัน”“ทำไมไม่กินข้า
“แม่ฮะ วันนี้รินไม่กินข้าวเที่ยงที่บ้านนะ” ผมตะโกน มือก็สาละวนผูกเชือกรองเท้าอยู่ที่หน้าประตูบ้าน“อ้าว แล้วไม่หิวเหรอลูก มื้อเช้าก็ไม่ได้กิน”“เดี๋ยวว่าจะไปกินกับเพื่อนที่โรงอาหารน่ะครับ”“งั้นเอานมไปกินรองท้องก่อนสักกล่องนะ เผื่อหิวจนเป็นลมไป” แม่พูดพร้อมกับเดินไปหยิบนมมายื่นให้“เวอร์น่า” ผมตอบยิ้ม ๆ ทว่าก็รับเอาความหวังดีของผู้เป็นแม่มาอย่างไม่อิดออด พอผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็เจาะกล่องกินมันหน้าประตูบ้านนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องหิ้วไปทิ้งนอกบ้านจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อย ครั้งนี้ตัวไม่เลอะแล้ว ผมเลยกระโจนเข้าไปกอดคุณแม่สุดสวยของตัวเอง แล้วหอมแก้มท่านฟอดใหญ่“แหม โตแล้วยังจะขี้อ้อนอยู่อีก” แม่หัวเราะคิกคัก พลางตีแขนผมไปด้วย “ถ้ามีแฟนแล้วไปอ้อนแบบนี้ อีกฝ่ายคงหลงตาย”“...”จากที่ผมกำลังอารมณ์ดี ๆ เจอประโยคนี้เข้าไปก็ถึงกับชะงักกึก รอยยิ้มแข็งค้าง มือไม้สับสนไปหมดอย่างไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดีทำไมต้องน


![สถานะลับ(รับ)สถานะรัก [เมะxเมะ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




