จะกลายเป็นเพื่อนใจตัวร้าย...ในวันที่เธอหายดี
------------------------
น้อยหน่าทำเรื่องลางานให้คนึงนิจส่งไปที่ฝ่ายบุคคล และคนที่ลงชื่ออนุมัติคือมาร์คุส ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัทที่เธออยู่ใต้สายงานโดยตรง มาร์คุสสงสัยว่าทำไมสาวน้อยที่มีภารกิจต้องดูแลประสานงานกับลูกค้าช่วยเขา ไม่มาทำงานวันที่สองแล้ว
“ให้คุณชนากานต์ขึ้นมาพบผมตอนบ่ายสามโมง” เขาสั่งเลขาให้ตามน้อยหน่ามาพบเพื่อสอบถาม
“คุณชนากานต์ลาช่วงบ่ายแล้วค่ะ บอส” เลขาตอบเขา
“โทรหาเธอเลย”
เลขาติดต่อน้อยหน่าได้แล้วโอนสายให้เขา...
“คุณนิจเป็นอะไรไม่มาทำงาน ลาพักร้อน” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะมีงานหลายอย่างที่ยังคั่งค้าง
“เธอไม่สบายค่ะ บอส”
“เป็นอะไร...มากหรือ” เขาพูดภาษาไทยได้ชัดเจน เพราะอยู่ที่นี่เกือบห้าปี
“บอสอยากไปเยี่ยมไหมคะ”
“เธออยู่บ้านตรงไหน ส่งโลเคชั่นมาให้ ผมจะให้คนขับรถไปดูพรุ่งนี้”
รุ่งขึ้นสุธนฝากให้ป้าสมใจดูแลเรื่องอาหารการกิน เขาบอกให้สั่งจากร้านในหมู่บ้านมาส่งไม่ต้องทำกับข้าวให้ลำบาก เขามีภารกิจประชุมเรื่องคดีสำคัญทั้งวัน จึงไม่มีเวลาที่จะโทรสอบถาม แต่สั่งให้ป้าโทรกลับไปถ้าเธอมีอาการผิดปกติ
มาร์คุสนายใหญ่ของคนึงนิจให้คนขับรถไปตามแผนที่ที่น้อยหน่าส่งให้ พอมาถึงหน้าบ้านจึงกดกริ่งที่รั้ว เห็นป้าอายุราวห้าสิบเศษออกมาเปิดประตูให้
“บ้านคุณคนึงนิจนะครับ”
“ใช่ค่ะ...จากไหนคะ” ป้าสมใจมองหน้าฝรั่งหนุ่มใหญ่อย่างสงสัย หรือเป็นแฟนของหญิงสาวที่บอกเธอเมื่อวาน
“ผมเป็นนายจ้างของคนึงนิจ”
ป้าสมใจเชิญเขาเข้าไปข้างในนั่งตรงโซฟารับแขก และขึ้นไปตามสาวน้อยลงมาพบ
“ป้าให้ฝรั่งรออยู่ข้างล่าง เขาบอกเป็นนายจ้างของคุณนิจ”
“เหรอคะ...ชื่ออะไร”
“มาร์คุส...”
“อ๋อ...เดี๋ยวลงไปค่ะ” เธอทำหน้าเฉยๆ จนป้าสมใจ งง...
คนึงนิจเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อยและเดินลงไปมองเห็นฝรั่งตัวโตหันมามองเธอขณะก้าวลงบันไดจนถึงชั้นล่าง
“สวัสดีค่ะ...ไม่ทราบมาหาหนูหรือคะ” เธอถามอย่างไม่เข้าใจด้วยใบหน้าเหมือนไม่เคยรู้จักกับมาร์คุสมาก่อน
“จำผมไม่ได้หรือ...บอสคุณไง” เขางง จนเขาต้องบอกเธอ
“ชื่ออะไรคะ...”
“มาร์คุส” เขาเอ่ยอย่างแปลกใจ
“อ๋อ...นึกออกแล้ว บอสให้หนูพาไปพบลูกค้าแล้วเราจะไปเที่ยวที่มาดามทุซโซ วันนี้นี่คะ ตายจริงลืมเลย” เธอทำหน้าตกใจ
“นิจ...นั่นมันเดือนหน้า ไม่ใช่วันนี้ เราจะไปลอนดอนด้วยกัน” เขาสงสัยว่าเธอทำไมพูดเรื่องราวดูสับสน และปะติดปะต่อได้เหมือนคนรู้เรื่อง แต่เวลาไม่ใช่ปัจจุบันเท่านั้นเอง
“คุณเป็นบอส...น่ารักมากเลยค่ะ นิจหลงรักบอสมากๆ เลย” เธอพูดความในใจออกมาตรงๆ จนเขาตกใจเหมือนกัน เพราะไม่เคยเห็นเธอพูดอะไรแบบนี้
มาร์คุสเดินไปที่ป้าสมใจ แล้วเชิญให้เดินออกไปคุยกันที่สวนหน้าบ้าน
“ป้า...นิจเป็นแบบนี้กี่วันแล้ว”
“ป้าเพิ่งมาทำงานเมื่อวานค่ะ”
“เธออยู่บ้านกับใคร” เขาถามอย่างสงสัย
“กับรองผู้กำกับค่ะ...เธอเรียกว่า คุณพ่อ” คำตอบของป้าสมใจทำหนุ่มฝรั่งสงสัย เพราะเขาเคยถามเรื่องส่วนตัวของเธอ แต่เธอตอบเลี่ยงๆ ว่าอยู่กับญาติผู้ชาย
“เธอต้องไปพบแพทย์...” เขาสรุปในใจแล้วว่าจะให้เธอลางานยาว เพราะป่วยขนาดนี้ คงต้องกลับไปปรึกษากับผู้จัดการฝ่ายบุคคลว่าจะทำยังไงกับเธอตามกฎหมายแรงงาน
มาร์คุสนึกในใจเสียดายสาวน้อยคนนี้มาก เพราะเท่าที่ดูเธอแล้วเป็นคนที่น่ารัก ช่วยเหลือเขาเรื่องการงานได้ดีกว่าเลขาของเขาเสียอีก และที่สำคัญเขาเริ่มชอบเธอด้วยอุปนิสัยส่วนตัวที่ร่าเริงและดูเป็นธรรมชาติ แววตาสดใสมองโลกในแง่ดี เขาทำงานด้วยยังรู้สึกมีความสุข เหมือนเขามีเพื่อนข้างกายที่รู้ใจเขาไปหมดทุกเรื่อง เธอจำได้แม้กระทั่งอาหารที่เขาชอบ การแต่งกาย และรสนิยมการชอปปิ้งของเขาที่ไม่ต้องเอ่ยก็รู้ใจไปหมด
หนุ่มฝรั่งเช่นเขาที่ผ่านมาเจอแต่สาวไม่จริงใจ ไม่เคยเอาใจใส่ว่าเขาจะรู้สึกยังไง ชอบไม่ชอบอะไร และบางคนเอาเปรียบเห็นแก่ตัว มีแต่จะให้เขาเอาใจตลอดไม่เคยมองว่าเขาก็อยากให้อีกฝ่ายเอาใจและรับรู้ถึงความรู้สึกแคร์กันบ้าง หัวใจเขาตอนนี้เศร้าและกังวลกับอาการป่วยของเธอ เขายังรู้สึกในความเป็นกันเองของเธอตลอดมา อารมณ์หนึ่งที่เขาอยากให้เธอเป็นอย่างนี้ตลอดไป คือความเป็นเพื่อนไม่ว่าจะทางใจหรือทางกาย เขาอยากให้เธอคิดถึงเขาในจุดนี้ แต่วันนี้แววตาของเธอมองดูเขาอย่างเฉยเมย ผิดกับแต่ก่อนที่ทำงานเดินทางไปด้วยกัน เขาจะเห็นเธอคอยดูแลเอาใจใส่เขาทั้งในเวลางานและนอกเวลา ประหนึ่งเป็น confidential secretary เลขาที่กำความลับให้ทุกเรื่อง
ก่อนที่เขาจะกลับเข้าไปเพื่อบอกลาคนึงนิจ เขาสั่งป้าสมใจว่าถ้าเธออาการผิดปกติมากกว่านี้ ให้โทรหาเขาด่วน เขายื่นนามบัตรส่งให้ป้าเก็บไว้
