ฉู่จวินสิงพาเจี่ยนอันอันมาถึงตำหนักที่เขาเคยอยู่เจี่ยนอันอันไม่เข้าใจเลย ฉู่จวินสิงพานางมาที่นี่ทำไม?ที่นี่ว่างเปล่าโหวงเหวง อย่าว่าแต่โต๊ะเก้าอี้ แม้แต่เตียงนอนก็ยังถูกทหารที่มาริบทรัพย์ขนไปหมดแล้วฉู่จวินสิงคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อหวนรำลึกถึงสิ่งที่เขาเคยมีหรอกนะขณะที่เจี่ยนอันอันลอบครุ่นคิดก็เห็นว่าฉู่จวินสิงไปหยุดยืนอยู่หน้าผนังด้านหนึ่งเขาออกแรงกดลงบนมุมหนึ่งของผนัง ผนังด้านนั้นไม่มีร่องใดอยู่เลยแม้แต่น้อยแต่กลับมีเสียง ‘ครืด’ ดังขึ้น ต่อจากนั้นผนังก็เริ่มขยับอุโมงค์ลับที่มืดสนิทปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคนทั้งสองในที่สุดเจี่ยนอันอันก็เข้าใจแล้ว คิดไม่ถึงว่าในจวนเยียนอ๋องจะซุกซ่อนสถานที่ลึกลับเช่นนี้เอาไว้ฉู่จวินสิงจูงมือเจี่ยนอันอันเดินเข้าไปในอุโมงค์ลับแห่งนั้นผนังด้านหลังปิดลงเสียงดัง ‘ครืด’ อย่างรวดเร็วเจี่ยนอันอันหยิบตะบันไฟออกมาจุด มองดูเปลวไฟที่ถูกลมจุดขึ้นบนตะบันไฟ นางก็รู้ว่าที่นี่จะต้องมีทางลับอื่นๆ อยู่ด้วยแน่นอนคนทั้งสองเดินลงบันได มาได้ไกลพอสมควรก็ถูกผนังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลขวางทางไปเอาไว้ฉู่จวินสิงใช้ตะบันไฟส่องไปที่ผนังด้านนั้นแล้วหาปุ่มกดเจอได้ในทั
ภายในห้องรกไปหมด กระทั่งพื้นที่จะวางเท้าสักที่ก็ยังไม่มีภาชนะแก้ววางอยู่บนโต๊ะ ในนั้นบรรจุของเหลวสีเขียวและสีม่วงเอาไว้ของเหลวนั้นพ่นควันปุดๆ ควันขาวลอยฉุยออกมาจากภาชนะซางหมิงเห็นว่าคนทั้งสองยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เขาจึงคว่ำปากเอ็ดว่า “ตรงนั้นก็นั่งได้ไม่ใช่เรอะ ยังไม่รีบนั่งลงอีก”ฉู่จวินสิงไม่ได้โกรธเคืองเพราะความเฉยชาของอีกฝ่ายแม้แต่น้อยเขาจูงมือเจี่ยนอันอันก้าวข้ามกระดาษที่กระจายอยู่บนพื้นไปถึงบริเวณที่ซางหมิงพูดถึงแล้วจึงเห็นเบาะนั่งสองเบาะใต้กองกระดาษถ้าไม่ได้รับการชี้แนะจากซางหมิง พวกเขาก็คงดูไม่ออกจริงๆ ว่าตรงนี้มีบริเวณที่สามารถนั่งได้อยู่หลังจากทั้งสองคนนั่งลงแล้วก็ไม่มีใครส่งเสียง รอให้ซางหมิงจัดการงานในมือเสร็จค่อยบอกกล่าวจุดประสงค์การมา“เรื่องของเจ้าข้ารู้แล้ว เจ้ากลับมาคราวนี้คิดจะโค่นราชสำนักของฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ?”ซางหมิงกล่าวโดยไม่ได้เงยหน้า มือยังคงทำหน้ากากต่อไปฉู่จวินสิงก็ไม่คิดจะปิดบัง บอกเล่าแผนการที่กลับมาคราวนี้ออกมารอบหนึ่งซางหมิงแช่หน้ากากที่บางเบาดุจปีกจักจั่นในน้ำยาแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสอง“ท่านนี้คือผู้ใต้บังคับบัญชาที่เจ้าพามาด้ว
