วันนี้รีบมาทันทีเมื่อมีเสียงระบบยมโลกแจ้งเตือน เสียงแจ้งมาว่ามีวิญญาณหนึ่งที่จะต้องมอบตัว ท่านยมจึงรีบออกจากโลกยมโลกด้วยความรวดเร็วเขาลอยขึ้นไปในอากาศ ท่ามกลางควันที่ลอยคลุ้งออกจากเมรุแห่งหนึ่ง ควันลอยขึ้นเหนือท้องฟ้าสีขาวพวยพุ่ง เปรียบเสมือนจุดหมายปลายทางที่วิญญาณจะต้องมารวมตัว เพื่อรอการนำพาไปสู่ยมโลก“หืม...ได้เวลาแล้ว” ท่านยมเอ่ยเสียงเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ลอยลงไปใกล้ที่เมรุที่ไฟกำลังลุกโชติช่วง เขาก้มมองไปรอบๆ ก็พบเพียงควันหนาทึบที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เอื้อมมือคว้าวิญญาณที่มักจะยืนเคว้งคว้างหาทางไปไม่ได้อยู่ปะปนกับควันไฟ “ไม่มี หายไปได้อย่างไรเป็นไปไม่ได้วิญญาณหายไป” ท่านยมควานมือไปรอบๆ ควันสีขาว แต่ไม่มีดวงวิญญาณใดๆ ปรากฏให้เห็นท่านยมรู้สึกแปลกใจและเริ่มเอะใจ “เกิดอะไรขึ้น ไม่เคยเป็นแบบนี้นี่ หรือว่า”จึงลงไปยืนที่หน้ารูปถ่ายติดหน้าศพที่ตั้งอยู่ข้างๆ เมรุเพียงแค่เขามองไปที่รูปภาพนั้น ร่างกายของเขาก็สะท้านขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว“อะไร...ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้” เขาพูดเบาๆ มองไปที่ภาพในกรอบของข้าวนึ่งที่ถูกจัดไว้บนโต๊ะข้างเมรุรูปภาพในกรอบไม่ใช่ใครที่ไหน…มันคือรูปของข้าวนึ่ง“แย่แล้ว ซว
ในห้องที่เงียบสงัด ร่างของข้าวนึ่งนอนอยู่บนเตียงในห้องดูแลผู้ป่วยไอซียู เครื่องช่วยหายใจทำงานอย่างหนัก เสียงบี๊บของเครื่องมือแพทย์ที่ตรวจจับชีพจรและอัตราการหายใจดังขึ้นเป็นระยะๆ แต่ทุกอย่างกลับแสดงสัญญาณที่ไม่ดี สัญญาณชีพเริ่มไม่ปกติ เครื่องมือบางตัวเริ่มส่งเสียงเตือนเบาๆ แต่พยาบาลที่เฝ้าอยู่ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่กำลังจะเกิดขึ้น“ไม่ได้การแล้ว คนไข้กำลังวิกฤติ” พยาบาลมาเฝ้าข้าวนึ่งวิ่งออกจากห้องไอซียูสายยางกู้ชีพที่เชื่อมต่ออยู่ในร่างของข้าวนึ่งเริ่มระโยงระยางไปทั่วห้อง ทุกอย่างแสดงถึงภาวะวิกฤติอย่างแท้จริง บรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนจากความเงียบสงัดเป็นความตื่นตระหนก“คุณหมอ คุณหมอ” พยาบาลคนเดิมรีบวิ่งไปห้องข้างๆ เพื่อตามหมอให้มาช่วยอย่างเร่งด่วน พยาบาลที่อยู่ในห้องกับข้าวนึ่งไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากคอยเฝ้าติดตามสัญญาณจากเครื่องพยุงชีพที่ดังเป็นระยะๆสัญญาณชีพของข้าวนึ่งเริ่มดังถี่ขึ้น สัญญาณเตือนจากเครื่องวัดชีพจรดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงดังถี่เพื่อแจ้งเตือนเร่งด่วนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนจะทำลายความเงียบในห้องไปหมด พยาบาลทุกคนในห้องทำงานอย่างรวดเร็ว ใบหน้าแสดงถึงความเครียด พว
เสียงร้องของทารกดังขึ้นในห้องคลอด ท่ามกลางความเงียบสงัดที่เคยปกคลุม ขณะที่ทุกคนยืนคอยในความตึงเครียด ราวกับเวลาได้หยุดลงในขณะนั้น หยางลี่ที่ยืนอยู่ข้างนอกห้องคลอด รู้สึกถึงความรู้สึกโล่งใจที่แทบจะทำให้เขาหายใจไม่ออก เมื่อเสียงร้องของทารกดังออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงร้องนั้น ตงเจี้ยนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ เขารีบวิ่งไปหาหยางลี่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบกอดเขาแน่นจนหยางลี่แทบจะเสียหลัก“คลอดแล้วขอรับฮองเฮาคลอดแล้วขอรับ อะ ขออภัยขอรับฝ่าบาท" ตงเจี้ยนพูดอย่างตกใจ รีบปล่อยมือที่กอดหยางลี่ออก ก่อนจะยิ้มแหย๋ๆหยางลี่ที่ถูกกอดอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำเอาเขาหัวเราะออกมาด้วยความโล่งอกและตกใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้ตงเจี้ยนเป็นการยอมรับว่าไม่เป็นไร เขาก็ยังคงตั้งใจรอฟังต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ และตื่นเต้นเหมือนกันและในขณะเดียวกัน เสียงตะโกนดังๆ ของ เสี่ยวอี้ ก็ดังขึ้นจากในห้องคลอดว่า "ฮองเฮาคลอดองค์ชายยยยย" คำพูดนั้นเหมือนคำสั่งให้ทุกคนในตำหนักได้รู้ว่าเสี่ยวหนี่ได้คลอดบุตรแล้ว ทุกคนที่ยืนอยู่ในห้องด้านนอกต่างยิ้มออกมาอย่างยินดีและเต็มไปด้วยความสุขหยางลี่ที่ยืนอยู่ก็หันไปทางเ
เวลาผ่านไปหลายเดือน ความอบอุ่นในตำหนักของหยางลี่และเสี่ยวหนี่เต็มไปด้วยความสุขและความรอคอย ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง เสี่ยวหนี่ที่ตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ท้องโตเต็มที่ “พวกเจ้าจะต้องดูแลฮองเฮาให้ดีอย่าให้ฮองเฮาต้องลุกนั่งโดยไม่มีการพยุง และพวกเจ้าจะต้องคอยอยู่ที่นี่เพื่อคอยรับใช้ฮองเฮาห้ามไปไหน”“ฝ่าบาทพวกนางอยู่มากไปข้าก็อึดอัด” หยางลี่สบตานิ่งพร้อมกับรอยยิ้มเต้มเปี่ยมด้วยความรัก“ไม่ได้สิเจ้าต้องมีคนดูแรับใช้ตลอดเวลาข้าไม่ยอมให้เจ้าทำอะไรอีกแล้ว”“เสี่ยวหนี่กำลังจะเป็นง่อยตายแล้ว” หยางลี่ยิ้มสดใส“เป็นง่อยก็ดีเจ้าจะได้ไม่หนีข้าไปไหน เสี่ยวหนี่ให้ข้าได้ดูแลเจ้าหมอหลวงบอกว่าอีกไม่นานเจ้าก้จะถึงกหนดคลอดลูกแล้วเช่นนั้นตอนนี้ ต้องเชื่อข้า”วันนี้อากาศเย็นสบาย หยางลี่นั่งอยู่ข้างเสี่ยวหนี่ในห้อง เสี่ยวหนี่นั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่นุ่ม มีอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นจากไฟในเตาผิงที่คุกรุ่น หยางลี่มองเสี่ยวหนี่ด้วยสายตาอ่อนโยนแล้วค่อยๆ ก้มลงเอาศีรษะของเขาแนบกับหน้าท้องป่องนูนของเสี่ยวหนี่"องค์ชายของพ่อเมื่อไหร่จะออกมาสักที" หยางลี่พูดเสียงทุ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมกับยิ้มให้เสี่ยวหนี่ "ดูสิแม่ของเจ้าต้อง
