LOGINบ่ายคล้อย ลมหนาวพัดอวลเข้ามาในตำหนักคุนหนิงพร้อมเงาร่างเล็กที่ก้าวเข้ามาพร้อมขันทีประจำตำหนัก
“ถวายพระพรเพคะ ฮองเฮา...หม่อมฉันชื่อฝูซิน เพิ่งถูกส่งมาเพื่อปรนนิบัติพระองค์เพคะ” เสียงสาวใช้ใหม่แหลมเล็ก ดวงตากลมใสระยิบระยับ ดูไร้พิษภัยติดจะทึ่ม ๆ เสียด้วยซ้ำ อวิ๋นซินเยว่มองอย่างสงสัย “ทำไมถึงส่งคนใหม่มาอีก...?” ขันทีโค้งตัว “เป็นคำสั่งฝ่ายในบอกว่าเพื่อแบ่งเบาภาระฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับเบา ๆ ในใจกลับไม่วางใจนัก แต่สายตาใสซื่อของฝูซินกลับทำให้ยากจะจับผิดได้ ‘ช่างเถอะ เราคงคิดมากไปเอง หากมีอะไรจริง ๆ เสี่ยวหลิงคงเตือนเราแล้วล่ะ’ อวิ๋นซินเยว่คิดในใจ ………. ยามค่ำวันนั้น อวิ๋นซินเยว่ตัวสั่นเทา แม้นางกำนัลคนสนิทอย่างจื่อเยว่จะนำเสื้อคลุมขนมิ้งค์สวมทับ และนำผ้านวมเนื้อหนามาคลุมทับให้เจ้านายอีกชั้น แต่ฮองเฮาก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น “ฮองเฮาเพคะ ให้หม่อมฉันไปตามหมอหลวงดีไหมเพคะ” จื่อเยว่เอ่ยด้วยเสียงเจือสะอื้น “ไม่เอา ข้าไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ กินอะไรร้อน ๆ ห่มผ้าหนา ๆ แล้วนอนสักตื่นก็หายแล้ว” แม้จะพูดแบบนั้นแต่ร่างบางภายใต้ผ้านวมหนาก็สั่นเทาจนเสียงที่ออกมาจากลำคอสั่นไปด้วย “แต่ว่า…” จื่อเยว่ยังไม่ละความพยายาม “นี่เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ตกลงใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าวกันแน่” อวิ๋นซินเยว่อยากนอนพักสงบ ๆ จึงแกล้งเลียนแบบฮองเฮาในซีรี่ย์ที่เธอชอบดู น้ำเสียงของเธอที่เปล่งออกมา แม้จะสั่นเทาแต่ก็แฝงด้วยอำนาจ และแววตาที่มองไปยังนางกำนัลนั้นยังคมดุอีกด้วย “ออกไป!” จื่อเยว่เห็นเช่นนั้นมีหรือจะกล้าเอ่ยปากอันใดอีก นางทำได้เพียงลุกขึ้นยืนก่อนจะย่อตัวทำความเคารพผู้เป็นนาย และเดินออกไปเฝ้าหน้าประตูกับนางกำนัลคนอื่น ๆ และขันทีที่ยืนเฝ้าหน้าตำหนักคุนหนิง ขณะที่ห้องเครื่องประจำตำหนักกำลังเคี่ยวซุปร้อน ๆ ให้เจ้านายอยู่นั้น ก็ปรากฏร่างนางกำนัลคนหนึ่งเข้ามาภายในห้องเครื่อง นางเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่ามีเพียงนางกำนัลตัวเล็กท่าทางขี้กลัวยืนเฝ้าหม้อต้มซุปอยู่ นางก็เดินอาด ๆ เข้าไปทันที “นี่! เจ้าน่ะ พ่อครัวหลวงเรียกเจ้าไปหา” ฝูซินเอ่ยเสียงเข้ม “เอ่อ…แต่ว่า ข้าได้รับคำสั่งให้คอยเฝ้าอยู่ที่นี่ ถ้าหากข้าไปแล้วใครจะเฝ้าตรงนี้ล่ะเจ้าคะ?” เสียงเล็ก ๆ แผ่วเบาเอ่ยตอบโต้กลับไป “เจ้าก็รีบไปรีบกลับสิ หากปล่อยให้พ่อครัวหลวงขุ่นเคือง ต่อไปชีวิตของเจ้าที่อยู่ในห้องเครื่องก็ลำบากแล้วล่ะ เจ้าก็คิดเอาละกัน ข้าไปล่ะ” ฝูซินว่าก่อนจะแกล้งเดินออกไป แต่แท้จริงแล้วกลับแอบซุ่มมองอยู่ไกล ๆ ในพุ่มไม้ที่มองเห็นทางเข้าออกของห้องเครื่องได้อย่างสะดวกดาย และเป็นดังคาด นางกำนัลคนนั้นรีบร้อนเดินออกไปทันที เท่ากับว่าภายในห้องเครื่องยามนี้ปลอดคนแล้ว หลังจากหันมองไปรอบ ๆ ไม่พบใคร นางก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเร่งเดินเข้าไปยังหม้อต้มซุปทันที เมื่อไปถึง นางก็ควักขวดยาขนาดเล็กออกมาพลางพึมพำ “เอ...