LOGINขณะที่คิดจะเตรียมผละจากไป อวิ๋นซินเยว่ก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดสด ๆ!
อวี้เหยียนเบิกตากว้าง ก่อนจะมองดูใบหน้างามนั้นชัด ๆ อีกครั้ง ครานี้จึงเพิ่งสังเกตว่านางผิดปกติ นี่ไม่ใช่อาการของคนเป็นไข้ หรือนางจะถูกวางยา! “ใครก็ได้ ตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้” พระสุรเสียงดังสนั่นดุจฟ้าผ่า ทำเอาขันทีที่เฝ้าหน้าตำหนักคุนหนิงเร่งรีบไปตามหมอหลวง สองขาพันกันไปหมด เขายังคงนั่งเฝ้านางอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งหมอหลวงเข้ามาตรวจอาการเขาจึงได้ลุกจากเตียงและหลีกทางให้หมอหลวงทำงานได้สะดวก หมอหลวงตรวจชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง สองคิ้วขมวดแน่น “ข้าใคร่ขอถามหน่อย ก่อนหน้านี้ฮองเฮาได้เสวยสิ่งใดหรือไม่?” หมอหลวงผู้นั้นเอ่ยถาม “เรียนท่านหมอ ฮองเฮามิยอมเสวยสิ่งใดบอกเพียงว่าเสวยไม่ลง ครั่นเนื้อครั่นตัว จนข้าพบว่าพระองค์ประชวรด้วยพิษไข้ จึงได้สั่งให้ทางห้องเครื่องจัดเตรียมน้ำซุปร้อน ๆ ขับพิษไข้ให้พระองค์เสวยเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นข้าขอดูหม้อต้มซุปได้หรือไม่” “ได้เจ้าค่ะ” จื่อเยว่รับคำก่อนจะเดินนำไปยังห้องเครื่องประจำตำหนักคุนหนิง เมื่อไปถึงกลับพบว่าหม้อนั้นแตกกระจายไปแล้ว รวมถึงน้ำซุปที่ยังเหลือก็หกกระจายไปทั่วพื้น “นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงทำงานสะเพร่าเช่นนี้” จื่อเยว่ตวาดก้อง เหล่านางกำนัลในห้องเครื่องนั้นต่างก้มหน้า มีเพียงพ่อครัวหลวงที่ก้าวเท้าเข้ามา ก่อนจะอธิบายให้ฟัง “เรื่องนี้ข้าอธิบายได้ เดิมทีพวกเราก็ยืนเฝ้าหม้อต้มซุป ข้าก็คอยสั่งการให้พวกนางคอยเติมฟืนไม่ให้มอดดับ หากฮองเฮามีพระประสงค์จะเสวยอีก จะได้มิต้องรอนาน” “พอ ๆ เข้าเรื่องเถอะ” จื่อเยว่ตัดบท “ขอรับ ๆ ตอนที่พวกเรากำลังทำงานกันอยู่ ก็มีนางกำนัลเซ่อซ่าไม่รู้ที่มา เดินมายกหม้อไป พวกเรากำลังจะทักท้วง นางก็ตกใจจนทำหม้อหล่นแตกกระจายขอรับ” “แล้วนางกำนัลผู้นั้นอยู่ที่ใด” “ข้าก็ไม่ทราบขอรับ” พ่อครัวหลวงหน้าซีดเผือด ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะโกหก แต่ขณะที่จื่อเยว่กำลังคิดว่าจะกลับไปรายงานอย่างไรดี หมอหลวงก็เอ่ยขึ้น “ในน้ำซุปนั้นมีพิษ” จื่อเยว่ตาเบิกกว้าง เมื่อมองไปยังหมอหลวงก็พบว่า เขาหยิบเศษหม้อเคลือบที่ยังมีน้ำซุปน้อยนิดอยู่ ใช้เข็มเงินจุ่มลงไป และปลายเข็มนั้นก็มีสีดำสนิท “โบยพวกมันคนละยี่สิบไม้ แล้วส่งตัวออกนอกวังไป!” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเบื้องหลังจื่อเยว่และหมอหลวง เมื่อพวกเขาหันกลับไปก็เข่าอ่อนทรุดลงคุกเข่าทันที สิ้นเสียงคำสั่งจากนายเหนือหัว เหล่าทหารต่างพากันลากตัวนางกำนัลที่ทำหน้าที่ในห้องเครื่องทั้งหมด รวมถึงพ่อครัวหลวงไปลงทัณฑ์ เสียงร้องไห้ เสียงอ้อนวอนขอชีวิตดังระงม แต่เมื่อหลายชีวิตนั้นสบกับพระเนตรเย็นชา ก็ต่างพากันปิดปากแน่นสนิท แม้แต่เสียงสะอื้นก็หยุดชะงักทันใด อวี้เหยียนเดินนำหมอหลวงกลับเข้าไปยังห้องบรรทมของฮองเฮาอีกครั้งติดตามมาด้วยนางกำนัลคนสนิทอย่างจื่อเยว่ ที่ยังตัวสั่นจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ “พูดมา ฮองเฮาโดนพิษชนิดใด และจะถอนพิษได้อย่างไร” “ทูลฝ่าบาท จากที่กระหม่อมตรวจพระอาการของฮองเฮา ชีพจรสับสน เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก พิษนี้ส่งผลต่อระบบประสาทโดยตรง หากใช้ในปริมาณน้อย ก็มีฤทธิ์เพียงทำให้งุนงง สับสน และหลงลืมง่ายเท่านั้น แต่จากที่กระหม่อมเห็น พระอาการของฮองเฮาเป็นหนักกว่านั้นมากประกอบกับมีไข้ เกรงว่าพระองค์คงได้รับพิษในปริมาณมาก หากไม่สามารถถอนพิษได้ภายในสองชั่วยาม เกรงว่า…” หมอหลวงอึกอักไม่กล้าพูดต่อ แต่เพียงเท่านี้อวี้เหยียนก็เข้าใจทันที เสียงไอต่อด้วยเสียงขลุกขลักในลำคอดังขึ้น อวิ๋นซินเยว่ตัวกระตุกอย่างแรง ก่อนจะอาเจียนออกมาอีกครั้ง ครานี้ลิ่มเลือดเป็นก้อนถูกพ่นออกมาด้วย ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวคลุ้งของเลือด ร่างบางที่ล้มตัวลงไปนอนบนเตียงอีกครั้งนั้นแทบไร้สีเลือด เสียงหายใจของนางก็ดังครืดคราดคล้ายมีสิ่งใดอุดขวางอยู่ อวี้เหยียนตัวชาวาบเมื่อคิดว่าสตรีผู้นี้ที่เขาชิงชังนักกำลังจะตาย! ใช่…ดีแล้ว ที่นางจะตายไปให้พ้น ๆ หน้าเขาเสียที แต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่านางจะเป็นเช่นไร เขาก็ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา เป็นเวลาหลายปีที่เขาต้องอดทนกับสตรีเช่นนางที่ทั้งร้ายกาจ เย่อหยิ่ง เอาแต่ใจอย่างไร้ซึ่งความคิด อิจฉาริษยาและวางแผนใกล้ชิดเขาสารพัด เขาต้องอดทนอดกลั้นเพียงเพราะตระกูลของนางเคยมีบุญคุณช่วยให้เขาได้ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น แต่หลายวันมานี้ ภาพของนางในใจเขาก็เปลี่ยนไป คล้ายว่าไม่ใช่คนเดิม นางสดใส ยิ้มเก่ง และทำดีกับบ่าวไพร่ แม้เขาจะไม่มาหานาง นางก็ไม่โวยวายเหมือนเคย กลับกลายเป็นเขาเสียอีกที่อดไม่ได้อยากมาหานางที่ตำหนักทุกวัน ความรู้สึกนั้นช่างเหมือนกับว่า เขารู้จักและสนิทสนมกับนางในตอนนี้มากกว่า “ไป… กลับไปหาทางปรุงยาถอนพิษมา หากว่าทำไม่สำเร็จ และนางเป็นอะไรไป เจ้าก็เตรียมตัวตามไปรับใช้นางเถอะ” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หมอหลวงรับคำสั่งด้วยเสียงสั่นเครือ เร่งร้อนออกไปไม่กล้าชักช้า อวี้เหยียนหันไปทางนางกำนัลที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำเด็ดขาด “หากหลังจากนี้นางมีอันใดผิดแปลกไปแม้เพียงเล็กน้อย...เจ้าทั้งหมดก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่” นางกำนัลก้มลงกระแทกหน้าผากกับพื้นอย่างสั่นกลัว “เพคะ ฝ่าบาท!” จักรพรรดิอวี้เหยียนก้าวถอยออกจากห้องเงียบ ๆ แต่เสียงหัวใจของเขายังไม่อาจสงบได้ง่ายดาย ราวกับถูกพันธนาการไว้ด้วยเสียงพร่ำเพ้อเมื่อครู่ของนาง …… เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังก้องในท้องพระโรงยามราตรี เมื่อจักรพรรดิอวี้เหยียนก้าวเข้ามานั่งบนบัลลังก์มังกร แสงโคมเพลิงสะท้อนเงาร่างสูงสง่าให้น่าครั่นคร้าม ท้องพระโรงอึดอัดจนแม้แต่ลมหายใจยังดูหนักหน่วง ขันทีเฒ่าประกาศเสียงเรียบ “ฝูซินสาวใช้ของฮองเฮา จงนำตัวนางเข้ามา!” ร่างเล็กของนางสาวใช้ใหม่ถูกทหารควบคุมตัวไว้ ใบหน้าดูซื่อ ๆ ติดตลกเด๋อด๋าตามปกติ แต่สองเท้ากลับสั่นเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญสายตาคมกริบราวดาบขององค์เหนือหัว อวี้เหยียนมิได้เอื้อนเอ่ยทันที เขานั่งพิงบัลลังก์ มองนางนิ่ง ๆ จนบรรยากาศเงียบงันราวกับไร้สิ่งมีชีวิตอยู่ในห้อง เพียงแค่เสียงเคาะเล็บกับพนักบัลลังก์เบา ๆ ก็ทำให้ฝูซินสะดุ้งเฮือก “…” “เจ้าใส่ยาอะไรลงในหม้อต้ม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยชัดทุกพยางค์ ฝูซินรีบคุกเข่าลง เตรียมอ้าปากแก้ตัว “อย่าบอกว่าไม่ทราบ และอย่าได้คิดโป้ปดกับข้า หากเจ้าพูดความจริง ข้าอาจไว้ชีวิตเจ้า” “หม่อมฉัน...หม่อมฉันใส่ยาบำรุงเพคะ! แต่...อาจหยิบผิด...” “ผิด?” มุมปากคมกระตุกขึ้นเพียงเล็กน้อย แววตากลับเย็นชาจัด “หรือเจ้า ‘จงใจ’ เลือกผิด” เหงื่อเย็นผุดเต็มขมับ ฝูซินรีบก้มหน้ากระแทกพื้น “หม่อมฉัน...มิกล้าเพคะ! หากฝ่าบาทไม่เชื่อ โปรดประหารหม่อมฉันก็ได้!” เสียงหัวเราะเบาหวิวรอดจากริมฝีปากจักรพรรดิ คล้ายเหยียดหยันมากกว่ายิ้ม “เจ้ากล้าพูดคำว่า ‘ประหาร’ ออกมาได้ง่ายดายนัก... ราวกับเตรียมใจมาแล้ว” สายตาคมเข้มเพ่งจับทุกกิริยาเล็กน้อย ร่างเล็กตรงหน้ากำลังสั่นเทิ้ม แต่แววตาลอบเหลือบขึ้นมาแวบหนึ่งเต็มไปด้วยแววเกลียดชังอันซ่อนเร้นไม่มิด เพียงเสี้ยวพริบตา อวี้เหยียนก็กระแทกฝ่ามือลงบนที่วางแขนดัง ปัง! เสียงสะท้อนก้องไปทั้งท้องพระโรง “สารภาพมา! เจ้าเป็นคนของใครหรืออยากให้ข้าส่งเจ้าไปเฆี่ยนต่อหน้าตำหนักฮองเฮา” ฝูซินหน้าเสีย ซีดเผือดลงทันใด นางกัดริมฝีปากแน่น เลือดซึมออกมา ขันทีและองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างกดมือกับดาบพร้อมคำสั่ง อวี้เหยียนโน้มกายเล็กน้อย สายตาคมปลาบราวกับเหยี่ยว “หากคำตอบของเจ้า...ทำให้ข้าแม้แต่ สงสัยเล็กน้อยว่าเกี่ยวข้องกับนางชีวิตเจ้าจะไม่พ้นคืนนี้” ฝูซินตัวสั่นเทา เสียงตะกุกตะกักหลุดออกมาในที่สุด “ต่อให้ตาย หม่อมฉันก็ไม่มีทางให้พระองค์สมหวัง!” ท้องพระโรงเงียบงันอีกครั้ง จักรพรรดิอวี้เหยียนเพียงหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนลืมขึ้นมาด้วยประกายแสงอำมหิต “เช่นนั้น...จงสำนึกโทษของเจ้าให้สมกับความโง่งม ที่คิดจะใช้ฮองเฮาเป็นหมากในเกมอันไร้ค่า” คำสารภาพนั้นยังไม่ทันจบประโยคดี เสียงโลหะก็ดังก้องขึ้น ฉึบ! จักรพรรดิอวี้เหยียนที่นั่งนิ่งมาตลอดกลับตวัดพระหัตถ์ฉับไว ดาบเล่มคมวาวที่องครักษ์ถวายให้เมื่อครู่ถูกชักออกอย่างไร้สุ้มเสียง เพียงหนึ่งกระบวนท่าแสงเย็นเฉียบพุ่งวาบ หัวของฝูซินหลุดออกจากลำคอ กลิ้งลงกับพื้นห้องอันเย็นเยียบ เลือดพุ่งเป็นสายแดงฉานสาดกระเซ็นบนผืนพรมงดงาม ทั้งท้องพระโรงเงียบงัน ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีแม้เสียงอ้อนวอน เพราะทุกชีวิตต่างชะงักงันกับความเด็ดขาดของโอรสสวรรค์ ดวงเนตรคมกริบตวัดมองลงไปที่ศพนั้นเพียงชั่วครู่ ก่อนหันสายตาไปยังองครักษ์ที่คุกเข่ารอคำสั่ง “ลากออกไป อย่าให้เศษสกปรกนี้แปดเปื้อนพื้นตำหนักของเรา” เสียงนั้นทุ้มต่ำและเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่แม้ผู้ใกล้ชิดก็พากันขนลุกเกรียว “ฝ่าบาท กระหม่อมสืบทราบมาว่า นางกำนัลผู้นี้เป็นคนของตำหนัก ……. อวิ๋นซินเยว่สะดุ้งตื่นขึ้นมา ขมับทั้งสองข้างปวดหนึบจนยกมือขึ้นกดไว้ ร่างกายหนักอึ้งราวกับถูกพันธนาการด้วยเชือกที่มองไม่เห็น ขยับตัวลำบาก หัวใจยังเต้นสับสนไม่เป็นจังหวะ ม่านแพรบางเบาปลิวไหวไปตามลมอ่อนที่ลอดเข้ามา กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ลอยคลุ้งมาแตะจมูกหรือเป็นเพียงภาพหลอนที่ติดอยู่ในความฝัน? “ฝ่าบาท…” เสียงขาดห้วงนั้นหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ เมื่อหันไปด้านข้าง กลับพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร่างสูงใหญ่ของพระสวามี ไม่มีใครเหลืออยู่ในห้องนอกจากนางกับความปวดร้าวทั่วสรรพางค์กาย เบื้องนอก เสียงนกหากินยามเช้าเริ่มขับขาน แต่หัวใจของอวิ๋นซินเยว่กลับหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม… “ฝูซิน…” นางพึมพำชื่อสาวใช้คนใหม่ออกมา