ซางหมิงโบกมือไปมา “เจ้ากับข้าเคยเป็นศิษย์อาจารย์กันมาก่อน ไม่จำเป็นต้องมากพิธีเช่นนี้”“แต่ข้าเห็นว่าหน้ากากที่แม่นางผู้นี้สวมอยู่ประณีตมากทีเดียว สามารถถอดลงมาให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”ซางหมิงดูออกแต่แรกแล้วว่าหน้ากากที่คนทั้งสองสวมอยู่ทำมาจากหนังมนุษย์แต่ไม่รู้ว่าหน้ากากหนังมนุษย์นั้นใช้น้ำยาอะไรแช่จึงดูเกลี้ยงเกลาอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นนั้นเจี่ยนอันอันคิดในใจว่าในเมื่อนางกับฉู่จวินสิงมีเรื่องมาขอร้องผู้วิเศษซาง นางจึงตอบรับคำขอของฝ่ายตรงข้ามเจี่ยนอันอันถอดหน้ากากหนังมนุษย์ลงมา เผยให้เห็นโฉมหน้าดั้งเดิมของนางเมื่อซางหมิงเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของเจี่ยนอันอันแล้วก็พลันประทับใจในความงามของนางฉู่จวินสิงไม่ได้แต่งแม่หนูผู้นี้เสียเปล่าจริงๆ นางไม่เพียงขวัญกล้าเกินคน แต่ยังมีรูปโฉมงดงามปานนี้เหมาะสมกับฉู่จวินสิงมากทีเดียวเมื่อซางหมิงรับหน้ากากหนังมนุษย์ไปก็อดถามไม่ได้ว่า “แม่หนู เจ้าชื่อว่าอะไรรึ ยินดีเรียนรู้วิชาแปลงโฉมกับข้าหรือไม่?”เจี่ยนอันอันคิดไม่ถึงว่าผู้วิเศษซางผู้นี้ยังคิดจะสอนวิชาแปลงโฉมให้นางอีกด้วยนางย่อมยินดีอยู่แล้ว“ศิษย์เจี่ยนอันอันคารวะอาจารย์เจ้าค่ะ”
ผังมั่วยิ้มกล่าวว่า “พี่อิ่น ข้าเอาสุราอาหารมาด้วย วันนี้พวกเราต้องกินดื่มกันให้หนำใจเลยนะ”ฉู่จวินสิงเปลี่ยนจากท่าทีเย็นชาในคราวก่อนมาเป็นท่าทีอบอุ่นกว่าเดิม“รีบเข้ามาสิ ข้ากำลังจะไปหาเจ้าอยู่พอดี”ผังมั่วได้ยินอย่างนั้นก็ตอบรับอย่างดีใจ ก้าวยาวๆ เข้ามาข้างในผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นประสานมือคารวะฉู่จวินสิงแล้วก็ตามเข้ามาในเรือนเช่นกันคราวก่อนตอนผังมั่วมาหา ‘อิ่นเจียง’ แล้วถูกปฏิเสธไม่ให้เข้ามาเขาคิดว่าจะต้องเป็นเพราะ ‘อิ่นเจียง’ เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางจึงเย็นชาใส่เขาแบบนั้นเป็นแน่จากมิตรภาพระหว่างพวกเขาสองคนในหลายปีที่ผ่านมา เป็นไปไม่ได้ที่อิ่นเจียงจะเย็นชาใส่เขาเช่นนั้นตอนนี้ดูแล้วคงจะเป็นแบบที่เขาคิดไว้จริงๆฉู่จวินสิงจงใจแสดงความสนิทสนมกับผังมั่วเป็นพิเศษเพื่อทำลายความระแวงของผังมั่วมีแต่ต้องทำเช่นนี้ เขาจึงจะสามารถดำเนินแผนการขั้นต่อไปได้อย่างราบรื่นคนทั้งสามมาถึงหน้าโต๊ะ ผังมั่วจัดเรียงสุราอาหารลงบนโต๊ะหลังเขาเปิดห่อกระดาษน้ำมันออกมาก็เผยให้เห็นเนื้อตุ๋นกับถั่วลิสงนี่เป็นอาหารที่อิ่นเจียงชอบกินแกล้มสุรามาตลอด หลายปีมานี้ผังมั่วรู้ดีกว่าใครวันนี้เขาตั้งใจ