กุ้ยเฟยบอกว่าต้องใส่ปริมาณเท่าไหร่นะ ช่างเถอะ ใส่เยอะยิ่งเห็นผลไว ไม่แน่ว่าครั้งหน้าข้าจะยังมีโอกาสเช่นนี้อีก” มือเล็กสั่นไหว หยิบผิดขวดโดยไม่ทันสังเกต แทนที่จะเป็นยาพิษ แท้จริงแล้วเป็น ยากระตุ้นจิตประสาท แต่ด้วยความขี้ลืมของฝูซิน นางกลับกะปริมาณผิดมหันต์! ………. “ฮองเฮาเพคะ ซุปร้อน ๆ มาแล้วเพคะ” จื่อเยว่เอ่ยรายงาน ขณะที่นางกำนัลในห้องเครื่องยกถาดอาหารเข้ามา ก่อนที่นางกำนัลผู้นั้นจะยกถ้วยซุปวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะยอบกายและถอยออกไป จื่อเยว่รับหน้าที่ต่อทันที “ฮองเฮาเพคะ รีบเสวยตอนยังร้อน ๆ เถิดเพคะ” นางกำนัลคนสนิทยกชามซุปส่งให้เจ้านาย อวิ๋นซินเยว่ยื่นมือออกไปรับชามด้วยสองมือสั่นระริก หญิงสาวดื่มน้ำซุปนั้นโดยไม่เอะใจ แม้จะมีรสขมซ่านติดปลายลิ้น แต่กลับทำให้ร่างกายเริ่มอุ่นวาบ เมื่อจื่อเยว่เห็นเจ้านายยอมกินซุปอย่างว่าง่าย นางก็ถอยออกไป ให้ฮองเฮาได้พักผ่อนเพียงลำพัง แต่เพียงไม่นาน อวิ๋นซินเยว่ก็สลัดผ้านวมที่ห่มกายออกรวมถึงเสื้อคลุมตัวหนาด้วย เหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มใบหน้า และแผ่นหลัง เธอรู้สึกได้เลยว่าหัวใจเต้นแรงผิดปกติ สติที่มีก็เริ่มพร่าเลือน “นี่...ทำไมร้อนแบบนี้...” ดวงเนตรหงส์สั่นไหว ริมฝีปากเผยอออกโดยไม่รู้ตัว คำพูดที่ไม่เคยกล้าเอ่ยถูกหลุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ “ข้า...ทำไมข้ายังต้องอยู่ที่นี่ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่เลย...แต่ทุกครั้งที่มองเขา... ข้ากลับ...” แก้มของเธอร้อนผ่าวแดงระเรื่อ เสียงสั่นพร่า “กลับเจ็บ...และหวั่นไหว... ฝ่าบาท ทำไมท่านต้องเย็นชาเช่นนี้ด้วย ท่านทำให้ทุกอย่างมันยากไปหมด...แต่ถึงอย่างนั้น...ข้าก็ยัง” เสียงเธอขาดหาย แต่ความนัยชัดเจนจนทำให้ฝูซินที่แอบอยู่ด้านหลังหน้าซีดเผือด เพราะในเงามืดของบานประตู จักรพรรดิอวี้เหยียนยืนอยู่เงียบ ๆ สายตาคมเข้มใต้แสงตะเกียงสะท้อนอารมณ์ที่แม้แต่ใครก็ยากจะอ่านออก เขาได้ยินทุกถ้อยคำที่นางเพิ่งเผลอสารภาพ... บรรยากาศตึงเครียดราวกับเวลาหยุดเดิน ฝูซินมือไม้สั่นไม่รู้ว่าความผิดครั้งนี้จะทำให้เธอถูกจับได้หรือไม่ แต่สิ่งที่อันตรายกว่ายาพิษใด ๆ คือ... ความลับในใจของฮองเฮา ที่จักรพรรดิได้รับรู้แล้ว (มุมมองจักรพรรดิอวี้เหยียน) เสียงของนาง... คำพูดพร่ำเพ้อในห้วงสติพร่าเลือนนั้น ดังก้องอยู่ในโสตประสาทของเขาราวกับระฆังทองที่สั่นสะท้อนลงกลางอก “ฝ่าบาท...ทำไมท่านต้องเย็นชาเช่นนี้...แต่ถึงอย่างนั้น...ข้าก็ยัง” เพียงประโยคที่ไม่ทันจบ กลับรุนแรงพอที่จะทำให้ปลายนิ้วที่เขากำแก้วชาหนักแน่นจนแทบแตกสั่นสะท้าน ข้า…จักรพรรดิอวี้เหยียน ผู้ไม่เคยยอมให้สิ่งใดแตะต้องหัวใจแข็งกระด้างของตัวเอง กลับรู้สึกเหมือนกำแพงที่สร้างไว้อย่างสูงใหญ่พังทลายลงไปเพียงชั่วอึดใจ ข้าจ้องร่างบางที่นั่งซบพนักเก้าอี้ แก้มแดงจัด ริมฝีปากสั่นระริก เผยความอ่อนแอออกมาโดยไร้เกราะกำบัง ราวกับเด็กน้อยในความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทอดทิ้งให้อยู่ท่ามกลางสายฝนเพียงลำพัง ในอก...