LOGINวินาทีที่อวิ๋นซินเยว่เอ่ยพระนามอวี้เหยียนออกมานั้น แรงบดขยี้ที่บ่าของนางนั้นแข็งกร้าวราวกับคีมเหล็ก แต่แรงสั่นเทาที่ปลายนิ้วของเขา รุนแรงยิ่งกว่าอาการประชวรใด ๆ ดวงเนตรคมกริบของจักรพรรดิอวี้เหยียนเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงจนสุดขีด ภาพในอดีตฉายวาบเข้ามาในห้วงความคิด มีเพียงสตรีผู้เดียวในชีวิตที่เคยกล้าเรียกชื่อเขาตรง ๆ เช่นนี้…และสตรีผู้นั้นก็เคยนำหายนะมาสู่ชีวิตเขา
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เขาตะคอกใส่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่แฝงไว้ด้วยความสับสนอย่างรุนแรง อวิ๋นซินเยว่ไม่ถอยหนี เธอสบตาเขาอย่างแน่วแน่ ไม่ใช่ด้วยความรักแบบชู้สาว…แต่ด้วยความสงสารและความเข้าใจอย่างบริสุทธิ์ใจ เธอไม่ได้กลัวความโกรธของเขา…แต่กลัวการที่เขาจะปิดกั้นตัวเองอีกครั้ง “หม่อมฉัน…หม่อมฉันเพียงแค่” เธอพยายามเอ่ยต่อ “พอแล้ว!” อวี้เหยียนปล่อยมือจากบ่าของเธออย่างกะทันหัน แรงผลักนั้นทำให้ร่างบางซวนเซไปเล็กน้อยเขาหันหลังให้เธออย่างรวดเร็ว มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเอ็นปูดโปน แผ่นหลังกว้างในชุดมังกรทองดูแข็งกระด้างและโดดเดี่ยวอีกครั้ง กำแพงน้ำแข็งที่เพิ่งจะปริร้าว…ถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งด่วนที่สุดเพื่อปกป้องความอ่อนแอที่เพิ่งถูกเปิดเผย “ออกไปจากที่นี่ซะ!” พระสุรเสียงทุ้มต่ำนั้นเย็นชาดุจน้ำแข็งจากหุบเขาลึก “อย่าได้นำสิ่งใด...ที่ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าเข้ามาในตำหนักนี้อีก!” อวิ๋นซินเยว่ค้อมกายคารวะแผ่นหลังนั้นอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเดินออกจากตำหนักเฉียนชิงไป โดยไม่หันกลับมามองอีกแม้แต่ครั้งเดียว เธอปล่อยให้ชัยชนะครั้งนี้เป็นความเงียบงัน...ที่เต็มไปด้วยความหวัง [ติ๊ง! อัปเดตคลื่นหัวใจฝ่าบาท: ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว -10 องศา!สถานะ: พยายามสร้างกำแพงป้องกันตนเองซ้ำ (Self-Defense Protocol) แต่อัตราการเต้นของหัวใจยังสูงกว่าปกติ 20%!] อวิ๋นซินเยว่กลับมายังตำหนักคุนหนิงด้วยความเหนื่อยล้าทางจิตใจ เธอตัดสินใจเด็ดขาด หากความรักคือความอ่อนแอที่เขากลัว…เธอก็จะมอบความอ่อนโยนที่สม่ำเสมอให้เขาอย่างไม่คาดหวังสิ่งใด ตลอดสัปดาห์ต่อมา หลินซินเยว่เริ่มต้นกลยุทธ์ใหม่ เธอใช้สกิล ‘ข้าวกล่องฮองเฮา’ ทำอาหารง่าย ๆ และบำรุงกำลัง (เช่น ซุปไก่ตุ๋นโสม ไก่ทอดกรอบสูตรวังหลวง หรือ หมั่นโถวน้ำผึ้ง) และส่งไปให้จักรพรรดิที่ตำหนักเฉียนชิงอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีการแนบสาส์น หรือคำพูดใด ๆ! นี่คือการให้โดยที่ไม่เรียกร้องความสนใจ เป็นการยื่นความอบอุ่นให้เขาโดยไม่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องตอบแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่อวี้เหยียนไม่เคยได้รับจากใครเลย [ผลลัพธ์จากระบบ]:สถานะ: อาหารถูกฝ่าบาทเสวยจนหมดเกลี้ยง7วันติดต่อกัน! ความก้าวหน้า: อุณหภูมิหัวใจเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.5 องศาต่อวัน(สถิติสูงสุด!) ข้อสังเกต: ฝ่าบาททรงมีท่าทีหงุดหงิดทุกครั้งที่กล่องอาหารว่างเปล่า! ดูเหมือนว่าทรงกำลังติดรสชาติอาหารที่หม่าม๊ามอบให้แล้วนะคร้าบ!] "จริงเหรอ อย่างน้อยฉันก็ทำให้เขายิ้มได้บ้างล่ะนะ" เธอพึมพำกับตัวเองก่อนจะยิ้มกว้างอย่างพอใจ ....... ในขณะที่ความสัมพันธ์กำลังคืบหน้าอย่างช้า ๆ... หลินซินเยว่ได้รับคำสั่งเรียกเข้าเฝ้าไทเฮาฉงฮวาที่ตำหนักฉือหนิง ตำหนักฉือหนิงปกคลุมไปด้วยความเคร่งขรึมและกลิ่นหอมของกำยาน ไทเฮานั่งสง่างามอยู่บนเก้าอี้หยก ดวงตาของนางเฉียบคมและเต็มไปด้วยความรู้ทันโลก “ฮองเฮา…ช่วงนี้เจ้าดูผอมลงไปมาก” ไทเฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจที่ยากจะปฏิเสธ “ข้าทราบเรื่องความวุ่นวายที่ตำหนักคุนหนิง และเรื่องที่เจ้าลงมือทำอาหารให้ฝ่าบาทเสวยเอง มันเป็นความตั้งใจที่ดี แต่ข้าไม่อยากให้เจ้ากังวลใจ ความสงบสุขของวังหลัง...คือความสงบสุขของแคว้นอวี้” “หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ” “ดี…หน้าที่ของเจ้ามิใช่การเป็นแม่ครัวหลวง” ไทเฮาตรัสต่อ รอยยิ้มของนางดูเมตตา แต่ดวงตาของนางกลับไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย “หน้าที่ของเจ้าคือการรักษาเกียรติยศของตระกูลอวิ๋นและรักษาหน้าราชวงศ์ และที่สำคัญที่สุด…คือการประสูติองค์รัชทายาท อวี้เหยียนเป็นบุตรบุญธรรมที่ข้ารักและฟูมฟักยิ่งกว่าชีวิต ข้ารับเขามาเลี้ยงดูหลังจาก…มารดาแท้ ๆ ของเขาจากไปด้วยอาการป่วยที่น่าเวทนา”คำพูดนั้นทำให้ซินซินสะท้านวาบเธอรู้ว่าไทเฮาโกหกจากการที่เสี่ยวหลิงบอกเธอด้วยตัวอักษรเรืองแสงที่ปรากฎตรงหน้า “ข้าเลี้ยงดูเขาอย่างดีมาตลอด เขาต้องก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดิ และข้าก็ช่วยให้เขาได้ครองบัลลังก์อย่างราบรื่น แต่ความมั่นคงของบัลลังก์...จะพังทลายลง หากไม่มีทายาทสายตรง การกระทำที่ผิดแปลกไปของเจ้าในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงตลกต่อหน้าฝ่าบาท หรือการเสี่ยงชีวิตทำอาหาร ล้วนเป็นการกระทำที่ ‘ไม่เหมาะสม’ กับตำแหน่งฮองเฮา จงจำไว้...ตำแหน่งของเจ้ามั่นคงเพราะตระกูลของเจ้า มิใช่เพราะ...ความหลงใหลชั่วครู่ของบุรุษเพศ!” ไทเฮาตรัสด้วยรอยยิ้ม แต่เธอกลับรู้สึกขนลุก “ฮองเฮา…จงดูแลตัวเองให้ดี จงทำหน้าที่ของเจ้าให้สมบูรณ์ อย่าให้ความพยายามของข้าและอวี้เหยียนต้องสูญเปล่าเพราะเรื่องไร้สาระ!” คำพูดของไทเฮาเป็นเหมือนการตบหน้าเธอเบา ๆ เป็นการตอกย้ำว่าในวังหลวงแห่งนี้ ทุกการกระทำล้วนมีผลทางการเมือง และความรักแบบโรแมนติกเป็นสิ่งไร้ค่า และยิ่งไปกว่านั้น…ไทเฮากำลังส่งสัญญาณว่า ‘ข้ารู้ทุกอย่างที่เจ้าทำ!’ ....... เมื่อหลินซินเยว่กลับมาถึงตำหนักคุนหนิงด้วยความรู้สึกหดหู่ ก็พบว่าที่ลานหินอ่อนมี ซูกุ้ยเฟย นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ความงามของนางโดดเด่น แต่สายตาของนางเต็มไปด้วยความชิงชังที่ถูกกดไว้ “ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” ซูกุ้ยเฟยคารวะอย่างงดงาม “หม่อมฉันมาเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจเพคะ หวังว่าเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่ตำหนักของท่านจะผ่านพ้นไปได้โดยเร็ว เพราะหากเกิดเรื่องน่าอับอายเช่นนั้นอีก…วังหลวงคงรับไม่ไหวเพคะ” คำว่า ‘เหตุการณ์ร้าย ๆ’ ของนาง…คือการพยายามลอบสังหารฮองเฮาโดยฝูซินที่นางส่งมานั่นเอง! “ขอบใจกุ้ยเฟยที่อุตส่าห์เป็นห่วง” หลินซินเยว่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุด แต่แฝงไว้ด้วยความเหี้ยมหาญ “ข้าสบายดีแล้วเพคะ และหลังจากนี้…ความปลอดภัยของตำหนักคุนหนิงก็แข็งแกร่งกว่ากำแพงเหล็กเสียอีก เพราะมีฝ่าบาททรงดูแลด้วยพระองค์เอง” ซูกุ้ยเฟยชะงักไปเล็กน้อย แววตาของนางสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด คำพูดนั้นเป็นการตอกย้ำถึงความพ่ายแพ้ของแผนการลอบสังหาร “แน่นอนเพคะ…ฝ่าบาทย่อมเป็นห่วงฮองเฮาเสมอ” นางตอบด้วยรอยยิ้มที่ฝืนทน “แต่ฮองเฮาเพคะ…หม่อมฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้ฝ่าบาททรงโปรดปรานอาหารจากตำหนักของท่านมาก หม่อมฉันจึงอยากขอให้ท่าน… มอบความโปรดปรานนี้แก่ตำหนักของหม่อมฉันบ้างเพคะ เพื่อที่ฝ่าบาทจะได้ไม่ทรงลำเอียงนัก” นี่คือการท้าทายอย่างโจ่งแจ้ง เป็นการเรียกร้องให้หลินซินเยว่แบ่งปันความสนใจของจักรพรรดิ “กุ้ยเฟย…” หลินซินเยว่ก้าวเข้าหานางช้า ๆ ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความเชื่อมั่นที่กุ้ยเฟยไม่เคยเห็นในตัวฮองเฮาคนเก่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว สิ่งที่ข้าถวายไป…มิใช่ความโปรดปราน แต่มันคือ หน้าที่ของภรรยาที่ดี และหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของข้า…คือการดูแลพระวรกายของฝ่าบาทเพียงผู้เดียว” “ท่านพูดเช่นนี้…หมายความว่าท่านต้องการที่จะ ‘ครอบครอง’ องค์จักรพรรดิเพียงผู้เดียวอย่างนั้นหรือเพคะ!?” กุ้ยเฟยเอ่ยเสียงดัง รอยยิ้มหวานหายไปแล้ว เผยให้เห็นความไม่พอใจที่แท้จริง การกระทำของฮองเฮานี้กำลังทำลายอำนาจคานที่นางสร้างมาให้ทำลายฮองเฮา! แต่ทำไมครั้งนี้จึงไม่ได้ผล! หลินซินเยว่ยังคงยิ้ม รอยยิ้มของเธอบริสุทธิ์…แต่คมกริบกว่าดาบใด ๆ เธอใช้คำจากโลกปัจจุบันที่แสนอันตรายในวังหลังแห่งนี้“ครอบครอง…อาจไม่ใช่คำที่ถูกต้องนัก” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่ทุกพยางค์ล้วนเด็ดขาด “ฝ่าบาทเพิ่งมีพระราชโองการลับ ให้ข้า...เป็นผู้ดูแลพระวรกายและอาหารทุกมื้อเป็นการพิเศษ ดังนั้น...นับจากนี้ไป...เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการแบ่งปันความโปรดปรานอีกแล้ว” “เพราะสำหรับฝ่าบาทแล้ว…ตอนนี้มีแต่เพียงฮองเฮาเช่นข้าเท่านั้นที่สำคัญที่สุด! อำนาจคานใด ๆ…ได้ถูกทำลายลงไปแล้ว” กุ้ยเฟยยืนแข็งทื่อ ใบหน้าของนางซีดเผือดลงทันตาเห็น พระราชโองการลับ? การดูแลพิเศษ? การทำลายอำนาจที่ตระกูลของนางคาดหวัง? ทุกอย่างที่นางได้ยินในวันนี้ เป็นการประกาศสงครามอย่างโจ่งแจ้ง…และเป็นชัยชนะที่นางไม่อาจยอมรับได้! นางกำมือแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือ ความริษยาเปลี่ยนเป็นความแค้นอย่างรุนแรง [ติ๊ง! มิชชันใหม่เปิดใช้งาน: เปิดโปงความจริงเบื้องหลัง (Expose the Truth) รายละเอียด: สืบหาความจริงเบื้องหลังการสิ้นชีวิตของพระมารดาแท้ของฝ่าบาทและเปิดโปงแผนการของไทเฮาฉงฮวา! รางวัล: ปลดล็อกฉากลับลำดับที่ 2 (ความจริงแห่งการทรยศ) +100คะแนนความอบอุ่น! ความเสี่ยง: ระดับสูงสุด! การกระทำผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่‘ความตาย’หรือ‘โทษทัณฑ์ถึงตระกูล’ คำเตือน: ไทเฮาฉงฮวาเป็นภัยคุกคามสูงสุดต่อภารกิจกู้โลก! หลินซินเยว่เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เธอเพิ่งจะเอาชนะศึกเล็ก ๆ กับซูกุ้ยเฟยมาได้ แต่ตอนนี้ ‘เสี่ยวหลิง’ กลับพาเธอเข้าสู่สนามรบแห่งความตายกับ ‘บอสลับ’ ที่อันตรายที่สุดในวังหลวงแห่งนี้!ค่ำคืนนั้นวังทั้งวังเหมือนกลายเป็นทะเลสาบแข็ง ไม่มีลม ไม่มีเสียงก้าวเท้าเพียงเสียงพู่กันของเธอที่ลากผ่านแผ่นผ้าไหมทีละเส้นอวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ในห้องหนังสือส่วนตัว เปลวเทียนส่องแสงอุ่นที่ปลายโต๊ะ กลีบเหมยขาวหล่นหนึ่งกลีบ วางอยู่ข้างถ้วยชาเย็นชืด[บันทึกภารกิจ: ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเป้าหมาย “จักรพรรดิอวี้เหยียน”][อัตราความสับสนทางอารมณ์: 47%][สถานะ: ไม่คงที่]เสียงเสี่ยวหลิงดังขึ้นเหมือนเคย แต่ในความปกตินั้น มีบางอย่างแปลกไป...เล็กน้อยเกินจะบอกได้“เสี่ยวหลิง” ซินเยว่วางพู่กันลง “เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเลขนี้ถูกต้อง?”[ข้อมูลจากระบบวัดโดยตรง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสงสัยความแม่นยำ]น้ำเสียงมันเหมือนเดิมแต่มี โทนสูงขึ้นครึ่งจังหวะ ตอนพูดคำว่า “สงสัย” เธอขมวดคิ้วบาง ๆ“แต่ก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าระดับของเขาไม่เกินสามสิบห้า”[ฐานข้อมูลอัปเดตอัตโนมัติ...ตามพฤติกรรมล่าสุดของเป้าหมาย]“ล่าสุด?” เธอพึมพำ “หมายถึง...วันนี้?”[ยามเที่ยง วันนี้...ฝ่าบาททอดพระเนตรภาพเหมยขาวในแจกันระดับอารมณ์แปรปรวนขึ้นสิบสองเปอร์เซ็นต์]"ภาพเหมยขาว?” เธอก้มมองแจกันตรงหน้า กลีบดอกที่ร่วงจากกิ่งนั้นมีอยู่แค่หนึ่งกลีบ[ระ
ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ
สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง
เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.
อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม
ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ







