ในอีกมุม เสี่ยวหนี่ปาดเหงื่อบนหน้าผากด้วยหลังมือ ก่อนกระโดดตัวเบาไปยังแผงเครื่องปรุงอย่างร่าเริง“ขนมปังเสร็จแล้ว ต่อไป… ยำรวมมิตรฉบับเสี่ยวหนี่!”นางพูดพลางสะบัดชายผ้ากันเปื้อน แล้วล้วงหยิบกระจาดไม้ที่บรรจุวัตถุดิบหลากหลายอย่างไว้ครบครันขึ้นมาด้วยความภาคภูมิ มือข้างหนึ่งหิ้วถาดทองเหลืองใบใหญ่ อีกมือหยิบมีดคมปลายโค้งประจำตัว ก่อนเริ่มต้นคัดเลือกวัตถุดิบทีละชิ้น“อย่างแรก กุ้ง! ต้องกุ้งตัวอวบๆ เด้งๆ ต้มแค่พอสุก หั่นครึ่งตามยาวให้เนื้อโชว์ความขาวนวลแต่ยังมีสีส้มริมเปลือกติดอยู่… มองแล้วเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวแช่ในน้ำค้าง”เสี่ยวหนี่หยิบกุ้งแม่น้ำที่เพิ่งลวกจนเปลือกสุกใส ตัวกุ้งแดงระเรื่อแต่ยังคงความเด้งของเนื้อไว้ครบทุกประการ นางจัดเรียงลงในชามเคลือบลายมังกรด้วยมือเบาๆ ปลายนิ้วแตะเนื้อกุ้งเพื่อเช็กความนุ่ม ก่อนพยักหน้าอย่างพอใจ“ต่อไป หมูบด! ต้องหมูบดแบบมันน้อย เนื้อแน่น ข้าผัดกับน้ำมันงา ใส่ซอสปรุงสูตรลับ แล้วรอจนแห้งกำลังดี…”กลิ่นหอมของน้ำมันงาอุ่นๆ ฟุ้งขึ้นทันทีเมื่อหมูบดถูกเทลงกระทะ เสียงฉ่าดังลั่นครู่หนึ่ง ก่อนเปลี่ยนเป็นเสียงซู่เบาๆ เนื้อหมูค่อยๆ กลายเป็นสีน้ำตาลทอง ผิวนอกแห้ง
“แล้วเจ้าจะทำเมนูอะไรอีก”เสี่ยวหนี่หยุดอยู่ตรงที่ยืน ลูบคาง คิดหนักจนหน้าผากย่นเข้าหากันเป็นคลื่น จมูกเล็กๆ ก็ย่นตามด้วยความเคร่งเครียด นางพึมพำกับตัวเองเบาๆ มือข้างหนึ่งขยุ้มชายเสื้อเหมือนคนถูกไล่ให้ตัดสินใจเรื่องสำคัญระดับชีวิตให้ตายเถอะไอ้คำว่าแน่จริงก็เข้ามานี่ใช้ไม่ได้ล่ะ“ต้องเร็ว ต้องง่าย ของน้อยๆ ไม่กินจริงจัง…และดีต่อสุขภาพ” เสียงพึมพำนั้นดังพอให้จี้เหวินได้ยินและเริ่มขมวดคิ้วใส่อีก สุดท้ายเสี่ยวหนี่ก็เงยหน้าขึ้นดวงตาเป็นประกายทันทีที่คิดออก“ข้าคิดออกแล้ว!” นางชี้นิ้วขึ้นกลางอากาศราวกับค้นพบเคล็ดลับสวรรค์ “เราจะทำ ยำรวมมิตรกับขนมปังหน้าหมู กันเถอะ! ง่ายสุด เร็วสุด แถมยังดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน”จี้เหวินกะพริบตาปริบๆ มองอย่างงงๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยข้อสงสัย“...ยำรวมมิตรคืออะไรนะ แล้วขนมปังอะไรนะ หมูอยู่หน้า หน้าเหมือนหมู”เสี่ยวหนี่ถอนหายใจแรงอย่างระคนสมเพชปนตลก ก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบข้างหูนาง“ขนมปังหน้าหมู แต่ไม่ใช่หมูตัวเป็นๆ นะ” จี้เหวินกลืนน้ำลายลงคอ ยากเย็น“ข้าคิดว่ามันจะได้เรื่องหรือ”“เดี๋ยวเจ้าจะรู้ตอนข้าทำออกมาเสร็จ… รสชาติจะทำให้เจ้าหุ