เพราะในความทรงจำลาง ๆ ก่อนที่สติจะดับวูบไป สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือเงาของฝูซินที่อยู่ข้างกาย หญิงสาวยันกายขึ้นนั่งด้วยความยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยถามนางกำนัลคนสนิทที่กำลังเตรียมเครื่องแต่งกาย “เมื่อคืน…ข้าเข้านอนได้อย่างไร? ข้า…จำได้ว่าเห็นฝูซินอยู่ใกล้ ๆ” นางกำนัลเหลือบตาขึ้นมา พลางตอบเสียงเบา “ทูลฮองเฮา…เมื่อคืนฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ พระองค์ทรงอุ้มท่านขึ้นเตียงด้วยพระหัตถ์เอง ยังตรัสกำชับให้พวกหม่อมฉันเฝ้าดูแลท่านให้ดี” ประโยคนั้นทำเอาหัวใจอวิ๋นซินเยว่สะท้านวาบ แก้มใสร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ ฝ่าบาท…อุ้มข้าขึ้นเตียง? ภาพที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดฝันกลับทำให้ลมหายใจของนางสับสน ปลายนิ้วที่กำผ้าห่มแน่นสั่นเล็กน้อยด้วยความเขินอาย “แล้ว…ฝูซินล่ะ” นางเอ่ยถามอีกครั้ง น้ำเสียงแผ่วลงราวไม่อยากให้ใครจับสังเกตความวุ่นวายในใจ นางกำนัลต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนหนึ่งในนั้นตอบอย่างลังเล “ฝูซิน…พวกหม่อมฉันไม่เห็นนางอีกเลยเพคะ ตั้งแต่ฝ่าบาทเสด็จออกไปแล้ว” อวิ๋นซินเยว่ชะงัก ดวงตาพร่างพราวเมื่อครู่กลับมืดมนลงเล็กน้อย “ไม่เห็นอีกเลย…หมายความว่าอย่างไร? ไม่มีใครรู้เลยหรือว่านางอยู่ที่ใด” ความเงียบงันปกคลุมบรรยากาศ นางกำนัลต่างก้มหน้าหลบสายตา ไม่มีผู้ใดกล้าตอบตรง ๆ ความอึดอัดบีบรัดจนหัวใจของฮองเฮาเริ่มเย็นชา ความรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังถูกปิดบัง… ริมฝีปากบางเม้มแน่น ก่อนที่ความคิดหนึ่งจะแล่นเข้ามาในใจ ฝูซิน…หายไปได้อย่างไร หรือว่า… ทันใดนั้น แสงวูบหนึ่งฉายซ้อนขึ้นตรงหน้า คล้ายม่านโปร่งใสที่มีเพียงนางเห็น “เสี่ยวหลิง” ปรากฏขึ้น น้ำเสียงของมันสั่นพร่า คล้ายทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัว [หม่าม๊า…อย่าตามหานางอีกเลย ฝูซิน…ไม่มีอีกแล้ว] ก่อนที่นางจะได้ซักถามต่อ ภาพพร่าเลือนก็ฉายซ้อนขึ้นในม่านแสง คล้ายจอโปรเจกเตอร์ เงาร่างสูงในชุดมังกรทองยืนกลางความมืด เสียงดาบวูบหนึ่งตวัดผ่าน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ภาพศีรษะของสาวใช้กระเด็นตกพื้นเพียงชั่วพริบตา แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไปทันที เสี่ยวหลิงยังเอ่ยด้วยเสียงสั่น [นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน…แต่รายละเอียด ข้าไม่อาจเปิดเผยได้] ดวงตาของอวิ๋นซินเยว่เบิกกว้าง หัวใจเต้นรัว ความอับอายจากความทรงจำเมื่อคืนที่ถูกฝ่าบาทอุ้มขึ้นเตียงยังไม่ทันหาย คราวนี้กลับถูกความเย็นวาบกลืนกินเข้ามาแทนที่ นางไม่รู้เลยว่าตนเองเผลอพูดสิ่งใดออกไป และไม่รู้ว่าจักรพรรดิได้ยินทั้งหมดหรือไม่ เหล่านางกำนัลต่างมองหน้ากันไปมา โดยเฉพาะจื่อเยว่ที่คันปากอยากบอกเล่าให้ฮองเฮาได้รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่ไหนเลยจะกล้า หลังจากที่ได้ยาถอนพิษจากหมอหลวงแล้ว ฝ่าบาทเสด็จมาอีกครั้งพร้อมป้อนยาถอนพิษให้ฮองเฮาด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังคอยเฝ้าอยู่ข้างกายพระนางตลอดทั้งคืน เพิ่งจะกลับไปตอนรุ่งสาง มิวายยังหันมากำชับห้ามผู้ใดเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฮองเฮาฟังเป็นอันขาด เห็นได้ชัดว่าพระองค์ห่วงใยและปกป้องความรู้สึกของฮองเฮามากเพียงใดค่ำคืนนั้นวังทั้งวังเหมือนกลายเป็นทะเลสาบแข็ง ไม่มีลม ไม่มีเสียงก้าวเท้าเพียงเสียงพู่กันของเธอที่ลากผ่านแผ่นผ้าไหมทีละเส้นอวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ในห้องหนังสือส่วนตัว เปลวเทียนส่องแสงอุ่นที่ปลายโต๊ะ กลีบเหมยขาวหล่นหนึ่งกลีบ วางอยู่ข้างถ้วยชาเย็นชืด[บันทึกภารกิจ: ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเป้าหมาย “จักรพรรดิอวี้เหยียน”][อัตราความสับสนทางอารมณ์: 47%][สถานะ: ไม่คงที่]เสียงเสี่ยวหลิงดังขึ้นเหมือนเคย แต่ในความปกตินั้น มีบางอย่างแปลกไป...เล็กน้อยเกินจะบอกได้“เสี่ยวหลิง” ซินเยว่วางพู่กันลง “เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเลขนี้ถูกต้อง?”[ข้อมูลจากระบบวัดโดยตรง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสงสัยความแม่นยำ]น้ำเสียงมันเหมือนเดิมแต่มี โทนสูงขึ้นครึ่งจังหวะ ตอนพูดคำว่า “สงสัย” เธอขมวดคิ้วบาง ๆ“แต่ก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าระดับของเขาไม่เกินสามสิบห้า”[ฐานข้อมูลอัปเดตอัตโนมัติ...ตามพฤติกรรมล่าสุดของเป้าหมาย]“ล่าสุด?” เธอพึมพำ “หมายถึง...วันนี้?”[ยามเที่ยง วันนี้...ฝ่าบาททอดพระเนตรภาพเหมยขาวในแจกันระดับอารมณ์แปรปรวนขึ้นสิบสองเปอร์เซ็นต์]"ภาพเหมยขาว?” เธอก้มมองแจกันตรงหน้า กลีบดอกที่ร่วงจากกิ่งนั้นมีอยู่แค่หนึ่งกลีบ[ระ
ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ
สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง
เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.
อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม
ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ