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเตรียมใจไว้แล้ว“เอาตามจริงแล้วมันมีผลต่อข้ามากๆ เลยนะ หากเจ้าปฏิเสธ ข้าจะต้องโดนลงโทษหนัก... เบื้องบนจะรู้ว่าข้าทำพลาด ข้าก็จะโดนลดขั้นเงินเดือน ไม่ได้เลื่อนขั้นและไม่ได้โบนัส อยากให้เจ้าเข้าใจว่า เรื่องนี้มันไม่ง่ายเลยสำหรับข้า มันหนักหนามากๆ แต่ผลกระทบของเจ้าก็คือ เจ้าหรือข้าวนึ่งก็จะตาย แต่ก็จะไม่มีวิญญาณของเจ้ามีแค่วิญญาณเสี่ยวหนี่ก็จะเอาเรื่องที่ข้าทำพลาดไปพูดสักวันหากมีคนที่คอยขัดแข้งขัดขาข้ารู้เรื่องนี้เขาเขาก็จะมาเอาร่างของเสี่ยวหนี่ไปแกล้งให้เจ้าตายเพี่อที่จะทำให้เจ้าไม่มีร่างใครให้เข้านั่นล่ะคือนรกจริงๆ เพราะเจ้าจะต้องเป็นผีเร่ร่อน จนกว่าจะถึงวันที่เจ้าสิ้นอายุขัย”“แวดวงของท่านก็มีการขัดแข้งขัดขากันด้วยหรือ”ท่านยม ส่ายหน้าไปมา“น้อยไปนะสิข้ากำลังจะตายเพราะเอาแต่ปกปิดเรื่องของเจ้า ต้องคอยเลี้ยงข้าวหน่วยงานอื่นเพื่อปกปิดเรื่องนี้”เสี่ยวหนี่มองท่านยมเงียบๆ รู้สึกเห็นใจในสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญ แต่ในใจกลับมีความวิตกกังวลมากกว่า ไม่สามารถละทิ้งสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ได้“ท่านไม่สงสารข้าหรือ” เสี่ยวหนี่ถามเสียงเบา แววตาของเจือความเศร้าหมองจริ
ในทุกๆ วันของเสี่ยวหนี่ที่ได้อยู่เคียงข้างหยางลี่ ความรักและความใส่ใจของเสี่ยวหนี่ได้แสดงออกผ่านอาหารทุกจานที่ทำด้วยมือ เสี่ยวหนี่คอยทำอาหารอร่อยๆ ที่ไม่เพียงแค่เติมเต็มท้อง แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความรักที่มีให้กับคนที่รัก อาหารที่เตรียมให้หยางลี่นั้นมีความอบอุ่นและความห่วงใยแฝงอยู่ในทุกๆ องค์ประกอบแม้บางครั้งจะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ทุกครั้งที่เห็นเขายิ้มและทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ความเหนื่อยทั้งหมดก็หายไปทันทีจนกระทั่งถึงวันที่ทุกคนรอคอย วันแต่งงานของเซียหยาและองค์ชายรองอวี่หรง ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ท่ามกลางความรื่นเริงและเต็มไปด้วยความสุขของทุกคนในวังเซียหยาในอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงยาวลากพื้นยิ้มอย่างมีความสุข ข้างๆ กันคือองค์ชายรองอวี่หรง ที่สวมอาภรณ์แต่งงานสีทอง สวมกว้านสีทองมองแล้วองอาจหล่อเหลาที่สุดสีทองที่ดูสง่างาม พร้อมรอยยิ้มที่ไม่เคยเลือนหายจากใบหน้าเมื่อพิธีเริ่มขึ้น ทุกสายตาของแขกที่มาร่วมงานต่างจับจ้องไปที่เวที หยางลี่และเสี่ยวหนี่ยืนอยู่ข้างๆ ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติ ทุกคนต่างร่วมแสดงความยินดีและอวยพรให้กับทั้งคู่มารดาของเซียหยา ยิ้มแย้มขณะยืนใกล้ๆ กับเสี่ยวหนี่และหยางลี