ห้องครัวเงียบลงทันที แม้แต่เสียงของเสี่ยวหนี่กับเสี่ยวอี้ก็เงียบ“งั้นเดี๋ยวข้าจะเป็นคนยกเครื่องเสวยไปถวายด้วยตัวเองเลยก็ได้” จี้เหวินยังคงพูดต่อด้วยท่าทีมั่นใจเกินตัว “จะได้ช่วยอธิบายสรรพคุณสุดยอดอาหารที่พวกเจ้าตั้งใจทำกันมาด้วย ว่าดีต่อสุขภาพแค่ไหน ช่วยผิวพรรณยังไง กุ้ยเฟยกับเหล่าสนมจะได้ประทับใจ ดีหรือไม่”คราวนี้หลิงเชียวกับเฟิงหรานหันไปมองหน้ากันก่อนจะร้องขึ้นพร้อมกัน“ดีเลย”“ดีมาก แบบนี้ก็แบ่งๆ กันไปคนละเมนู สบายขึ้นเยอะ” หลิงเชียวหัวเราะเสียงใส ขณะที่เฟิงหรานยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ“ใครจะไปห่วงอะไรเล่า ในเมื่อมี น้องสาวของกุ้ยเฟย เป็นตัวแทนอยู่แล้ว”แม้แต่เซี่ยหยาที่ดูเงียบ ยังต้องพยักหน้าตามและเอ่ยเสียงเรียบ“ข้าก็เห็นด้วย ถ้าจะเป็นแบบนั้น” เซี่ยหยาพูดเบาๆหยางชินอวี้เหลือบตามองทุกคน ก่อนจะพยักหน้างึกๆ ด้วยใบหน้าที่คล้ายจะโล่งอก“งั้นดีเลย...อย่าช้าอยู่เลย พวกเรามาเริ่มกันเถอะ”ทุกคนเริ่มขยับตัว บรรยากาศในห้องเปลี่ยนจากตึงเครียดเป็นมีพลังขึ้นมาทันทีแม้คำพูดของจี้เหวินจะออกแนวหยิ่งผยองอยู่บ้าง และท่าทีจะดูเหมือนอยู่เหนือกว่าทุกคน แต่อย่างน้อยการที่นางกล้ารับประกันเอง ก็ทำให้ทุ
เว้นก็แต่จี้เหวิน ที่ยืนนิ่งๆ ไม่พูดไม่จา สีหน้าเรียบเฉยประหนึ่งเรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับชีวิตตน ส่วนเสี่ยวหนี่กับเสี่ยวอี้นั้น…กำลังง่วงอย่างที่สุดเสี่ยวหนี่พึมพำตาปรืออย่างคนไม่ได้นอนเต็มอิ่ม “เมื่อกี้เขาว่าอะไรกันนะเสี่ยวอี้...”เสี่ยวอี้ที่หาวจนตาเยิ้ม ตอบเบาๆ พลางขยี้ตา “ข้าก็ไม่แน่ใจค่ะคุณหนู ข้าได้ยินแค่ กุ้ยเฟยที่กินของดีของสดและของอร่อยที่สุด”“อืม...ข้าว่าเราลงมือกันดีกว่า.แต่ตอนนี้ข้าง่วงจริงๆ”เสี่ยวหนี่ครางเบาๆ ทำท่าจะฟุบโต๊ะ เสี่ยวอี้รีบประคองอย่างห่วงๆ “โธ่คุณหนู...เดี๋ยวอย่าเพิ่งยอมแพ้สิคะ...พักก่อนก็ได้ มานี่ๆ ไปนั่งโต๊ะตรงโน้นเดี๋ยวเสี่ยวอี้หาน้ำให้ดื่ม เอาแบบเย็นๆ เลยไหมเจ้าคะ”“ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ เสี่ยวอี้...เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน แถมต้องมาทำอาหารแบบ กินแล้วสวยด้วยนี่มันยากจริงๆ” เสี่ยวหนี่บ่นอุบ แต่ก็ยอมเดินโซเซไปตามแรงพยุงถึงจะบอกว่าเหนื่อยแต่ก้ต้องทำเหมือนที่เคยทำมาตลอดตอนเป็นแม่ครัวที่ร้านอาหาร“กินแต่งกวาก็ดีเจ้าค่ะจะได้หายง่วง” เสี่ยวอี้หยิบเอาแตงกวามาวางตรงหน้า“ถ้าข้ากินแตงกวาแล้วตื่นมาเป็นกุ้ยเฟยได้ ข้าจะกินทั้งสวนเลย...” เสี่ยวหนี่ว่าเสียงแหบแห้ง เสี่ยว
บัดนี้หลังล้างเครื่องครัวของตนเสร็จ ทั้งคู่ก็หอบถ้วยถั่วต้มใบใหญ่ไปนั่งรวมกลุ่มกันตรงมุมเสาไม้ หวังจะพักปาก พักตา พักใจ พักชีวิตสักหนึ่งช่วงธูปเสี่ยวอี้ยกถั่วขึ้นมากัดเข้าปาก เคี้ยวอย่างเชื่องช้า เสี่ยวหนี่ก็กำลังใช้เล็บแกะถั่วออกจากเปลือกอย่างหมดเรี่ยวแรงขณะที่ทั้งสองคนกำลังง่วง เสียงตบมือ แปะๆ ก็ดังขึ้นเรียกสติให้ตื่น“ทุกคน ฟังทางนี้” เหม่ยซูเดินเข้ามากลางโรงครัวด้วยฝีเท้าที่เงียบอย่างคนกิริยาดี ใบหน้าเรียบเฉยเดาไม่ได้ด้วยซ้ำว่านางมีเรื่องสำคัญหรือว่าแค่เรียกทุกคนมาสั่งงานทั่วไป“กุ้ยเฟยชวีหยาทรงมีคำสั่งมาถึงพวกเจ้า”ทุกคนหยุดมือทันที คนที่กำลังขัดเขียง หยิบเห็ด เก็บมีด ชำเลืองหันมามองกันเป็นตาเดียว“พระนางทรงได้ยินชื่อเสียงของนางในห้องเครื่องฝึกหัดรุ่นนี้ว่าเก่งกล้า เลยอยากลิ้มรสอาหารพวกเจ้าดูสักมื้อ ในมื้อเที่ยงนี้”เสียงถั่วร่วง แปะ! จากมือเสี่ยวหนี่ลงพื้นอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนกระซิบเบาๆ “เมื่อกี้ข้าฝันไปหรือเปล่ามื้อเที่ยงอย่างไรจึงจะทันเวลา”“เจ้าค่ะราวกับฝันร้าย…” เสี่ยวอี้ว่าเสียงแผ่ว ริมฝีปากยังจะกัดถั่วลูกต่อไปเหม่ยซูยังพูดไม่จบ “อาหารมื้อนี้จะถูกจัดขึ้นเป็นการเลี้ยงน้ำช
เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนเพิ่งทอดผ่านม่านผ้ากุหลาบบางเบา ละไล้ลงบนพรมผืนงามในตำหนักพักผ่อนห้องบรรทมของหยางลี่ กลิ่นหอมของไม้หอมและชาดอกไม้ยังอวลจางๆ ในอากาศ แต่เจ้าของห้องยังคงหลับใหลอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ ก่ายหน้าผากเล็กน้อยคล้ายฝันดี...หรืออาจเป็นผลจากสุราหวานเมื่อคืนที่ผ่านมาเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นหน้าประตู ตามด้วยเสียงเปิดบานประตูไม้ช้าๆ“ชินหวังหรอกหรือโปรดอภัยฝ่าบาทยังนอนอยู่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกวงซุนรีบเข้ามาขวางชินหวังอ๋องอวี่หรงแค่เพียงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างใน“อา...”อุทานเบาๆ คล้ายคนเพิ่งพบของน่าสนใจดังลอดออกมาจากปากของอวี่หรงอ๋องที่ชิอบจับผิดและช่างสังเกต เขาก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่เกรงใจใคร หันซ้ายแลขวา สายตากวาดมองทั่วห้องเหมือนกำลังสำรวจสถานที่เกิดเหตุ แล้วจึงยิ้มบางๆหยางลี่ที่ยังหลับอยู่บนแท่นนอน คิ้วกระตุกเล็กน้อยก่อนลืมตาข้างหนึ่งขึ้นช้าๆ เขางัวเงียยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก ถอนหายใจยาวอย่างคนยังไม่อยากลุกจากที่นอน“เฮ้อ...เช้าๆ แบบนี้ ไม่ไปอ่านตำราหรือฝึกเพลงดาบ เจ้ามากวนข้าทำไมกัน อวี่หรง...ไม่มีอะไรทำแล้วหรือ?”อวี่หรงเดินยิ้มเข้ามาใกล้ แล้วโน้มตัวลงเล็กน้อยคล้ายจะกระซิบ
“เดี๋ยวก่อน!” ตงเจี้ยนที่เพิ่งรู้ตัวว่าหยางลี่ควักเงินออกไปเกินความจำเป็น ก็รีบคว้ามือเขาไว้แล้วแย่งเงินมา “พ่อค้าหลี่ผู้มั่งคั่งท่านจะใช้เงินแบบนี้ไม่ได้มันไม่ถูกต้อง และท่านควรจะเข้าใจว่า ต้องประหยัดกว่านี้” ก็เงินตงเจี้ยนนี่นา ตงเจี้ยนส่งเสียงจิจ๊ะนึกโมโหตัวเองที่ไม่ยอมเขียนร่างรายงานของเงินจากกรมส่วนกลางของฮ่องเต้มาใช้ ฝ่าบาทนี่ก็กระไรทำไมไม่ขอจากขันทีกวงซุนมานะว่าแล้วตงเจี้ยนก็หยิบเหรียญเงินออกมาเท่าที่จำเป็น จ่ายให้เสี่ยวเอ้อในราคาที่ต่อรองอย่างคล่องแคล่ว ขณะบ่นพึมพำไปด้วย“ข้าว่าแล้ว...การให้พ่อค้าหลี่ดูแลเงินนี่มันเสียหายกว่าปล่อยให้เสี่ยวหนี่ไปเลือกซื้อวัตถุดิบเองเสียอีก”“หาทำไมลามมาถึงข้าเล่า” เสี่ยวหนี่พึมพำเบาๆหยางลี่กลอกตาแต่ไม่ได้ว่าอะไร ตรงเข้าไปกระซิบข้างหูตงเจี้ยน “เจ้ารีบจ่ายให้เขา แล้วฝากเบี่ยงเบนความสนใจอวี่หรงไว้ให้หน่อย เราจะได้ออกไปจากที่นี่ให้ครบทุกคนโดยไม่ถูกจับได้”ตงเจี้ยนพยักหน้ารับคำทันที สีหน้าเคร่งเครียดแล้วรีบจ่ายเงิน เสี่ยวเอ้อหัวเราะชอบใจพร้อมคว้าเงินไปนับในมือมือ “ขอรับนายท่านข้าน้อยพร้อมเสมอยินดีที่สุด พร้อมที่จะจัดให้สมเกียรติ!”ไม่นานนัก เส