“นิจ...ผมกลับนะครับ มีอะไรด่วน ให้ป้าโทรหาผมด้วย” เขาสั่งเธอมองหน้าสาวน้อยอย่างกังวล
“ค่ะ...นิจไม่ได้เป็นอะไรเลยนะคะ บอสไม่ต้องกังวลค่ะ” เธอตอบเสียงเน้นคำอย่างชัดเจน
“Call me in person if you like. โทรหาผมส่วนตัวถ้าอยากคุย” เขาบอกเธอด้วยสายตาวิงวอน ก่อนเดินออกจากบ้านเขาสวมกอดตบหลังเธอเบาๆ ให้กำลังใจ
ป้าสมใจออกไปส่งหนุ่มฝรั่งที่หน้าบ้าน ป้าส่งยิ้มให้เขามองดูท่าทางว่าเขาน่าจะใจดีกับสาวน้อย นางเดินกลับเข้าบ้านไม่เห็นคนึงนิจที่ห้องรับแขก จึงขึ้นไปดูที่ห้องของสุธน เห็นสาวน้อยเอาตุ๊กตาตัวเมื่อวานมาหอมแก้มและยิ้มอยู่คนเดียว
“คุณนิจ...ลงไปทานข้าวเถอะค่ะ วันนี้ท่านรองผู้กำกับจะกลับดึก” ป้าบอกเธอให้ตามลงไปที่ครัว นางถอนหายใจกับสาวน้อยว่าเธอเป็นอะไรมากมายขนาดนี้
สุธนกลับมาถึงเกือบสี่ทุ่ม หน้าตาอิดโรยเหมือนทำงานหนักมาทั้งวัน ป้าสมใจรีบถามว่าจะกินอะไรไหม แต่เขาส่ายหน้าว่าอิ่มมาจากที่ทำงานแล้ว เขาขอตัวขึ้นไปดูสาวน้อยของเขาที่เมื่อคืนได้นอนกอดเธอทั้งคืน กลิ่นหอมจากผมและแป้งที่ทาตัวเธอยังหอมละมุนอยู่ในความรู้สึกของเขา ยามที่ได้มองหน้าเธอเต็มตาเขายิ่งกระหวัดไปถึงอารมณ์เมื่อคืนอีกครั้ง
“เป็นไงมั่งหนูนิจ...”
“คุณพ่อหรือคะ...วันนี้เพื่อนหนูมาเยี่ยมด้วยล่ะ” เธอกระโดดลงจากโซฟาตัวน้อยที่นั่งอยู่ข้างเตียงเข้ามาโอบเอวเขา
“วันนี้ผมลืมสั่งเตียงเล็กมาให้...” เขางานยุ่งจนลืมเรื่องนี้ไป
“พรุ่งนี้ผมจะให้คนที่ทำงานสั่งให้” เขารีบกดไปเขียนในไลน์ของจ่าแดงทันที
“ใคร...” เขาทำหน้าสงสัย
“เขาเป็นฝรั่งตัวใหญ่...” เธอทำท่าตัวโตให้สุธนดูอย่างน่ารัก
ป้าสมใจเปิดประตูเข้ามารายงานสุธนว่ามีเจ้านายฝรั่งของหญิงสาวมาเยี่ยมถึงบ้าน เขาพยักหน้าเข้าใจว่าคงเป็นคนนั้นที่เธอเคยพูดถึง แต่วันนี้คนึงนิจกลับบอกว่าเป็นเพื่อน
“หนูนิจ...เพื่อนคนนี้ชื่อมาร์คุส ใช่ไหม”
“ทำไมคุณพ่อ...รู้ชื่อเขาล่ะ”
“ก็เคยเล่าให้ฟังไม่ใช่เหรอ”
“ไปลอนดอนและจะไปเที่ยวด้วยนี่” เขาย้อนเธอ
“ใช่เลย...คนนี้ล่ะที่เป็นที่รักของมาดามทุซโซ” เธอยิ้มอย่างเบิกบาน
“เป็นเพื่อนรักหรือเปล่า” เขาถามขึ้น
“ใช่สิคะ...เป็นที่รักของมาดามเลยค่ะ” เธอยังตอบอย่างชื่นชม
“แล้วมาดามทุซโซ...ใครกัน” สุธนถามไปให้เธอสบายใจ เขาเครียดมากพอแล้ววันนี้เลยไม่อยากทำอะไรให้เครียด คุยกับสาวน้อยคนนี้ไปเรื่อยเปื่อยก็สบายใจดี
“เพื่อนรักของนิจเองค่ะ...นิจต้องไปหาเธอทุกคืนนะคะ” เธอเล่าเป็นตุเป็นตะ สุธนเหมือนจะเห็นจริงตามไปด้วย
“คืนนี้นอนเตียงนี้กับผมนะ...” เขาบอกเธอเพื่อย้ำให้เธอเข้าใจ กลัวว่าเธอจะตื่นตระหนกเหมือนครั้งที่ยังไม่ได้มีอาการแบบนี้
“ค่ะ...คุณพ่อคือเพื่อนที่รักของหนูเหมือนกันนะคะ” เธอพูดยิ้มละไมและยังกอดเอวเขาอยู่
สุธนคิดในใจ... ‘ใจกูนี่จะเป็นพ่อพระอยู่ได้สักกี่วันกัน ถ้าไม่ตบะแตกไปก่อน เธอกอดเอวแน่นจนหัวใจเต้นดังรัว...ขนาดนี้’
“ถ้าเรานอนกอดกัน...และเผลอทำอะไร นิจโกรธผมไหม” เขาถามด้วยหัวใจร่ำร้อง
“จะโกรธทำไม...คุณพ่อใจดีอยู่แล้ว” เธอเงยหน้าขึ้นมองเขายิ้มอย่างใสซื่อ
สุธนพึมพำกับตัวเอง
“เฮ้อ...จะกลายเป็นเพื่อนใจตัวร้าย...ในวันที่เธอหายดีนะสิ”
ด้วยศักดิ์ศรี...จะไม่ทำอะไรเด็ดขาดถ้าเธอไม่ยอมรับ------------------------หลังจากกินข้าวเช้าที่บ้าน แม่สุภาเร่งให้สุธนพาคนึงนิจไปหาหลวงตาที่วัด แม่ของเขาไปด้วย แต่จะตามไปพร้อมป้าสำเนียงและทวี เธอรู้ว่าสุธนรู้จักหลวงตารูปนี้ดี เขาเคยมาบวชอยู่ที่วัดนี้ ท่านเป็นผู้มีอาคมขมังเวทตั้งแต่สมัยยังหนุ่มเคยไปฝึกสายกรรมฐานแถวอีสานอยู่นับสิบปี ก่อนจะกลับมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเดิมแห่งนี้“กราบนมัสการหลวงตา...ครับ” สุธนเข้าไปนั่งกับพื้นพร้อมคนึงนิจก้มลงกราบท่าน ขณะท่านมองมาทั้งคู่อย่างยินดี“วันนี้...เราว่างหรือ” ท่านถามขึ้น“ไม่ว่างหรอกครับ แต่ผมต้องมาจัดการตามที่หลวงตาสั่งโยมแม่ไป”“เอ่อ...ไว้รอมากันให้ครบทุกคน หลวงตาจะเป่ามนต์เสกล้อมพวกเราไว้ทุกคน ไม่งั้นมันจะกลับมาเล่นงานทุกคนที่เข้าไปยุ่งกับอิหนูคนนี้” ท่านกล่าวเตือน“โยม...ไม่นาน จะกลับมาหาหลวงตาอีก”“ทำไมหรือครับ...”“ไม่มีอะไร...จะกลับมา... หลวงตาต้องเรียก โยมผู้กำกับ” ท่านหัวเราะเสียงแห้ง“โอ...จริงหรือครับ”“ตอนนี้...มีใครเป็นใหญ่ในสน.ล่ะ”“ยังไม่มีคำสั่งลงมาครับ...ผมรักษาการแทน” สุธนตอบ“นั่นล่ะ...วิบากของโยมกำลังตามมา...ระวังด้วย อิหนูนี
เพราะสายลมนี้ทำให้ฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่ง------------------------รุ่งขึ้นแม่สุภาพาคนึงนิจสาวน้อยที่นางคิดว่าเธอต้องถูกหมอดูเสกคาถาใส่ทำให้เธอกลายเป็นคนสติไม่อยู่กับตัว“กินข้าวแล้ว แม่จะพาเธอไปพบหลวงตาที่วัด” แม่ของสุธนพูดกับเขาเสียงเบา ไม่อยากให้สาวน้อยของเขาได้ยิน“ครับ...ฝากแม่ดูแลเธอด้วยนะครับ” เขายังดูกังวลกับเธอ“แม่จะให้สำเนียงไปด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยแม่ดูแล” แม่เขาดูกังวลเช่นกัน“ขอบคุณครับ วันนี้ผมมีประชุมทั้งวัน เสร็จงานจะรีบกลับมา อาจค้างที่นี่อีกคืนถ้าถึงดึก”แม่ไปเรียกป้าสำเนียงข้างบ้านให้มาอยู่เป็นเพื่อนคนึงนิจ ส่วนนางรีบโทรไปหามัคนายกที่ดูแลปรนนิบัติหลวงตา โชคดีที่วันนี้หลวงตาไม่มีกิจนิมนต์ เธอจึงรีบพาสาวน้อยออกจากบ้านให้หลานชายลูกป้าสำเนียงขับรถไปส่งหลวงตามองดูสาวน้อยที่เดินตามสุภาเข้ามานั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าท่าน ขณะเธอกำลังก้มลงกราบท่านจึงทักขึ้นทันที“โยม...พานางหนูนี่มาทำไม...”“อิฉันเห็นว่า อาการมันแปลกๆ คะ หลวงตา”“ลูกสาวโยมรึ” ท่านมีสีหน้ากังวล“ไม่ใช่ค่ะ...เป็นแฟนของลูกชาย”“จะอยู่ที่นี่นานไหม...ต้องทำพิธีถอนมนต์ดำ” ท่านบอกกับสุภา“ให้พ่อหนุ่มไปเอาไข่ไก่มา..
แผงอกอุ่นนี้...จะให้ไอรักซึมซาบเข้าไปในหัวใจเธอ...สักวัน------------------------คนึงนิจสาวน้อยนอนกอดสุธนตั้งแต่เธอยังไม่หลับจนหลับไปจนถึงรุ่งเช้า หนุ่มใหญ่เช่นเขาเริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาสองสามวัน ไปทำงานก็ยังคิดถึงเป็นห่วงเธอ กังวลว่าเธอจะเป็นอะไรมากกว่านี้ไหม บางครั้งต้องให้จ่าแดงคนสนิทที่รู้เรื่องส่วนตัวของเขามากกว่าทุกคน โทรมาหาป้าสมใจคอยถามเรื่องอาหารการกินและอาการของเธอ เขาพยายามบอกให้ป้าสมใจหลอกล่อให้เธอกินยาตามที่หมอสั่งเช้าวันนี้เขารู้สึกไม่อยากไปทำงาน แต่อยากพาสาวน้อยคนนี้ไปเที่ยวนอกเมืองแถวบ้านเดิมของเขาก่อนเข้าตัวเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี พาเธอไปพบแม่ของเขาที่อายุค่อนมากแล้ว ท่านอยู่กับหลานสาวอายุสิบเจ็ดปี“หนูนิจ วันนี้ไปเที่ยวกันนะ” เขาเอ่ยปากชวนระหว่างกินข้าวมื้อเช้าด้วยกัน“เหรอคะ...ที่ไหน” เธอแต่งตัวสวยเหมือนพร้อมออกบ้าน“ไปบ้านแม่ผม...ไม่ไกลจากนี่สักหนึ่งชั่วโมงก็ถึง ไปทานข้าวบ้านแม่ ท่านทำอาหารอร่อยนะ” เขาเอ่ยชวนเธอ“ดีจังค่ะ...”“ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ชุดนี้สวยดีแล้ว” เขาบอกเธอ และหันไปสั่งป้าสมใจให้ขึ้นไปเอายาลงมา เขาจะเอาไปด้วย“หนูต้องทำอะไรบ้าง เวลาเจ
จะกลายเป็นเพื่อนใจตัวร้าย...ในวันที่เธอหายดี------------------------น้อยหน่าทำเรื่องลางานให้คนึงนิจส่งไปที่ฝ่ายบุคคล และคนที่ลงชื่ออนุมัติคือมาร์คุส ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัทที่เธออยู่ใต้สายงานโดยตรง มาร์คุสสงสัยว่าทำไมสาวน้อยที่มีภารกิจต้องดูแลประสานงานกับลูกค้าช่วยเขา ไม่มาทำงานวันที่สองแล้ว“ให้คุณชนากานต์ขึ้นมาพบผมตอนบ่ายสามโมง” เขาสั่งเลขาให้ตามน้อยหน่ามาพบเพื่อสอบถาม“คุณชนากานต์ลาช่วงบ่ายแล้วค่ะ บอส” เลขาตอบเขา“โทรหาเธอเลย”เลขาติดต่อน้อยหน่าได้แล้วโอนสายให้เขา...“คุณนิจเป็นอะไรไม่มาทำงาน ลาพักร้อน” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะมีงานหลายอย่างที่ยังคั่งค้าง“เธอไม่สบายค่ะ บอส”“เป็นอะไร...มากหรือ” เขาพูดภาษาไทยได้ชัดเจน เพราะอยู่ที่นี่เกือบห้าปี“บอสอยากไปเยี่ยมไหมคะ”“เธออยู่บ้านตรงไหน ส่งโลเคชั่นมาให้ ผมจะให้คนขับรถไปดูพรุ่งนี้”รุ่งขึ้นสุธนฝากให้ป้าสมใจดูแลเรื่องอาหารการกิน เขาบอกให้สั่งจากร้านในหมู่บ้านมาส่งไม่ต้องทำกับข้าวให้ลำบาก เขามีภารกิจประชุมเรื่องคดีสำคัญทั้งวัน จึงไม่มีเวลาที่จะโทรสอบถาม แต่สั่งให้ป้าโทรกลับไปถ้าเธอมีอาการผิดปกติมาร์คุสนายใหญ่ของคนึงนิจให้คนขับรถไ
ทำหัวใจกระเจิง-------------------สุธนมองจ้องหน้าคนึงนิจสาวน้อยนัยน์ตาคมขนตาเป็นแพยาว ผิวสีน้ำผึ้งของเธอขับกับรูปใบหน้าเหลี่ยมจมูกมีสันเล็กน้อย แก้มแดงเรื่อๆ องค์ประกอบบนใบหน้าของเธอได้รูปเป็นสาวยุคใหม่ที่สวยสะอาง แต่ตอนนี้สติของเธอไม่ได้เรื่องได้ราวไปเสียแล้ว เขาเกิดความกลัวจนไม่น่าเป็นไปได้ พื้นอารมณ์ที่นิ่งสุขุมของเขาจากอาชีพและอุปนิสัยแต่เดิมนั้น ทำให้เขาไม่เคยหวาดกลัวอะไรมาก่อนเท่านี้ หรือเป็นเพราะเขาเริ่มใกล้ชิดเธอในความสัมพันธ์เพียงแค่สามเดือนที่ผ่านมาเขาตัดสินใจเขียนข้อความไปในแช็ตถึงน้อยหน่าเพื่อนของเธอ“ผมอยากขอให้คุณช่วยลางานพักร้อนให้นิจได้ไหมครับ”“ค่ะ...จะลองถามฝ่ายบุคคลดูก่อนนะคะ”“พรุ่งนี้จะแจ้งคุณนะคะ”เขาต้องหาคนมาอยู่เฝ้าเธอ ท่าทางแบบนี้ไม่น่าไว้ใจแล้ว เขาจึงโทรขอให้ป้าที่ทำความสะอาดในสำนักงานช่วยหาคนมาดูแลเธอด่วน“นิจ...ผมจะหาคนมาเฝ้าคุณนะ” เขาบอกเธอ วันนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน สั่งงานทางออนไลน์“ไม่ต้องค่ะ คุณพ่อ นิจดูแลตัวเองได้ค่ะ” เธอยังรู้สึกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร“ไม่ได้...ถ้าเป็นอะไรไป ผมแย่เลย”เขากลัวว่าเธอเกิดเพ้อเจ้อทำร้ายตนเองขึ้นมา เขาจะรู้สึกผิดและไม่แน่ว่
เธอพบเขาในฝัน-------------------สองสาวตกใจเมื่อหญิงสาวอายุประมาณสามสิบวิ่งถลันออกมาจากห้องด้านในที่เป็นห้องพบแพทย์“คุณ!...หมอยังไม่ทันตรวจ เป็นอะไร” หมอตามออกมาหน้าตาตกใจ“ไม่ค่ะ...ฉันกลัว” หญิงสาวคนนี้วิ่งเข้ามากอดคนึงนิจแน่นไม่ยอมปล่อย แม้หมอจะให้ผู้ช่วยในคลินิกมาช่วยกันพูดก็ตาม“คุณ...ไม่ต้องกลัวนะ” คนึงนิจเสียงเบากำลังจะเป็นลม ใจเต้นหวาดผวาไปด้วยแล้วน้อยหน่าต้องรีบประคองเพื่อนสาวที่ถูกผู้หญิงที่ส่งเสียงร้องกรี๊ดกอดเอาไว้แน่น เธอตกใจเช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรที่แปลกประหลาดขนาดนี้“เฮ้ย...นิจ อย่าหลับเชียวนะ ฉันกลัวอ่ะ” น้อยหน่าตบหน้าคนึงนิจเบาๆน้อยหน่าเรียกหมอให้เข้ามาดูว่าเพื่อนของเธอเป็นอะไร“ผมจะตรวจดูก่อน...ช่วยประคองเพื่อนคุณเข้าไปห้องตรวจข้างใน เร็วนะ” หมอเร่งให้ผู้ช่วยในคลินิกสองคนมาช่วยน้อยหน่า“เพื่อนคุณเป็นลม ชีพจรเต้นเบา คงต้องฉีดกลูโคส” หมอจัดเตรียมยาฉีดให้เพื่อนสาว ส่วนผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ด ถูกผู้ช่วยในร้านพาเธอไปนอนพักที่ห้องตรวจอีกห้องเพื่อรอญาติมารับกลับ“คุณหมอคะ ผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ดเธอเป็นอะไรคะ” น้อยหน่ายังสงสัย จึงถามขึ้น“เธอประสาทหลอน ญาติพามาตรวจ แล้วออกไ
หลอน...มู...จนขาสั่น จิตกระเจิง--------------------------------“สะ...สะ เสียงดังกังวาน...ออกมาจาก หะ...หัวกะ...กะ...โหลกนั่น...” คนึงนิจหันไปกอดกับน้อยหน่าหลับตาปี๋ เสียงเบาตะกุกตะกัก“บอกแล้วไม่ต้องกลัว...พ่อปู่สื่อวิญญาณอยู่” ลุงหมอดูเดินเข้ามาจับหัวสาวทั้งสอง และตบหลังพวกเธอเบาๆเอาล่ะสิ...คนึงนิจสะดุ้งขาสั่น ขนใต้ผิวหนังตั้งชันเหมือนจับไข้ น้อยหน่าเหงื่อแตกด้วยความกลัว สองสาวยังกอดกันค่อยเขยิบก้าวถอยหลังอย่างอัตโนมัติ“ห้ามออกไปจากห้องเด็ดขาด...เข้ามานั่งพับเพียบตรงหน้าพ่อปู่” ชายชราหมอดูเสียงเปลี่ยนเป็นห้าวก้อง หน้าตาจากที่เหี่ยวแห้งกลับดูเป็นหนุ่มมีพละกำลังเขานั่งลงในท่าขัดสมาธิหลับตาลง สองสาวมองหน้ากันอยากวิ่งออกไปแต่ประตูห้องดันถูกปิดจากด้านนอก พวกเธอจำยอมค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้น ก้มหน้าไม่ยอมมองตรงไปข้างหน้า กลัวพวกหัวกะโหลกแยกเขี้ยวอยู่เต็มห้อง มองไปทางไหนเหมือนกำลังจ้องมาที่พวกเธอ“วิธังเสติ ......” พ่อปู่ร่ายคาถายาวไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ และยกมือทำท่าเหมือนโปรยคาถาครอบคลุมไปทั่วห้อง“โอม...นะมะจิตตัง...ยะจับใจ ...พุทธะหลงใหล...” เสียงของผู้เฒ่าหน้าทารก ณ บัดนาวด
ปัดวิบาก...ตัดกรรม-----------------------สุธนเดินเข้าไปในห้องนอนของคนึงนิจ มองสำรวจไปรอบๆ เห็นตุ๊กตาหล่นอยู่ที่พื้นหนึ่งตัว ซึ่งเป็นตัวเดียวกับเมื่อวานที่เขามอบให้เธอ เขาเดินไปหยิบขึ้นมาและมองจ้องเปิดดูเสื้อผ้าที่ใส่เป็นเดรสสีชมพู หน้าตาของตุ๊กตายิ้มสวยกว่าอีกตัวที่เธอเพิ่งเอามาด้วยซ้ำ เขาคิดว่าน่าจะเป็นตัวนี้ที่ส่งเสียงกรี๊ดจนเธอตกใจรีบทิ้งลงพื้นแล้ววิ่งออกมากอดเขา“ไม่เห็นมีอะไรเลย...นิจ เข้ามาดูสิ ผมอุ้มขึ้นมากอดอยู่” เขากอดตุ๊กตาไว้ที่อกตะโกนออกมา แต่ไม่ได้ยินเสียงของเธอ เลยเดินออกจากห้องเพื่อเอาไปให้ดูว่าไม่มีอะไร“ไม่ค่ะ...นิจ ขอคืนให้คุณพ่อนะคะ” สาวน้อยแทบไม่อยากมองมันเลย“หนูว่า...คงจริงอย่างที่พ่อปู่เตือน” คำพูดเธอทำให้สุธนสงสัย“มีอะไร...รึ”“ลุงหมอดูเตือนว่าหนูมีเคราะห์ และไม่ควรอยู่ที่บ้าน”“อย่างมงาย...”“แล้วตุ๊กตานี่ไปได้จากที่ไหนมาคะ...” เธออยากรู้“ผมไม่รู้ เพราะลูกน้องใน สน. มอบให้ผู้กำกับ แต่ท่านไม่เอา ดันมาวางไว้บนโต๊ะผม” เขามองหน้าสาวน้อยส่ายหัว“ไว้เข้า สน.พรุ่งนี้ผมจะถามพวกนั้นดู”“แล้วจะให้ผมเอาไปไว้ไหนดี...” เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ แต่จะพยายามเอาใจเพื่อให้เธ
อวิชชา...วิชามาร หรือ อะไรกัน--------------------------------ช่วงเย็นเลิกงานน้อยหน่ารีบมาที่โต๊ะของคนึงนิจได้เวลาห้าโมงตรงเผง แล้วทั้งคู่รีบออกจากตัวตึกข้ามไปฝั่งตรงข้ามสั่งอาหารจานเดียวมากินอย่างเร่งรีบ เพราะเพื่อนเธอบอกว่าบ้านหมอดูอยู่ไกลแถวนอกเมือง น่าจะแถวๆ บ้านของคนึงนิจ เส้นทางเลยออกไปทางบางบัวทองทั้งสองไปถึงค่อนข้างค่ำมากเกือบทุ่มเศษ บ้านไม้สองชั้นเก่ามากตัวบ้านน่าจะเกินสามสิบปี น้อยหน่าจับมือคนึงนิจอย่างไม่แน่ใจ“เฮ้ย...ไหนๆ มาถึงแล้ว มันจะถอยไม่ได้นะ” เธอบอกน้อยหน่าแบบใจกล้า แต่ในใจก็ตื่นเต้น หน้าตาของบ้านเหมือนบ้านผีสิง“นี่ถ้ามาคนเดียว ฉันหนีก่อนเลย ไม่กล้าลงจากรถอ่ะ” น้อยหน่าทำหน้าหวาดกลัว“ใครแนะนำ...”“ป้าฉันนะสิ...”ทั้งสองคนโผล่หน้าเข้าไปก่อน ขณะที่คนข้างในเปิดออกมาพอดี ข้างในเป็นโถงกว้างมีคนกำลังรออยู่แล้วสามคน หนึ่งในสามกำลังเข้าไปทำพิธีอยู่“โห...นี่มูกันแบบสุดๆ เลยว่ะ” คนึงนิจมองพิธีแบบเสกคาถาร่ายภาษาที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน“นั่นดิ...เข้าท่าไหม กลัวเสียเงินฟรี”“ไม่ลองไม่รู้”และแล้วผู้ชายแต่งตัวแบบพราหมณ์ห่มผ้าสีขาวผ้านุ่งแบบโจงกระเบน กวักมือเรียกสองคน“อีหนูสองค