พอเห็นเช่นนั้น ผังมั่วก็ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง!พี่อิ่นมาตายอยู่ข้างๆ เขาได้อย่างไร?ถึงตอนนี้ผังมั่วค่อยสังเกตว่าในมือตัวเองมีมีดสั้นเปื้อนเลือดเล่มหนึ่งมีดเล่มนี้เป็นมีดของผู้ใต้บังคับบัญชาเขา เหตุใดจึงมาอยู่ในมือเขาได้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาพามาด้วยเล่า หนีไปที่ใดเสียแล้ว?ผังมั่วตกใจจนสร่างเมาเสียสนิท เขาโยนมีดสั้นทิ้งไปอย่างร้อนรน“พี่อิ่น ท่านอย่าหลอกข้านะ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านรีบฟื้นขึ้นมาสิ!”แต่ไม่ว่าผังมั่วจะร้องเรียกอย่างไร ‘อิ่นเจียง’ ที่ฟุบจมกองเลือดอยู่ล้วนไม่ขยับเขยื้อนผังมั่วยื่นมือสั่นสะท้านไปอังตรงปลายจมูกของ ‘อิ่นเจียง’เมื่อพบว่า ‘อิ่นเจียง’ หมดลมหายใจไปแล้ว เขาก็ยิ่งตกใจจนหนังหัวชาวาบ ผุดลุกขึ้นยืนทันทีเขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ยังไม่เห็นเงาร่างผู้ใต้บังคับบัญชาในที่สุดผังมั่วก็เข้าใจแล้ว เรื่องนี้จะต้องเป็นฝีมือผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาผู้นั้นเป็นแน่ตอนนี้เขาเสียใจยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ไม่น่าพาผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นมาด้วยเลยตอนนี้มีคนตายแบบนี้ เขาจะไปอธิบายต่อฮ่องเต้อย่างไรเล่าผังมั่วหรี่ตาอย่างโกรธแค้น เขารู้สึกมาตลอดว่าผู้ใต้บังคับ
เมื่อซางหมิงได้ยินฮวาหลานเอ๋อร์ร้องว่าหิวข้าว จึงรีบทิ้งงานในมือลง รีบไปทำอาหารอย่างมีความสุขสีหน้ายินดีปรีดาของเขาเช่นนี้ ดูไม่ต่างกับทำอาหารให้ลูกตัวเองได้กินโดยแท้เมื่อเจี่ยนอันอันเห็นซางหมิงเดินออกไป จึงรีบติดตามไปด้วยเมื่อทั้งคู่มาถึงหน้าห้องครัว พลันเห็นด้านในมีควันโขมงลอยขึ้นซางหมิงร้องอุทานเสียงหลง พลางรีบวิ่งเข้าไปดูผ่านไปเนิ่นนาน ควันในห้องจึงค่อยจางหายไปหมดรอจนซางหมิงเดินออกมา ใบหน้ากลับเลอะไปด้วยเขม่าดำเสียสิ้นหลังจากออกมาในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ซางหมิงจ้องมองฮวาหลานเอ๋อร์ ทำเอาอีกฝ่ายหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก“อาจารย์ เมื่อครู่เพราะข้ามิได้คุมไฟให้ดี ขอท่านโปรดลงโทษด้วย”ฮวาหลานเอ๋อร์กล่าวพลางก้มหน้าลง แสดงท่าทีพร้อมยอมรับโทษซางหมิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอาเถิด เจ้าไปรอกินข้าวที่ห้องก่อน”ฮวาหลานเอ๋อร์เห็นซางหมิงไม่คิดตำหนินาง จึงรีบเงยหน้าขึ้น พร้อมฉีกยิ้มหน้าบาน“ขอบคุณอาจารย์ที่ไม่ตำหนิ ข้าจะไปจัดสำรับเดี๋ยวนี้”ฮวาหลานเอ๋อร์พูดพลาง มองดูเจี่ยนอันอันเล็กน้อย“เหตุใดจึงยังไม่ไปอีก?”ฮวาหลานเอ๋อร์รู้สึกแปลกใจยิ่ง ปกติคนที่มาพบอาจารย์ของนาง เพียงไม่นานมักจะถ
ซางหมิงกำลังผลิตหน้ากากอีกอันอยู่ เมื่อได้ยินว่าอาหารทำเสร็จแล้ว จึงรีบทิ้งหน้ากากแล้วเดินออกจากห้องมาพร้อมแผดเสียงดังลั่น “หลานเอ๋อร์ ไปยกอาหารมาเร็ว”เพียงไม่นาน ฮวาหลานเอ๋อร์จึงรีบวิ่งไปห้องครัว ยกอาหารไปห้องกินข้าวซางหมิงหาสนใจเจี่ยนอันอันไม่ มีแต่รีบก้าวเท้าไปทางห้องกินข้าวเจี่ยนอันอันรีบตามไปเช่นกัน เมื่อทั้งคู่มาถึงห้องกินข้าว จึงเห็นฮวาหลานเอ๋อร์ได้จัดวางอาหารบนโต๊ะแล้วนางยังถือตะเกียบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งส่งเข้าปากเรียบร้อย“อาจารย์ อาหารเหล่านี้ท่านเป็นคนทำหรือ? เหตุใดจึงต่างจากของจืดชืดที่ข้าเคยกินมาตลอด?”ซางหมิงแอบเคาะกะโหลกฮวาหลานเอ๋อร์เบาๆ ไปหนึ่งที“เหอะ นังเด็กจอมแสบ เจ้ากินอาหารที่ข้าทำมาปีกว่า ไม่เคยได้ยินว่าเจ้าจะติเช่นนี้”“วันนี้พอข้าไม่ได้แสดงฝีมือเอง เจ้ากลับมาติโน่นตินี่กระนั้นรึ?”ฮวาหลานเอ๋อร์เอามือลูบศีรษะ พลางเบ้ปากทำเสียงฮึดฮัด “อาจารย์ มือท่านหนักมากเลย”“เกิดทุบตีข้าจนปัญญาอ่อนแล้วจะทำอย่างไร ต่อไปใครจะเรียกท่านว่าอาจารย์อีก”ซางหมิงนั่งข้างฮวาหลานเอ๋อร์ พลางกล่าวยิ้มๆ “อาจารย์นวดให้เจ้าจะได้หายเจ็บนะ”ซางหมิงกล่าวพลาง ยื่นมือจะไปนวดศีรษะให้
เจี่ยนอันอันจึงเพิ่งเข้าใจ มิน่าฮวาหลานเอ๋อร์ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ ซางหมิงก็หาได้โกรธเคืองสักนิดไม่ที่แท้ก็เพราะเป็นบุตรของสหายรักนี่เองทั้งคู่หลังจากกินข้าวเสร็จ ฮวาหลานเอ๋อร์จึงนำจานชามและตะเกียบไปล้างในห้องครัวแม้ปกตินางจะชอบตีฝีปากกับซางหมิง แต่เวลาทำงานกลับไม่เคยเกียจคร้านแม้แต่น้อยวันนี้หากไม่เพราะนางไปห้องปลดทุกข์กะทันหัน ก็คงไม่ทำให้ห้องครัวเกิดไฟลุกรุนแรงเช่นนั้นสองวันนี้เจี่ยนอันอันพักอยู่บ้านซางหมิง กลางวันนางอยู่กับเขาคอยเรียนรู้วิธีทำหน้ากากและวิชาการแปลงโฉมส่วนกลางคืนถูกจัดให้พักผ่อนอยู่ในห้องเดี่ยวห้องหนึ่งอาหารวันละสามมื้อ นางเป็นคนรับผิดชอบทั้งสิ้นฮวาหลานเอ๋อร์รู้ว่าเจี่ยนอันอันเป็นสตรี จึงเรียกนางว่าพี่สาวนางมักชมเชยเจี่ยนอันอันว่าทำอาหารได้รสชาติดี ผลงานที่ออกมาอร่อยกว่าอาจารย์อุปโลกน์ของนางมากนักเพียงไม่นานเจี่ยนอันอันก็พอเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน แต่นางรู้สึกว่าความรู้นางยังตื้นเขินนักเพื่อให้รู้ถึงแก่นแท้ของวิชาแปลงโฉมโดยเร็ว นางจึงไม่รีบร้อนไปตามหาฉู่จวินสิงและจากการอยู่ร่วมมาหลายวัน ทำให้เจี่ยนอันอันจับสังเกตได้ว่า ซางหมิงก็น่าจะผ่านการแปลง
“ข้าเชื่อใจพี่สาวเจ้าเหมือง ท่านบอกว่ามันจะตาย ก็ต้องตายแน่”หลี่หวายชิงกล่าวพลาง ซับน้ำตาที่คลอเบ้าอีกคำรบหนึ่งขณะที่เขายกมือขึ้นนั้น ได้เผยให้เห็นปานเล็กๆ ที่ข้อมือจุดหนึ่งก่อนหน้านี้เพราะมีแขนเสื้อปกปิดไว้ ฉู่จวินสิงจึงไม่ทันสังเกตเห็นปานในจุดนี้เขารีบคว้าข้อมือหลี่หวายชิงเข้าให้ เปิดแขนเสื้อแล้วจ้องมองปานนั้นอย่างเพ่งพินิจ“พี่ชายเจ้าเหมือง ท่านทำอะไรกัน?”หลี่หวายชิงมองหน้าฉู่จวินสิงด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะพลิกดูข้อมือเขาเพื่อหวังสิ่งใด ฉู่จวินสิงวางมือของหลี่หวายชิงลง พลางถามเสียงเบา “ข้าขอถามเจ้า รอยแดงที่ข้อมือนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”หลี่หวายชิงมองดูข้อมือของตน “มันเป็นปานมาแต่กำเนิด ข้ากับน้องชายต่างมีทั้งคู่ เพียงแต่ของข้าอยู่ที่ข้อมือซ้าย เขาอยู่ข้อมือขวา”ฉู่จวินสิงได้ยินดังนี้ พลางมองหน้าหลี่หวายชิงด้วยความเคร่งขรึมเจี่ยนอันอันมองหน้าทั้งคู่ด้วยความแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉู่จวินสิงจึงมีพฤติกรรมเช่นนี้“ทำไมหรือ มีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?” เจี่ยนอันอันถามด้วยความข้องใจฉู่จวินสิงซักถามหลี่หวายชิงต่ออีก “พ่อเจ้าชื่อหลี่จื่อสือ เคยเป็นแม่ทัพชายแด
นางพยักหน้า “ข้ามีวิธีถอนพิษแล้วจริงๆ พวกเจ้าพักผ่อนอยู่นี่ก่อน ข้าจะไปปรุงยาถอนพิษให้”เจี่ยนอันอันกล่าวจบ จึงเดินออกจากเพิงคนงานเหล่าคนงานต่างรออยู่ในเพิงอย่างว่านอนสอนง่าย พวกเขายืนที่หน้าประตู มองตามแผ่นหลังเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงไปหลี่หวายชิงซาบซึ้งในบุญคุณช่วยชีวิตของเจี่ยนอันอัน จึงกล่าวต่อหลี่หวายหมิง “เจ้ารออยู่นี่ก่อน ข้าจะไปช่วยพวกเขา”“ข้าขอไปด้วย” หลี่หวายหมิงก็อยากไปช่วยเหลือเช่นกัน แต่ถูกหลี่หวายชิงห้ามไว้“ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว เจ้ากับพี่ซ่งรออยู่นี่ อย่าได้ไปไหน”หลี่หวายชิงกล่าวจบ จึงเดินออกจากเพิงไปฉู่จวินสิงได้ยินเสียงฝีเท้า หันหลังไปจึงเห็นหลี่หวายชิงเดินตามพวกเขาออกมา“หลี่หวายชิงที่เจ้าได้ช่วยไว้ ตามเรามาด้วย”ฉู่จวินสิงเอ่ยปากเตือน เจี่ยนอันอันหันไปมองแวบหนึ่ง ส่วนมือยังคงสาละวนอยู่กับการทำงานหลี่หวายชิงมาได้จังหวะเหมาะ ในเมื่อเขาไม่ได้สูญเสียความทรงจำเพราะถูกพิษดังเช่นคนงานอื่น เจี่ยนอันอันจึงอยากถามเขาว่า เหตุใดเขากับหลี่หวายหมิงจึงไม่ถูกยาพิษทั้งคู่เจี่ยนอันอันนำหม้อต้มยาและสมุนไพรเพื่อการถอนพิษออกมา พร้อมนำกิ่งไม้ที่เมื่อครู่เก็บมา ก่อเป็น
และไม่นานเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ร่างกายเริ่มมีอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว กระดูกและข้อต่อค่อยทวีความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นเสียงร้องของเขาดังยิ่งกว่าเมื่อครู่หลายเท่าตัว แต่หัวหน้าผู้คุมและลูกน้องต่างไม่เห็นยาพิษที่เจี่ยนอันอันโยนออกไป จึงเห็นการกู่ร้องของเฝิงซานกวงเป็นเพียงการขัดขืนครั้งสุดท้ายเท่านั้นแม้พวกเราจะรู้ดีว่า เฝิงซานกวงเป็นญาติกับเจ้าเมืองตานแต่เมื่อท่านเจ้าเมืองออกคำสั่งมาแล้ว พวกเขาก็ย่อมต้องปฏิบัติตามพวกเขาคุมตัวเฝิงซานกวงไปยังห้องลงทัณฑ์ พร้อมจับมัดไว้กับม้านั่งตัวหนึ่งผู้คุมสองคนยกไม้พลองขึ้น พร้อมฟาดลงที่สะโพกเฝิงซานกวงอย่างแรง“อ๊าก โอ๊ย โอ๊ย!”เดิมทีร่างกายก็เจ็บปวดอยู่แล้ว ยังมาถูกโบยซ้ำอีกเฝิงซานกวงเจ็บเสียจนเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูโดนเชือดไม่นานก็โบยครบยี่สิบไม้ พร้อมกับสะโพกเฝินซานกวงซึ่งยับเยินไม่เป็นชิ้นดีเลือดไหลซึมออกมาจนเปื้อนเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นเจี่ยนอันอันตามมายังห้องลงทัณฑ์ มองลอดหน้าต่างเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาและบัดนี้เฝิงซานกวงได้หมดสติไปแล้ว เสื้อผ้ายังเปื้อนด้วยเหงื่อเย็นที่โซมกายนางพอใจเป็นอย่างมากที่ผลออกมาเช่นนี้ จึงได้กล่าวต่อเจ้
เฝิงซานกวงถลึงตาใส่เจี่ยนอันอัน พลางกล่าวแก้ตัว “ท่านอารอง ข้าไม่เห็นว่าแร่หินจะมีปัญหาอันใด”“หากแร่เหล่านี้มีพิษจริง แล้วข้าจะอยู่รอดปลอดภัยมาได้อย่างไร?”คำกล่าวนี้ย่อมทำให้เจ้าเมืองตานเกิดความกังขาเช่นกัน จึงมองไปยังฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอัน รู้สึกว่าคำพูดของสองคนนี้ ดูจะไม่ชอบมาพากลนักเจี่ยนอันอันยิ้มหยันพลางกล่าว “ท่านย่อมจะปลอดภัยแน่นอน เพราะรู้แต่แรกแล้วว่าแร่หินมีพิษ จึงกินยาป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้า”เฝินซานกวงแอบสะดุ้งในใจ แต่ยังไม่คิดยอมรับว่าแร่หินมีพิษจริงจึงได้กล่าวแก้ตัวอีกครั้ง “เจ้าอย่าได้กล่าวเหลวไหล ข้าเคยกินยาถอนพิษเมื่อไหร่กัน”นี่ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าคิดเองเออเองทั้งเพ หวังนำมาซ้ำเติมให้ข้ามีโทษหนักมากขึ้น”เจี่ยนอันอันพอดูออกว่า เจ้าเมืองตานเริ่มคล้อยตามคำพูดเฝิงซานกวงบ้างแล้วนางจึงกล่าวต่อเจ้าเมืองตานว่า “หากท่านเจ้าเมืองไม่เชื่อคำพูดของข้า ก็ให้ส่งคนไปตรวจสอบที่เหมืองแร่ได้ เพื่อดูว่าข้าพูดถูก หรือเฝิงซานกวงพูดถูกกันแน่”เจ้าเมืองตานจึงรีบเรียกทหารในจวนมา พร้อมสั่งให้ไปตรวจสอบที่เหมืองแร่ไม่นานทหารผู้นั้นก็ได้กลับมา พร้อมรายงานว่าคนงานที่อยู่ในเหมือง ล
ครั้นเจ้าเมืองตานได้ยินว่าฉู่จวินสิงมา หัวใจก็พลันหนักอึ้งเขาสาวเท้าออกไปจากคุกในทันที “รีบเชิญพวกเขาเข้ามา”องครักษ์ได้ยินเจ้าเมืองตานใช้คำว่าเชิญ ในใจก็คิดว่าฉู่จวินสิงจะต้องเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งเป็นแน่เขาไม่กล้าชักช้าจึงย้อนกลับไปโดยพลันเขากล่าวกับฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าของข้าเชิญพวกท่านเข้าไปข้างใน”ฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันสาวเท้าเข้าไปในจวน โดยมีองครักษ์นำทางไปยังโถงใหญ่คนทั้งสองมาถึงบริเวณนอกโถงใหญ่ก็เห็นว่าเจ้าเมืองตานรออยู่ข้างในแล้วเจ้าเมืองตานรีบออกมาต้อนรับ เขาประสานมือกล่าว “ทั้งสองท่านมาที่จวนข้าได้อย่างไร เหมืองนั่นเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีกอย่างนั้นรึ?”“เจ้าเมืองตานกล่าวไม่ผิด เหมืองนั่นเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้สองมือของเจ้าเมืองตานกำแน่นเขานึกแล้วเชียวว่าจะต้องเป็นเรื่องดีๆ ที่เฝิงซานกวงทำอีกแล้วเป็นแน่เจี่ยนอันอันบอกเรื่องที่แร่ในเหมืองมีพิษออกมาเจ้าเมืองตานได้ยินแล้วก็ยิ่งโมโหอย่างหนักเขามีหลานแบบนี้ได้อย่างไรกันนะ ถึงกับให้คนเหล่านั้นขุดแร่มีพิษเลยหรือนี่ถ้าไม่ใช่เพราะเฝิงซานกวงเป็นหลานของเขา เขาคงส
พวกลูกน้องต่างมองหน้ากัน ความงุนงงฉายเกลื่อนใบหน้าพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดตนเองจึงไม่ถูกพิษหากไม่ใช่เพราะเจี่ยนอันอันเพิ่งพูดออกมาว่าแร่ของที่นี่มีพิษ พวกเขาก็คงยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำลูกน้องคนหนึ่งในจำนวนนั้นเอ่ยขึ้น “พวกข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ แต่ตอนแรกที่พวกข้ามาที่นี่เคยได้กินน้ำแกงปลาจี้ที่เจ้าเหมืองเฝิงทำ”“หรือจะเป็นเพราะน้ำแกงนั่น พวกข้าถึงได้ไม่ถูกพิษ?”ลูกน้องคนอื่นๆ ก็รีบร้อนพยักหน้าด้วยเช่นกัน“ใช่แล้ว วันแรกที่พวกข้ามาที่นี่ล้วนแต่ได้ดื่มน้ำแกงปลาจี้ไปหนึ่งถ้วย”“ข้าคิดออกแล้วเหมือนกัน ตอนที่ข้าซดน้ำแกงปลาจี้นั่นยังคิดอยู่เลยว่าเจ้าเหมืองเฝิงช่างใจกว้างนัก เพิ่งมาถึงก็ให้พวกข้าดื่มน้ำแกงปลาจี้ที่สดใหม่เช่นนี้ อาศัยน้ำแกงปลาจี้นี้ ข้าก็จะตั้งใจทำงานให้เขา”เจี่ยนอันอันมุ่นคิ้ว เมื่อครู่นางดมดูแล้ว พิษในแร่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถถอนพิษได้ด้วยน้ำแกงปลาจี้ถ้วยเดียวเห็นทีเรื่องนี้คงต้องไปถามเฝิงซานกวงถึงจะรู้เรื่องในเมื่อแร่มีพิษ แต่เฝิงซานกวงและพวกลูกน้องล้วนแต่ปลอดภัยไม่ได้รับผลกระทบ แสดงว่าเขาจะต้องมีวิธีแก้พิษอยู่อย่างแน่นอนนา
เจี่ยนอันอันขมวดคิ้วมุ่น นางมองไปทางซ่งไหล “ท่านเล่า จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหนด้วยเหมือนกันรึ?”ซ่งไหลส่ายหน้าเบาๆ “จำไม่ได้”เจี่ยนอันอันคว้าข้อมือซ่งไหลขึ้นมาจับชีพจรให้เขาในไม่ช้านางก็ได้ข้อสรุปคนเหล่านี้ทุกคนล้วนถูกพิษ ขณะที่พิษประเภทนี้จะทำให้คนที่ถูกพิษสูญเสียความทรงจำไปในชั่วพริบตาหลังจากที่นางปล่อยมือซ่งไหลก็สุ่มหยิบแร่ก้อนหนึ่งบนพื้นขึ้นมานางนำมาจ่อใต้จมูกดมดูก็ได้กลิ่นสกปรกจางๆ ที่แผ่ซ่านออกมาจากก้อนแร่ได้ในทันทีนางกล่าวกับฉู่จวินสิง “ถ้าข้าเดาไม่ผิด แร่ในเหมืองนี้ล้วนแต่มีพิษ”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้ทุกคนบริเวณนั้นล้วนสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจที่พวกเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร เป็นเพราะต้องพิษจากแร่พวกนี้อย่างนั้นหรือ?“พวกข้าควรทำอย่างไรดี ข้าไม่อยากตาย!”“ข้าก็ไม่อยากตายเหมือนกัน ข้าอยากไปจากที่นี่”“แม่นางได้โปรดปล่อยพวกข้าไปเถอะ ให้พวกข้าไปจากที่นี่เถอะนะ”คนงานเหมืองเหล่านั้นขอร้องเจี่ยนอันอันเสียงระงม หวังว่านางจะสามารถปล่อยพวกเขาไปซ่งไหลก็หวาดกลัวมากเช่นกัน เขาอยากไปจากที่นี่ ไม่อยากตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้เจี่ยนอันอัน
ฉู่จวินสิงและซ่งไหลที่รออยู่ด้านนอกล้วนร้อนใจอย่างยิ่งโชคดีที่เจี่ยนอันอันออกมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังพาเด็กชายหนึ่งคนออกมาด้วยซ่งไหลรีบอุ้มเด็กชายออกมาข้างนอกเขากระซิบเรียกชื่อเด็กชายเบาๆ “หวายหมิง เจ้าฟื้นเร็วเข้า”เจี่ยนอันอันเห็นว่าซ่งไหลมีท่าทางเป็นกังวลอย่างมาก นางจึงบอกเสียงเบาว่า “เขาแค่สลบไปเท่านั้น ไม่ได้เป็นอันใดมาก”หลังจากที่นางพูดจบก็มุดเข้าไปในถ้ำอีกครั้งรอจนถึงตอนที่นางพาเด็กชายคนที่สองออกมาก็ถอดแว่นสายตากลางคืนออกแล้วนางกล่าวกับฉู่จวินสิงว่า “พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยคุยกัน”ฉู่จวินสิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วอุ้มเด็กชายอีกคนขึ้นมาซ่งไหลอุ้มหวายหมิงตามเจี่ยนอันอันออกไปจากในเหมืองด้วยเช่นกันคนที่รออยู่ด้านนอกล้วนแต่ร้อนใจเป็นที่ยิ่งไม่รู้ว่าข้างในเป็นอย่างไรบ้างแล้วเมื่อพวกเขาเห็นพวกเจี่ยนอันอันออกมาก็พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเจี่ยนอันอันให้พวกเขาวางเด็กชายทั้งสองลงบนพื้นที่ว่าง นางหยิบถุงเข็มเงินออกมาจากในมิติแล้วฝังเข็มให้เด็กชายสองคนนั้นผ่านไปไม่นาน ในที่สุดเด็กชายทั้งสองก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาซ่งไหลเห็นว่าน้องชายทั้งสองของตนเองฟื้นแล้วก็คุกเข่าล
แต่ไม่ว่าเขาออกแรงมากเท่าไรก็ไม่อาจผลักหินยักษ์ออกไปได้ก่อนหน้านี้ที่นี่ก็เคยเกิดการถล่มมาก่อน แต่ไม่ได้หนักหนาเท่าครั้งนี้หากยังไม่ช่วยคนข้างในออกมา เกรงว่าเด็กสองคนนั้นคงต้องจบชีวิตลงที่นี่จริงๆ แล้วเจี่ยนอันอันขมวดคิ้วมุ่น นางพลันก้าวออกมาบริเวณหน้าถ้ำแล้วออกแรงผลักหินยักษ์ก้อนนั้นแต่หินยักษ์หนักเกินไป นางผลักอยู่หลายทีแต่ก็ไม่สามารถทำให้หินยักษ์นั้นขยับเขยื้อนได้เลยฉู่จวินสิงก็รีบเดินเข้ามาหา เขาให้เจี่ยนอันอันถอยออกไปแล้วรวบรวมกำลังภายในฟาดฝ่ามือใส่หินยักษ์ก้อนนั้นอย่างหนักหน่วงครั้นฝ่ามือนั้นฟาดลงไป หินยักษ์ก้อนนั้นเพียงสั่นคลอนไม่กี่ที แต่ก็ไม่ได้ถูกกำลังภายในทะลวงไปได้ขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีนั่นเอง เจี่ยนอันอันพลันกวาดตามองคลังอาวุธในมิติครุ่นคิดว่าสามารถหยิบระเบิดออกมาจากในนั้นสักลูกได้หรือไม่โชคดีที่ตอนที่นางช่วยสองแม่ลูกสกุลเฉียวต่อกรกับเฝิงซานกวงก่อนหน้านี้ คลังอาวุธได้เลื่อนขั้นอย่างเงียบๆคำประกาศปรากฏขึ้นในมิติ : [ระดับคลังอาวุธ 50 สามารถหยิบอาวุธได้สองชนิด]เจี่ยนอันอันนึกยินดี นางรีบบอกให้ทุกคนหลบไปนอกเหมือง แม้แต่ฉู่จวินสิงก็ให้ออกไปจากตร