เหล่าสหายทั้งสี่นั่งล้อมโต๊ะ พูดคุยเฮฮาจนเริ่มกินกันช้าลง คำพูดมากกว่าคำเคี้ยว เรื่องเล่ามีไม่จบ ทั้งปัญหาชีวิต ความชอบส่วนตัว เรื่องขบขันที่เคยเจอ ไปจนถึงมุกตลกที่มีแต่สหายสนิทเท่านั้นที่เข้าใจ เสียงหัวเราะคละเคล้ากับเสียงกระทบถ้วยสุราและกลิ่นหอมจากอาหาร ทำให้มุมหนึ่งของโรงเตี๊ยมอบอุ่นเสียยิ่งกว่าเตาไฟเหล้าก็ยังรินเติมกันไม่ขาด ทั้งเรื่องราวตลกจากเมืองหลวง ข่าวคราวของเหล่าแม่ครัวในวัง ไปจนถึงปัญหาเล็กน้อยในชีวิตที่เอามาเล่าขำๆเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครา เมื่อเสี่ยวหนี่พูดจบเรื่องขำของขันทีจอมเผือกจากตำหนักในที่มักจะมาผิดที่แล้วบอกกับเหม่ยซูว่าอยากได้เครื่องเสวยรสดีสำหรับเจ้านาย สเียงหัวเราะครื้นเครงก็ที่นี่คือตำหนักสำหรับฝึกหัดมิใช่ห้องเครื่องเสียหน่อยเสี่ยวหนี่ก็ก้มหน้าจะรินสุราอีกถ้วย ก่อนเงยหน้าขึ้นชะงักนิ่ง ดวงตากลับเหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งจากหน้าต่างริมระเบียง สะดุดเข้ากับเงาร่างคุ้นตาเบื้องล่าง บุรุษหนุ่มผู้มีท่วงท่าสง่างาม กำลังลงจากเกี้ยวและเดินตรงมาทางโรงเตี๊ยมท่วงท่าท่าทางดูคุ้นตาเหลือเกิน พอเขาเดินเข้ามาใกล้แสงไฟหน้าประตูโรงเตี๊ยม ดวงตาของหนี่ฮวาเบิกโต “องค์ชายอวี่หรงงงง
“นั่นมัน...เสี่ยวหนี่ กับเสี่ยวอี้ พวกนางกำลังจะไปไหนกัน”หัวใจของเซี่ยหยาเต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัวพวกนางได้ยินหมดแล้วหรือ จะเอาเรื่องนี้ไปบอกใครไหม ความกังวลผุดขึ้นมาในใจอย่างไม่อาจห้ามแต่เมื่อมองแผ่นหลังของทั้งสองลับหายไป เซี่ยหยาก็ถอนหายใจยาว“เห้อ...พวกนางไม่มีภาระอะไรแบบข้า...คงแค่แอบออกไปเที่ยวเล่นกระมัง” นางพึมพำกับตนเอง ยิ้มบางๆ ที่แฝงความเศร้า ดวงตาเศร้าสร้อยสะท้อนแสงจันทร์ระยิบ “ดีแล้ว...อย่างน้อยพวกนางก็ยังมีอิสระ…”โรงเตี๊ยม "อวี้ฮวาถัง" โรงเตี๊ยมชื่อดังในย่านการค้าเสี่ยวหนี่ยืนมองความหรูหราของอวี้ฮวาถัง เสี่ยวอี้ยืนเก้ๆ กังๆ“แม่นางทั้งสองท่านจองโต๊ะไว้หรือไม่”“อ่อแน่นอน มีคนรอข้าอยู่ก่อนแล้วชื่อพ่อค้าหลี่มีคนชื่อนี้ไหม”เสี่ยวเอ้อทำท่าทีนอบน้อมทั้งที่ก่อนนั้นทำท่าทีราวกับว่าสองคนจะมาขโมยอะไร“เชิญแม่นางทั้งสองที่ชั้นสองเลยขอรับห้องใหญ่สุดวิวสวยที่สุดของอวี้ฮวาถัง” เสี่ยวนี่อ้าปากค้าง ว้าวมากๆ เลย เดินตามเสี่ยวเอ้อขึ้นไปข้างบนภายในห้องรับรองชั้นสองของโรงเตี๊ยมที่ตกแต่งด้วยม่านผ้าไหมบางพลิ้วและโคมแดงแขวนเรียงรายห้องที่ใหญ่ที่สุดดีที่สุด กลิ่นอาหารหอมกรุ่นตลบอบอวลไปทั่