Masuk
“ริน!”
“...”
“ไอ้คิรินโว้ย!”
เสียงตะโกนเรียกดังลั่น มาพร้อมกับวงแขนหนาหนักรัดคอแน่นอย่างกับต้องการประทุษร้าย ทำเอาผมที่กำลังเดินเหม่อลอยหน้าเกือบคว่ำ โชคดีที่ไอ้ตัวการมันยังมีน้ำใจดึงตัวผมเอาไว้ให้
แต่ก็นะ รัดแน่นไปแล้ว หายใจไม่ออกโว้ย
“แค่ก! นี่กะจะฆ่ากันเหรอวะ”
“เหม่ออะไรวะเพื่อน”
“ไม่มีอะไร แค่ง่วง”
ผมตอบกลับเสียงเนือย ขาก้าวเดินไปพร้อมกับเซฟที่ปล่อยแขนออกจากคอของผมแล้ว
“คืนนี้เล่นเกมกันอีกนะ”
เซฟพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหมือนอย่างทุกที ไอ้หมอนี่มันก็แบบนี้แหละ ติดเกมสุด ๆ ถึงมันจะติดเกม แต่การเรียนกลับไม่เคยร่วงเลย เพราะมันดันหัวโคตรดี
“โทษทีว่ะ วันนี้ว่าจะนอนอะ เมื่อคืนเล่นกับพวกมึงเสร็จก็ต้องอ่านหนังสือต่อยันเช้าเลยเนี่ย”
ผมบอกปัดไปส่ง ๆ อีกหนึ่งเดือนก็จะถึงวันสอบกลางภาคแล้ว คนหัวขี้เลื่อยแบบผมเลยต้องพยายามให้มากหน่อย ไม่ต้องถึงกับได้เอทุกวิชาหรอก ขอแค่ไม่ติดเอฟก็พอใจแล้ว
“ไรว้า รีบไปไหน อีกตั้งหนึ่งเดือนกว่าจะสอบ”
“แหม!”
ผมร้องประชดสั้น ๆ หนึ่งคำ ปากเบะคว่ำลงอย่างหมั่นไส้เหลือแสน ไอ้คนหัวดีจะพูดอะไรก็ได้นี่!
“ให้กูติวให้ปะ” เซฟพูดขึ้นมายิ้ม ๆ ผมไม่ทันได้อ้าปาก มันก็พูดประโยคต่อมาทันที “อะ แต่มีค่าติวนะ”
“นี่เพื่อนปะ” ผมหันไปมองเพื่อนหน้าตาดีด้านข้าง พลางกลอกตาแทบจะเป็นเลขแปด “อีกอย่าง มึงก็อยู่คนละคณะกับกู จะมาติวอะไร”
ใช่แล้วครับ เซฟมันเป็นเพื่อนต่างคณะของผม ตัวมันอยู่วิศวะ ส่วนผมก็เรียนบริหาร ถ้าถามว่าแล้วมารู้จักกันได้ไง ก็ต้องบอกว่าเจอกันในเกมนั่นแหละ
“เฮ้ย! ถึงจะคนละคณะแต่ก็ต้องมีวิชาที่คล้าย ๆ กันบ้างดิ”
“วิชาอะไร”
ผมถามกลับ ขาก็สาวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ คาบเรียนสุดท้ายเลิกตอนหกโมงเย็น หากไปช้ากว่านี้เกรงว่ารถประจำทางจะหมดเสียก่อน
“ไม่รู้”
“ขอบคุณ” ลมหายใจถูกพ่นออกมาให้กับเพื่อนที่โคตรกวนประสาท อีกฝ่ายหัวเราะร่วนจนแทบจะหมดสิ้นซึ่งความหล่อ ผมแกล้งพูดต่อ “ไม่ต้องมาติวให้กูหรอก เบื่อจะเจอหน้ามึง”
“...เอ้า!”
คราวนี้เป็นตาผมหัวเราะบ้าง ยิ่งเห็นเซฟทำหน้าเหวอผมก็ยิ่งหัวเราะจนหายใจแทบไม่ทัน เห็นติดเกมแบบนี้แต่ไอ้หมอนี่มันหล่อมากเลยนะ ดีกรีชิงตำแหน่งเดือนคณะเลยละ
ถึงจะไม่ได้ก็เถอะ
นี่ถ้าแฟนคลับมันมาเห็นสภาพหนุ่มหล่อที่กำลังติดตาม ทำหน้าเหวอ ปากอ้าจนแมลงวันแทบจะเข้าไปวางไข่ คงได้ร้องไห้กันเป็นแถบ
หล่อเสียของจริง ๆ
พวกเราคุยเล่นหยอกล้อกันจนมาถึงป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ทันทีที่ขาก้าวเข้าไปใต้หลังคาศาลารอรถ จู่ ๆ ฝนก็ตกซู่ลงมาราวกับฟ้ารั่วโดยไม่บอกกล่าว
“เฮ้ย ๆ” เซฟร้องลั่นออกมา เพราะมันเข้ามาทีหลังผมก็เลยโดนฝนสาดใส่เล็กน้อย “อะไรเนี่ย อยู่ดี ๆ ก็ตก”
เซ็งโคตร
ผมมองฝนที่ตกอย่างกับพายุด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ง่วงก็ง่วง กะว่าจะรีบกลับบ้านไปนอนสักหน่อย
ฝนตกหนักจนทัศนวิสัยรอบด้านกลายเป็นสีขาวอย่างกับมีหมอกปกคลุมแบบนี้ เลิกหวังว่าจะมีรถประจำทางได้เลย ท่าทางคงต้องติดฝนอยู่ตรงนี้อีกพักใหญ่เลยละ
แน่นอนว่าฝนตกหนักแบบนี้ ทั้งผมและเซฟต่างไม่มีใครกล้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นแก้เบื่ออยู่แล้ว ด้วยความที่ง่วงเป็นทุนเดิม แถมเซฟก็ไม่ชวนคุยอะไรต่อ พอนั่งมองฝนนาน ๆ ยิ่งพาให้ผมตาปรือมากขึ้น
“เซฟ ยืมไหล่ทีดิ”
ไม่รอให้เพื่อนต่างคณะตอบรับ ผมก็พิงไหล่มันแล้วปิดตาเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว
ซ่า!!!
“เชี่ย!”
ผมสะดุ้งตัวพรวดเมื่อรู้สึกว่าตามใบหน้าและร่างกายโดนน้ำสาดเข้าใส่อย่างจัง ไม่ใช่เพียงแค่ผมที่สบถ ทว่าเพื่อนด้านข้างก็ก่นด่าออกมาเสียงดังเช่นกัน
“แม่งเอ๊ย”
เมื่อหันไปมองเพื่อนถึงได้เห็นว่าตัวมันก็โดนน้ำสาดใส่ตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อนักศึกษาสีขาวกลายเป็นสีน้ำตาล สภาพอย่างกับลงไปคลุกโคลนอย่างไรอย่างนั้น
“อะไรวะ” ผมถามออกไปงง ๆ ด้วยความที่เพิ่งตื่น สติเลยยังไม่ค่อยเข้าที่ดีนัก
“แม่ง มีคนขี่รถเหยียบน้ำอะดิ ถ้าจะขับไวทำไมไม่ออกเลนขวาวะ ไอ้เวรเอ๊ย”
เซฟสบถออกมาไม่หยุด มือหนายกขึ้นเสยผมเปียกชื้นด้วยท่าทางหงุดหงิด เหมือนอยากจะต่อยใครสักคน เห็นเพื่อนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบนั้น ผมก็หมดอารมณ์จะโกรธทันที
“รู้ปะ ใครทำ”
“ก็ไอ้นั่นไง”
มันพูดพลางชี้ไปยังรถหรูสีดำคันหนึ่งที่กำลังจอดชิดซ้าย และกำลังเปิดไฟฉุกเฉินอยู่ตรงริมฟุตพาทซึ่งห่างออกไปไม่มาก
ผมมองตามทิศที่เพื่อนชี้ ด้วยความที่ไม่ได้สันทัดเรื่องพวกนี้เลยไม่รู้ว่าเป็นรุ่นอะไร ดูแล้วน่าเป็นพวกรถยุโรปละมั้ง ทว่าที่ทำให้ผมจ้องนานเป็นพิเศษคือ ไอ้รถคันนี้มันคุ้นตาสุด ๆ ไปเลย
เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ จู่ ๆ รถคู่กรณีก็ขับฉิวออกจากตรงนั้นไปทันที ราวกับรู้ว่าพวกเราหันไปมอง
“กูว่านะ ไอ้คนขับมันต้องรู้แน่นอนว่าเหยียบน้ำใส่พวกเรา แต่จะลงมาขอโทษสักคำก็ไม่มี รวยแล้วต้องพ่วงกับคำว่าเฮงซวยด้วยเหรอวะ!”
เซฟออกอาการหัวร้อนไม่หาย จนผมต้องยกมือตบบ่าเพื่อนเบา ๆ พลางปลอบ “เอาน่า กลับกันเหอะ ว่าแต่ฝนหยุดตอนไหน ทำไมมึงไม่บอกกูล่ะเนี่ย”
“ก็กูเห็นมึงกำลังหลับสบาย เลยไม่อยากปลุก”
คำพูดเหมือนจะดี ถ้าไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเป็นต้องสงสัยแน่ว่ามันคิดอะไรกับผมหรือเปล่า แต่เสียใจด้วยที่ผมรู้จักมันดี พอกับที่มันรู้จักผมนั่นแหละ
ผมหรี่ตามองเพื่อนหน้าหล่อด้วยสายตาจับผิด
“อย่ามาทำให้ขนลุกดิ เอาดี ๆ ทำไมไม่ปลุกกู”
“เออ ๆ ไม่ปลุกเพราะอยากให้มึงนอนพัก คืนนี้จะได้มาเล่นเกมกัน”
“กูว่าละ”
ผมถอนหายใจออกมายาวเหยียด ไอ้เพื่อนคนนี้มันผิดจากที่คิดไว้ซะเมื่อไรล่ะ ในสมองมีแต่คำว่า เกม เกม เกม
เพื่อการเล่นเกมมันถึงกับยอมทำอะไรน่าขนลุกแบบนี้เลยทีเดียว
“ครั้งนี้พวกไอ้เปามันบอกว่าต้องลากมึงไปให้ได้ด้วย เห็นว่าจะเล่นเกมลงโทษกัน”
“จริงดิ ครั้งนี้บทลงโทษคืออะไร”
ผมถามกลับ เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
ก่อนที่สายเรียกเข้าจะตัดไป ผมก็กดรับเอาในวิสุดท้ายพอดี“ฮัลโหล”[อยู่ไหน]อีกฝ่ายยังคงเป็นไต้ฝุ่นคนเดิม พูดน้อย ไม่อ้อมค้อม ยิงเข้าประเด็นทันที ผมเริ่มจะชินแล้วละ“อ่า เอ่อ แถว xx”ด้วยความที่ขึ้นรถมาผมก็เอาแต่เหม่อ เลยไม่ได้ดูว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว พอชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงได้เห็นว่ายังมาได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ ช่วงเวลาเร่งด่วนกับรถเมล์ ยังไงก็ไม่มีทางเร็วไปกว่ารถเล็กได้[ลงป้ายหน้า]“หา?” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดัง จนป้าที่นั่งด้านข้างหันมามอง ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษท่านเล็กน้อย พอตั้งสติได้เลยพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร “วันนี้มีเรียนเช้าเหรอ”[ไม่มี อาจารย์ยกคลาส] ไต้ฝุ่นตอบกลับสั้น ๆ ก่อนถามย้ำอีกรอบ [ลงหรือยัง]“ให้ลงทำไม จะมารับ?” ผมแกล้งยียวน[อืม]ชิบ นี่ก็ตรงเกิน“ไม่ใช่แฟนกันจริง ๆ สักหน่อย ไม่ต้องดูแลขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ผมบ่นเสียงเบา ทว่ามือก็เอื้อมไปกดออด แล้วลงที่ป้ายรถเมล์อย่างที่อีกฝ่ายต้องการ[ฉันไม่เคยทำอะไรเล่น ๆ แล้วก็ไม่ชอบหลอกใครด้วย]“...”ประโยคนี้มันหลอกด่าผมปะวะลงจากรถเมล์มาได้ไม่นาน รถยุโรปเงาวับคุ้นตาก็ขับเข้ามาจอดเทียบท่าทันที ไม่ต้องรออีกฝ่าย
[เราคบกันแล้วใช่ไหม] ประโยคคำถามนี้ ราวกับเพื่อยืนยันให้แน่ใจถึงสถานะของพวกเรา ผมจ้องข้อความนี้ตาค้าง สมองประมวลผลไม่หยุดถ้าบอกว่า อ๋อใช่ เราคบกัน แล้วภายหลังไต้ฝุ่นรู้ความจริงเข้าล่ะ หมอนี่จะไม่รู้สึกเหมือนถูกล้อเล่นอยู่เหรอ ไม่ต้องพูดถึงแฟนคลับพวกนั้นเลย ผมคงโดนเขาเกลียดแน่นอนผมไม่ได้ชอบไต้ฝุ่นในเชิงนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยากถูกเกลียดหรอกนะ อย่างน้อยในแง่ของเพื่อน ผมก็ชอบเขาอยู่บ้างอันที่จริงแล้วผมเป็นคนโกหกไม่เก่งเลย ถ้าให้โกหกในแชตน่ะได้ เพราะอีกฝั่งไม่ได้เห็นสีหน้าและน้ำเสียง แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าแล้วเรื่องที่ต้องตอบมีคำโกหก ท่าทางผมมันจะออกจนอีกฝ่ายจับได้แน่นอนว่าด้วยสถานะของเราตอนนี้ ผมคงไม่สามารถโกหกไต้ฝุ่นไปได้ตลอด และจะต้องถูกจับได้แน่นอนถ้าอย่างงั้นควรบอกเลยดีไหมนะ ดีกว่าปล่อยให้เขารู้จากปากคนอื่นระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลต่าง ๆ นานา โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จู่ ๆ หน้าจอก็มีสายเรียกเข้าขึ้นมาเป็นไต้ฝุ่น...ผมลังเลอยู่ประมาณห้าวิ จากนั้นก็กดรับสาย ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายกลับเอ่ยถามมาเสียงเรียบ[ทำไมไม่ตอบแชตล่ะ]ก็กำลังคิดอยู่ไงผมสูดลมหายใจเข้าลึก โอเค เอ
วันนี้ผมไม่มีเรียนคลาสเย็น เลยกลับมาถึงบ้านตอนที่ฟ้ายังสว่าง แน่นอนว่าหลังจากอาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องไปสิงในเกมกับเพื่อนต่างคณะตามกิจวัตรเดิมของตัวเองระหว่างเล่นเกมจนใกล้จะถึงจุดไคลแมกซ์ มือซ้ายกดคีย์บอร์ดรัว ๆ มือขวาลากเมาส์อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น จู่ ๆ เซฟก็ถามขึ้นมา“คิริน มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอวะ”“ฮะ! เชี่ย!”ประโยคคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของเซฟ ทำเอาผมนิ้วเคลื่อนกดปุ่มพลาด ไม่ได้ยิงพลังออกมา สุดท้ายก็โดนฝั่งตรงข้ามฟาดพลังอัดเต็มหน้า จนตายในวินาทีสุดท้าย“พูดอะไรของมึงเนี่ยเซฟ กูตายเลยเห็นไหม”ผมโวยวายออกมา ใบหน้าที่ปรากฏบนจอออกอาการบูดบึ้งเล็กน้อย สองแขนยกขึ้นกอดอก“ตอบกูมาก่อน” เซฟถามย้ำ“ตอบอะไร” ผมทวนคำถามอีกครั้ง เมื่อกี้เพราะตั้งสมาธิมากก็เลยไม่ทันได้ฟังคำถาม รู้แค่ตกใจเสียงของมันที่ดังขึ้นมากะทันหันเท่านั้น“มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอ” เซฟพูด“เออ กูก็อยากรู้ บอกมาเลยนะเว้ย” เปาเสริมขึ้นมาอีกคน“ยังไง ๆ” โอบลากเสียงยาว ฟังแล้วดูกวนตีนสุด ๆส่วนผมนั้นอึ้งกิมกี่ไปแล้วเรียบร้อย ทำไมพวกมันถึงได้ถามคำถามนี้ล่ะ มันไปรู้อะไรมา!“ไม่มี!” ผมพูดเสียงดัง ก่อนที่จะถามออกไปเสียงนิ่ง แต่ใน
“อ้าว คิริน มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ ทำไมไม่เข้าห้อง แล้วนี่ทำไมหน้าแดง เป็นไข้เหรอ”เสียงของเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งทักขึ้นมา ผมรีบยกมือปิดแก้มตัวเองอย่างร้อนตัว “แค่ร้อนเฉย ๆ ใช่ อากาศร้อนเนอะวันนี้”“ก็ไม่นะ”ก่อนที่เพื่อนร่วมคลาสจะได้ถามอะไรต่อ ผมก็รีบวิ่งฉิวเข้าห้อง ตัดจบบทสนทนาอย่างคนร้อนตัวทันทีผมจำได้ว่าไต้ฝุ่นบอกให้รอหน้าห้องเรียนตัวเอง แต่ผมยังไม่ทันได้ ‘รอ’ อีกฝ่ายก็มา 'ยืน' เป็นเสาหลักอยู่หน้าห้องแล้วเรียบร้อยดูท่าอาจารย์คงจะเลิกคลาสเร็วสินะ ช่างน่าอิจฉาจริง แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ผมไม่ได้อยากให้หมอนี่มาตอนที่เพื่อนร่วมคลาสอยู่กันเต็มแบบนี้นะ!เสียงจ้อกแจ้กจอแจของสาว ๆ ในคลาสดังกระหึ่มอย่างกับผึ้งแตกรัง สายตาหลายคู่เหล่ออกไปด้านนอก จนลูกตาแทบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว“วันนี้พวกเธอคงเรียนเข้าหัวหมดแล้วเนอะ น่าจะไม่ต้องสอนอะไรแล้ว เนื้อหาวันนี้ออกสอบนะจ๊ะ”อาจารย์ประจำคลาสกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น และนั่นก็ทำให้ทั้งห้องกลับมาสงบตั้งใจเรียนกันอีกครั้งนักศึกษาที่เรียนวิชานี้ต่างรู้นิสัยของอาจารย์ท่านนี้ดีว่า เป็นคนที่ดูใจดีแค่ภายนอกเท่านั้น ระดับความยากของข้อสอบจะขึ้นอยู่กับความพอใจล้ว
ผมมองเพื่อนทั้งสองของไต้ฝุ่นด้วยรอยยิ้มแห้ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย ว่าแต่พวกนายใช้สายตามองประเมินคนอื่นโจ่งแจ้งแบบนี้ รู้ไหมว่ามันเสียมารยาท ยังดีที่หน้าตาผมก็ไม่ได้ขี้เหร่ ทั้งยังโดนชมบ่อย ๆ ว่าน่ารัก ถึงจะไม่หล่อแต่ก็พอมั่นใจได้ละนะ ไม่งั้นเจอแบบนี้เข้าไปเป็นต้องเสียเซลฟ์แน่“สวัสดีครับ” ผมทักทายอีกรอบ“จะกินอะไร” ไต้ฝุ่นหันมาถาม “เดี๋ยวไปซื้อให้”ประโยคนี้หลุดออกมายิ่งทำให้เพื่อนทั้งสองของเขาตาโตแทบจะทะลักออกมาอยู่แล้วขอร้อง นายช่วยดูหน้าเพื่อนตัวเองหน่อยเถอะ“คิดไม่ออกอะ เดี๋ยวฉันไปด้วย”“อืม”ไต้ฝุ่นพยักหน้า พวกเราจึงเดินออกไปพร้อมกัน แน่นอนว่าผมโกหก ปกติผมมีเมนูประจำของตัวเองอยู่แล้วเวลาที่ต้องมากินข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัย นั่นก็คือสุกี้น้ำยังไงล่ะ!แต่ที่บอกว่าไม่รู้ ก็เพราะไม่อยากอยู่กับสองคนนั้นต่างหาก ถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางพวกเขา ผมน่าจะโดนจ้องจนตัวหดเหลือสองนิ้วแน่ ๆ“ชอบสุกี้เหรอ?”น้ำเสียงเรียบนิ่งถามออกมา เมื่อเห็นว่าผมหยุดยืนอยู่หน้าร้านเจ้าประจำ“อื้ม เจ้านี้อร่อยนะ” ผมหันไปพูดยิ้ม ๆ “ว่าแต่ทำไมไม่ไปต่อแถวซื้อข้าวล่ะ หรือนายจะกินร้านนี้เหมือนกัน”“ทำไมไม่กินข้า
“แม่ฮะ วันนี้รินไม่กินข้าวเที่ยงที่บ้านนะ” ผมตะโกน มือก็สาละวนผูกเชือกรองเท้าอยู่ที่หน้าประตูบ้าน“อ้าว แล้วไม่หิวเหรอลูก มื้อเช้าก็ไม่ได้กิน”“เดี๋ยวว่าจะไปกินกับเพื่อนที่โรงอาหารน่ะครับ”“งั้นเอานมไปกินรองท้องก่อนสักกล่องนะ เผื่อหิวจนเป็นลมไป” แม่พูดพร้อมกับเดินไปหยิบนมมายื่นให้“เวอร์น่า” ผมตอบยิ้ม ๆ ทว่าก็รับเอาความหวังดีของผู้เป็นแม่มาอย่างไม่อิดออด พอผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็เจาะกล่องกินมันหน้าประตูบ้านนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องหิ้วไปทิ้งนอกบ้านจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อย ครั้งนี้ตัวไม่เลอะแล้ว ผมเลยกระโจนเข้าไปกอดคุณแม่สุดสวยของตัวเอง แล้วหอมแก้มท่านฟอดใหญ่“แหม โตแล้วยังจะขี้อ้อนอยู่อีก” แม่หัวเราะคิกคัก พลางตีแขนผมไปด้วย “ถ้ามีแฟนแล้วไปอ้อนแบบนี้ อีกฝ่ายคงหลงตาย”“...”จากที่ผมกำลังอารมณ์ดี ๆ เจอประโยคนี้เข้าไปก็ถึงกับชะงักกึก รอยยิ้มแข็งค้าง มือไม้สับสนไปหมดอย่างไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดีทำไมต้องน




![รรร...ก็แค่ตกกระไดพลอยโจน [mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


![กรงแค้นขังรัก [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)