อุ่นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่แววตาดำสนิทที่ทอดมองไปยังร่างบางยังคงนิ่งสงบ เย็นยะเยือกดุจหยกน้ำแข็งพันปี “นาง...กล้าเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้กับข้า...หรือเป็นเพียงพิษไข้ที่ทำให้นางเพ้อเช่นนี้?” เขาเอ่ยถามตัวเองในใจ แต่หัวใจกลับไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่เขาได้ยินนั้น จริงเกินกว่าจะเป็นเพียงภาพลวงตา กว่าจะรู้ตัว สองขาของข้าก็ก้าวเข้าไปใกล้ เสียงรองเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบา นางกำนัลที่หลบอยู่มุมห้องรีบคุกเข่าก้มหน้า ตัวสั่นราวกับลูกนกในกำมือพญาเหยี่ยว ดวงเนตรคมดุจคมมีดกวาดมองเพียงครั้งเดียวก็ทำให้สาวใช้ใหม่แทบขาดใจ แต่ข้าก็ไม่ได้เอ่ยตำหนิ ไม่ได้เปิดโปง เพียงปรายตาผ่านไป เหมือนรับรู้ทุกสิ่ง...แต่เลือกจะยังไม่ลงโทษ แต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอจะทำให้นางกำนัลเล็ก ๆ รีบเร่งออกไปทันที ในห้องนี้จึงเหลือเพียงตัวข้าและนางเท่านั้น ข้าหยุดยืนตรงหน้าฮองเฮาผู้กำลังเบลอเพราะพิษไข้ พระหัตถ์เรียวเอื้อมออกไป...แต่กลับหยุดค้างกลางอากาศ ข้าอยากสัมผัสแก้มนุ่มนั้น อยากเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากให้นาง แต่ในวินาทีเดียวกัน ก็หวาดกลัวสิ่งที่อาจเกิดขึ้น หวาดกลัวว่าการยอมให้นางเข้ามาใกล้ชิด อาจทำลายเกราะที่ข้าใช้ปกป้องหัวใจมาตลอด ริมฝีปากหนาเม้มแน่น สุดท้ายเอ่ยเพียงเสียงทุ้มต่ำ “...น่าขันยิ่งนัก” (จบมุมมองจักรพรรดิอวี้เหยียน) เขาเบือนพระพักตร์เล็กน้อย ราวกับปิดบังความสั่นไหวที่ไม่เคยมีผู้ใดทำได้มาก่อน ก่อนจะก้าวถอยออกไปช้า ๆ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นบุหงาอ่อน ๆ และบรรยากาศกดดันที่ยากจะอธิบาย แต่ในอกลึก ๆ หัวใจที่เคยเงียบงันมานานกลับเต้นแรงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน... จังหวะการก้าวเดินของจักรพรรดิอวี้เหยียนชะงักไปเมื่อเกือบพ้นธรณีประตู สายลมยามค่ำพัดวูบเข้ามา กลิ่นบุหงาจากร่างบางยังตามหลอนอยู่ในโสตสัมผัส ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ...ไม่เข้าใจตนเองเลยสักนิดว่าทำไมจึงไม่อาจก้าวออกไปได้ เสียงครางแผ่วของสตรีที่นั่งพิงเก้าอี้ดังขึ้นอีกครั้ง ริมฝีปากนางยังขยับ พึมพำเอ่ยชื่อเขาแผ่วเบา แต่เขากลับได้ยินอย่างชัดเจน หัวใจที่แข็งกร้าวดั่งศิลาเหมือนถูกใครหยดไฟลงไปจนมันลุกวาบขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ เพียงชั่วอึดใจ ร่างสูงก็หันหลังกลับ ก้าวยาว ๆ ตรงไปยังร่างบางในชุดผ้าแพรบางสีอ่อนที่กำลังซวนเซอยู่กับพนักพิง “...เฮอะ สตรีโง่เง่า” เสียงทุ้มต่ำคล้ายตำหนิ หากแต่แววตากลับอ่อนแสงลง ไม่แข็งกร้าวดังเช่นก่อนหน้า อวี้เหยียนก้มตัวลง สอดแขนแข็งแรงอุ้มร่างบางขึ้นแนบอกอย่างทะนุถนอม นางตัวเบาเหมือนกลีบบัวในยามเช้า ใบหน้าซบลงบนอกเขาโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจอุ่น ๆ กระทบผิวผ่านชุดมังกรทอง “อืมม” เสียงหวานครางแผ่ว คล้ายว่าจะพูดอะไร เขาจึงเอียงหน้าเข้าไปใกล้ กลับถูกริมฝีปากร้อน ๆ ของนางจูบเบา ๆ เข้าที่แก้ม อีกทั้งยังสอดแขนโอบรั้งรอบคอของเขาอีกด้วย กล้ามเนื้อบนใบหน้าชายหนุ่มกระตุก สันกรามขบแน่น ความร้อนแผ่วเบาที่แทรกซึมจากนางทำให้เกราะน้ำแข็งที่ห่อหุ้มใจเริ่มร้าว ลมหายใจคล้ายว่าจะติดขัดขึ้นมาทันที ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ แม้ว่าที่ผ่านมาจะเห็นมารยาและเล่ห์กลของสตรีในวังหลังมามากมาย แต่ก็มิมีสตรีนางใดจะทำให้เขาหวั่นไหว และก้าวข้ามกำแพงของเขามาได้แม้แต่คนเดียว แต่เหตุใดนางถึงทำให้เขารู้สึกสั่นไหวในอกเช่นนี้ “ฮองเฮา นี่เจ้าเล่นอะไรอยู่!?” เขาจ้องเขม็งไปยังใบหน้านั้น แต่อวิ๋นซินเยว่ก็ยังหลับตาพริ้มไม่ได้สติเช่นเดิม “…” เขาไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดอีก ก้าวย่างมั่นคงพาร่างบางไปวางลงบนเตียงลายเมฆ ห่มผ้าแพรให้แน่นหนา ความระมัดระวังในท่าทางช่างไม่เหมือนชายผู้เคยเอ่ยปากว่า ‘ไม่เชื่อในรัก’ เลยแม้แต่น้อย นิ้วเรียวยาวเผลอไล้เส้นผมที่หล่นบนแก้มออกเบา ๆ ชั่วขณะนั้น แววตาคมเข้มอ่อนลงราวกับกำลังจ้องสิ่งที่ไม่กล้าครอบครอง ขณะที่คิดจะเตรียมผละจากไป อวิ๋นซินเยว่ก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดสด ๆ!ค่ำคืนนั้นวังทั้งวังเหมือนกลายเป็นทะเลสาบแข็ง ไม่มีลม ไม่มีเสียงก้าวเท้าเพียงเสียงพู่กันของเธอที่ลากผ่านแผ่นผ้าไหมทีละเส้นอวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ในห้องหนังสือส่วนตัว เปลวเทียนส่องแสงอุ่นที่ปลายโต๊ะ กลีบเหมยขาวหล่นหนึ่งกลีบ วางอยู่ข้างถ้วยชาเย็นชืด[บันทึกภารกิจ: ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเป้าหมาย “จักรพรรดิอวี้เหยียน”][อัตราความสับสนทางอารมณ์: 47%][สถานะ: ไม่คงที่]เสียงเสี่ยวหลิงดังขึ้นเหมือนเคย แต่ในความปกตินั้น มีบางอย่างแปลกไป...เล็กน้อยเกินจะบอกได้“เสี่ยวหลิง” ซินเยว่วางพู่กันลง “เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเลขนี้ถูกต้อง?”[ข้อมูลจากระบบวัดโดยตรง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสงสัยความแม่นยำ]น้ำเสียงมันเหมือนเดิมแต่มี โทนสูงขึ้นครึ่งจังหวะ ตอนพูดคำว่า “สงสัย” เธอขมวดคิ้วบาง ๆ“แต่ก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าระดับของเขาไม่เกินสามสิบห้า”[ฐานข้อมูลอัปเดตอัตโนมัติ...ตามพฤติกรรมล่าสุดของเป้าหมาย]“ล่าสุด?” เธอพึมพำ “หมายถึง...วันนี้?”[ยามเที่ยง วันนี้...ฝ่าบาททอดพระเนตรภาพเหมยขาวในแจกันระดับอารมณ์แปรปรวนขึ้นสิบสองเปอร์เซ็นต์]"ภาพเหมยขาว?” เธอก้มมองแจกันตรงหน้า กลีบดอกที่ร่วงจากกิ่งนั้นมีอยู่แค่หนึ่งกลีบ[ระ
ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ
สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง
เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.
อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม
ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ







