LOGIN[Reinist’s part]
จะผิดไหมถ้าฉันไม่อยากสู้อีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างที่ฉันกำลังทำอยู่มันว่างเปล่า ไม่ว่าฉันจะพยายามหนีไปที่ไหนสุดท้ายก็กลับมาอยู่ตรงนี้ทุกครั้ง แม้แต่ตอนนี้ทั้งตัวฉันเจ็บไปหมด คอก็เจ็บจนไม่มีเสียง แต่กลับไม่ได้อะไรคืนมาเลย
ฉันอยู่ในห้องน้ำภายในคอนโดเดิมที่เพิ่งจะออกไปเมื่อเช้านี่เอง เมื่อก่อนตอนที่อยู่ญี่ปุ่นฉันเคยคิดนะว่าชีวิตมันง่ายมาก ก็แค่ใช้ให้หมดไปวันๆ แป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้วห้าปี แต่ทำไมมาวันนี้มันถึงได้ยาวนานจังเลย ฉันเหนื่อย เหนื่อยจนไม่มีเรี่ยวแรงเดินต่ออีกแล้ว
น้ำจากเรนชาวเวอร์ไหลผ่านตัวลงมาเรื่อยๆ ฉันได้แต่นั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้นมองสายน้ำที่ไหลไปยังท่อระบายน้ำ มันเป็นสีใสสะอาดเช่นทุกครั้ง แต่ฉันกลับรับรู้ได้ถึงความสกปรกที่ออกมาจากร่างกายของตัวเอง
ร่องรอยที่พวกนั้นทำไว้ มันจะหายไปไหม...ผิวที่โดนมันจับ แม้แต่ปากก็ยังถูกจูบ หน้าอกฉันมัน...
“ฮึก...” ใต้น้ำอุ่นที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง ผสมกับน้ำตาจนแทบจะแยกกันไม่ออก แต่ฉันก็ยังอยากจะร้องไห้ออกมาระบายความอัดอั้นในใจ
ทั้งโกรธ ทั้งขยะแขยงตัวเอง ทั้งเหนื่อย ทั้งเสียใจ ทุกอย่างมันผสมปนเปกันไปหมด
ก๊อก ก๊อก
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังมาจากข้างนอก ฉันรู้ว่าเขาต้องมาถ้าได้ยินเสียงฉันร้องไห้สะอึกสะอื้นมากขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดจะหยุด
“คุณอาบน้ำนานแล้ว ออกมาเถอะ” เขาพูดเสียงเรียบทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เสียงสะอื้นของฉันค่อยๆ เบาลง ด้วยความรู้สึกแปลกใจเข้ามาแทนที่
“ฉันไม่เป็นไร อยากอยู่ต่ออีกหน่อย”
“ห้องน้ำห้องผมเสีย อยากอาบต่อ”
ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย ทั้งที่รู้ว่านี่เป็นแค่มุกของเขาที่พยายามจะทำให้ฉันออกไปจากห้องน้ำนี่ให้ได้ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ยอมแต่โดยดี
ในจังหวะที่หยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบอกเอาไว้ สายตาเหลือบไปเห็นนิ้วมือที่เหี่ยวย่นจากการอาบน้ำนานไปหน่อย นี่คือสิ่งที่ฉันได้กลับมาหลังจากอยู่ในห้องน้ำนี่ร่วมชั่วโมง ความรู้สึกแย่ๆ พวกนั้นไม่หายไป แต่เสียความชุ่มชื้นในผิวไปแทน
ฉันนี่มันงี่เง่าจริงๆ
ครืด
พอเปิดประตูออกมากลับพบว่าคนที่บอกจะอาบน้ำต่อได้อยู่ในชุดนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาดึงมือฉันเดินไปนั่งตรงโซฟาห้องนั่งเล่นแล้วเริ่มหยิบอุปกรณ์ทำแผลออกมาโดยไม่ถามอะไรสักคำ
“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
ถามว่าเขาฟังไหม คำตอบคือ ไม่ ยาทาแก้ฟกช้ำหลอดสีขาวได้ถูกบีบแล้วเอามาป้ายบนแขนของฉันด้วยความเบามือ
เบามากๆ เบาจนฉันไม่คิดว่าจะเป็นการทายาจากฝีมือผู้ชายคนนี้
“นายไม่ต้องทำอย่างนี้หรอก ฉันดื้อหนีออกไปเองก็ต้องรับกรรมเอง เอามาฉันทาเองได้” พยายามดึงแขนกลับแล้วเอื้อมไปคว้าหลอดยามาจากเขา แต่กลับถูกมือจับแขนเอาไว้แน่นแล้วพูดเสียงดุ
“ไม่ต้อง” แค่ได้ยินเสียงของเขาเท่านั้นร่างกายมันก็เชื่อฟังยิ่งกว่าสมองสั่งซะอีก ยิ่งเมื่อมองสีหน้าที่ตั้งอกตั้งใจทำแผลของคนตรงหน้า หัวใจของฉันมันกลับสั่นไหวขึ้นมาทั้งที่ไม่ควร
เขาคงแค่กำลังรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ฉันหนีออกไปได้ หรือแค่สะเทือนใจกับภาพความน่าสมเพชของฉันจนพูดไม่ออก สิ่งที่เขากำลังแสดงออกมันคือความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อะไรอย่างที่ฉันเผลอคิดไปเอง
ทั้งที่รู้อย่างนั้น แต่นี่ก็เป็นความอบอุ่นเดียวที่ร่างกายฉันมันพอจะยึดเหนี่ยวได้บ้างในตอนนี้ เพราะชีวิตฉันไม่เหลือใครเลย คนที่รักและดีกับฉันล้วนตายไปจนหมด สุดท้ายแล้วเลยต้องยึดเอาศัตรูเป็นที่พึ่ง
แค่หวังว่าอย่างน้อย เขาอาจจะเปลี่ยนความรู้สึกผิดเป็นความเห็นใจก็ได้
“คิดจะทำอะไรต่อไป” คนที่ทายาให้ฉันถามขึ้นมา ตอนนี้จากแขนเริ่มลามไปที่หัวเข่า ตรงนั้นแอบแสบเล็กๆ เพราะเป็นรอยถลอกที่มีเลือดซิบ
“นายหมายถึงเรื่องอะไรล่ะ”
“คุณตั้งใจจะหนีไปไหน หนีแล้วเอายังไงต่อ”
คำถามของเขาทำให้ฉันชะงักไป ถึงตอนนี้จะรู้แล้วว่าหนีไม่พ้นก็เถอะ แต่ตอนนั้นฉันกำลังจะไปไหนกันนะ
แค่คิดว่ามีที่ตั้งหลักสักที่ก็คงดี หาทางติดต่อเมย์บีหรือเพื่อนสักคน แต่พอลองคิดดูดีๆ เพื่อนคนล่าสุดที่ฉันติดต่อคือเจ๊ๆ ที่เคยเป็นเชียร์ลีดเดอร์ด้วยกันสมัยมัธยม ตอนนี้พวกนั้นจะเปลี่ยนเบอร์เปลี่ยนที่อยู่ไปหรือยังก็ไม่รู้
พอเห็นว่าฉันไม่ตอบ เขาก็พูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง
“ผมไม่ว่าหรอกนะถ้าคุณคิดจะทำอะไรอย่างนั้นจริงๆ แต่ถ้าทำแล้วตัวเองต้องเจ็บตัว เห็นไหมว่ามันไม่คุ้ม” น้ำเสียงเบาลงก็จริง แต่ก็ยังแทรกไปด้วยความจริงจังจนฉันแอบอึดอัดเล็กๆ
“ฉันจะทำอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับนายหรือเปล่า นี่จับฉันกลับมาได้แล้วก็หมดหน้าที่แล้วสิ”
“ผมเพิ่งช่วยคุณนะ ขอบคุณสักคำน่ะรู้จักไหม”
“รู้จัก แต่ฉันคงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้ถ้าเจ้านายของนายไม่บีบบังคับฉัน”
“ไม่มีใครบังคับคุณได้หรอก นอกจากตัวคุณเอง”
ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนคนฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเข้าไปทุกที สุดท้ายก็ได้แต่ดึงขากลับเพราะไม่อยากให้เขาแตะต้องร่างกายมากไปกว่านี้
“งั้นก็ช่างฉันเถอะ จากนี้จะขอบคุณมากถ้านายไม่เข้ามายุ่งอีก”
“แต่พรุ่งนี้คุณต้องเข้าพิธีแต่งงาน”
“แต่งงาน? นายจะบ้าเหรอ ฉันจะแต่งงานกับคนที่ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าตาเขาได้ยังไง ชุดยังไม่ได้ตัด สถานที่ยังไม่จัดเลยด้วยซ้ำ”
“เพราะทุกคนไม่รู้ว่าคุณจะผีเข้าผีออกตอนไหน เลยให้ทีมออแกไนซ์แสตนบายรอตั้งนานแล้ว งานเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่คิดว่าอย่างน้อยๆ คุณก็น่าจะต้องได้เข้าหอกับเจ้าบ่าว”
นี่มันแย่ยิ่งกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีก เรื่องการแต่งงานบ้าบอนี่มันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมคนเป็นพ่อต้องอยากให้ลูกสาวคนนี้แต่งงานให้ได้
มันทำให้ฉันสงสัยเหมือนกันนะว่ามันสำคัญยังไงกับพ่อกันแน่
“แล้วนายเอาเรื่องนี้มาบอกฉันทำไม ไม่คิดว่าฉันจะหนีไปแล้วทำให้งานแต่งพังอีกรอบเหรอ?” ฉันมองหน้าเขาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ บางทีการกระทำของเขาก็เหมือนจะอยู่ข้างฉัน แต่บางทีก็เหมือนจะอยู่ฝ่ายเดียวกับคนที่ทำร้ายฉัน ฉันไม่อยากคิดไปเองหลายครั้งเหมือนคนโง่ อย่างน้อยคำตอบของเขาคงทำให้ตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น
“ฉัน...ไว้ใจนายได้หรือเปล่า?”
“คุณคิดว่าไง” เขาละสายตาจากอุปกรณ์ทำแผลตรงหน้าแล้วมามองหน้าฉัน ดวงตาสีนิลไม่ได้แสดงอารมณ์ใดใดทำให้ฉันอ่านสายตาเขาไม่ออกเลย “คิดว่าผมไว้ใจได้หรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ”
“ต้องรู้ มีแค่คุณที่ตัดสินใจได้ว่าควรไว้ใจใคร”
“คนที่ฉันไว้ใจได้ตายไปหมดแล้ว ตอนนี้นอกจากฉันเอง ฉันก็เหลือแค่นาย...” ฉันบอกออกไปอย่างไม่ปกปิด ทิฐิเป็นสิ่งเดียวที่ฉันถือ แล้วมันก็ทำให้ฉันเหนื่อยเกินไป
หลังจากนี้ฉันจะดับเครื่องชนกับทุกอย่าง ไม่สนวิธีการแล้วทั้งนั้น แม้แต่การจับมือกับศัตรูก็ตามที
“แล้วคุณไว้ใจผมไหม”
มีทางเลือกเดียวแล้วนี่เนอะ
“อืม ฉันไว้ใจ”
เราทั้งคู่จ้องหน้ากันนิ่ง ราวกับกำลังจะให้อากาศเป็นฝ่ายสื่อความรู้สึกที่พูดออกไปไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร แต่รู้แค่ว่าตอนนี้ต้องการพรรคพวกมากที่สุด แม้ว่าจะมีแค่คนเดียวก็ตามที
“รู้ไหมว่าข้อเสียอย่างหนึ่งที่จะทำให้คุณแพ้คืออะไร”
“...”
“คุณเหมือนจะฉลาด แต่ก็ซื่อเกินไป เป็นคนดี ไว้ใจคนมากเกินไป”
“...”
“ทำอย่างนี้ต่อให้กราบเท้าก็คงไม่มีใครยอมอยู่ข้างคุณ”
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง ฉันไม่มีทางเลือกแล้ว ทุกอย่างกดดันฉัน ทำให้ฉันกำลังจะเป็นบ้า อย่าลืมสิว่าฉันเองก็เพิ่งเจอเรื่องแบบนี้ครั้งแรกเหมือนกันนะ”
ฉันอึดอัด...ฉันเหนื่อย คนอย่างเขาคงไม่มีวันเข้าใจหรอก เขาไม่เคยต้องเสียทุกอย่าง ไม่เคยต้องเจอเรื่องตลอดเวลาอย่างฉันนี่
แต่ฉันก็ไม่คิดขอให้เขามาเข้าใจหรอก รู้ว่ายังไงเขาก็ต้องเข้าข้างเจ้านายอยู่แล้ว
จากสิ่งที่เขาพูดออกมาทั้งหมด คิดว่าฉันตัดสินใจได้แล้วล่ะ
[Nithe’s part]งานแต่งตั้งประธานเป็นอะไรที่วุ่นวายไม่น้อย ผมเดินตามเรนนี่ตลอดเวลาทำหน้าที่บอดี้การ์ดของตัวเองที่ห่างหายไปหลายเดือน ยอมรับว่าเป็นความรู้สึกที่แปลกอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นใบหน้าที่ยิ้มกว้างของเรนนี่อย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน ผมเองก็อดยิ้มตามเธอไม่ได้เธอดูมีความสุขมากจริงๆ มากกว่าเมื่อก่อนมาก ผมดีใจที่พอผมกลับเข้ามาในชีวิตสิ่งแรกที่เห็นคือรอยยิ้มของเธอ และหวังว่าจะได้เห็นมันไปนานๆ ตลอดไปเลยยิ่งดี“คลั่งรักเมียนะมึงอะ มองไม่พัก มองขนาดนี้แล้ววันนั้นหมาตัวไหนครับบอกว่าถ้าได้เอาคนนี้เอาหมาดีกว่า”เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาที่ข้างตัว ผมเกือบลืมไปว่าวันนี้เชิญเพื่อนสุดที่รักมาด้วย หันไปเจอไอ้ ชาวี เพื่อนรักตัวแสบยืนทำหน้าแป้นน่าถีบอยู่ข้างๆ เห็นแล้วอยากจะหันไปแจกหมัดให้สักทีสองที“คนพูดนั่นไม่ใช่กูครับเพื่อน” ผมตอบยิ้มๆ สายตาก็มองกลับเข้าไปในงาน เรนนี่กำลังทักทายแขกเหรื่อในงานโดยมีไอ้เจ็ดเดินตามไม่ห่าง ผมเลยถือโอกาสหันมาคุยกับเพื่อนบ้างวันนี้มากัดหมดทั้ง นาวี ชาวี รวมทั้งไอ้นักรบ แล้วไหนจะสาวๆ เมียพวกมันอีกครบทีม ผมคิดว่างานสำคัญอย่างนี้พาพวกเธอมาเจอกันหน่อยก็ดี ซ้ำคุณหนูเอวา[1] เอ
ฉันมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก หญิงสาวในเดรสสีแดงสดแต่งหน้าจัดเต็มทาปากสีนู้ด ผมยาวสลวยถูกย้อมเป็นสีดำขลับแล้วรีดตรงทำให้เธอดูสง่าและภูมิฐานกว่าเมื่อก่อนเป็นไหนๆ สไตลิสของฉันวนรอบตัวแล้วปรบมือแล้วปรบมืออีกด้วยความภาคภูมิใจ ที่หล่อนสามารถเปลี่ยนลุคของฉันจากสก๊อยเป็นท่านประธานสาวได้สำเร็จ“สวย เริ่ด ปัง”“พอเถอะ เธออวยจนฉันเริ่มจะอึดอัดแล้ว”“ฉันอวยตัวเองเถอะ เมื่อก่อนเธอแต่งตัวไม่มีคลาสเอาซะเลย ตอนนี้เหรอ เหอะ อย่าว่าแต่มองเหลียวหลัง ผู้ชายที่ไหนเห็นก็ต้องวิ่งเข้ามากราบขอเป็นผัวค่ะ”“ขนาดนั้นเชียว?”เราสองคนเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม คงเพราะอายุไม่ห่างกันมาก แล้วก็ทะเลาะกันมาตลอดเลยทำให้สนิทกันง่าย ทุกวันนี้การมีไข่มุกอยู่เป็นเพื่อนก็ไม่แย่เท่าไหร่“เธอไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวไปพร้อมกัน” ฉันว่าพลางกลับมานั่งเล่นมือถือที่โซฟา ไม่ลืมที่จะถอดส้นสูงออกเพราะรู้ว่าไปงานยังไงก็คงไม่ได้ถอดไปอีกหลายชั่วโมง“ไม่เอาล่ะ เธอไปเถอะ ฉันเป็นแค่สไตลิสจะไปทำไม”“เธอเป็นเมียพ่อฉัน เป็นแม่เลี้ยงฉันนี่”“เธอ...ไม่ใช่ลูกของคุณเดชไม่ใช่เหรอ?”“อือ แล้วไงล่ะ ฉันก็เรียก
[Nithe’s part]ขอโทษ...คำนี้มันคงจะสายเกินไปที่จะพูดแล้วในตอนนี้ แหวนที่เธอคืนให้มา มันคือการตัดความสัมพันธ์อย่างชัดเจนแต่ผมกลับไม่สามารถมูฟออนไปได้เลย“ผมเข้าใจนะว่าลูกพี่กำลังอกหัก แต่ดื่มเยอะๆ อย่างนี้มันไม่ดีนะพี่ คุณหนูเขามีความสุขแล้ว ผมเองก็ดูแลให้อย่างดี”คงมีแต่ไอ้เจ็ดที่เข้าใจว่าผมรู้สึกยังไง เรื่องที่เราเลิกกันไม่ได้ประกาศออกไป เลยมีแค่คนที่ผมสนิทที่สุดเท่านั้นที่รู้ แม้แต่นาวี ชาวี หรือแม้แต่ไอ้นักรบก็ไม่รู้เรื่องนี้ หลายครั้งที่เจอกันพวกมันยังแซวเรื่องของผมกับเรนนี่อยู่เลย ผมเองก็ไม่อยากบอกใครว่าจริงๆ ความสัมพันธ์นั้นมันได้จบลงแล้ว“กูไม่ได้อกหัก” ผมปฏิเสธคำพูดของไอ้เจ็ด ด้วยไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเลิกกับเธอแล้วจริงๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกระดกเหล้าเพียวๆ เข้าปากอีกอึกไม่รู้ว่าตัวเองดื่มจนเมาปลิ้นอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าทุกวันหากคิดถึงเธอ รสขมปร่าของเหล้าเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยผมได้ดื่มแล้วก็เมา เมาแล้วก็นอน นอนแล้วก็ตื่นมาดื่มใหม่ ชีวิตผมเป็นอย่างนี้มาสามเดือนแล้ว โคตรขี้แพ้เลยเนอะไอ้เจ็ดก็เลิกงานเมื่อไหร่เป็นต้องมาดื่มเป็นเพื่อนผม บางวันมันก็บ่นว่าดื่มไม่ไหวแล้วขอก
ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองเสียไปหมดทุกอย่าง จนกระทั่งตัวเองมาเจอเรื่องนี้เมื่อก่อนฉันเสียแม่ เสียตา แต่ยังมีเป้าหมายในการทวงทุกอย่างคืนมาจากพ่อพอให้ได้มีแรงสู้ต่อ แต่วันนี้ฉันได้ทุกอย่างคืนมาแล้ว แม้แต่ตาก็อยู่กับฉัน แต่กลับไม่มีความสุขเลย“ตรงนี้อ่านว่า กอ อา กา แค่นี้ก็ไม่รู้เนอะ”“ก็เราไม่เคยเรียนหนังสือนี่”“ไม่เอาน่าหลานๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ”อีกอย่างที่ฉันได้มา นั่นก็คือครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ฉันว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่เกินกว่าจะอยู่คนเดียว เลยให้ยัยไข่มุกย้ายกลับเข้ามา ด้วยเหตุผลแรกคือ ฉันอยากให้ราอุลได้เรียนที่ดีๆ มีสังคมดีๆ ไม่ต้องลำบาก สองคืออยากให้หลินหลินได้มีเพื่อนอ้อ ฉันรับหลินหลินเป็นลูกบุญธรรมเรียบร้อยแล้ว ถึงจริงๆ เธอจะเรียกฉันว่าพี่สาวก็เถอะตอนนี้ในบ้านฉันเลยเต็มไปด้วยเสียงของเด็กสองคนทะเลาะกันแทบทุกวัน ตามด้วยเสียงคุณตาที่บอกว่าอย่าทะเลาะกันส่วนฉันก็มีงานใหญ่ต้องทำ“ชุดเห่ย”ยัยแม่เลี้ยงปากเสียว่าพลางมองฉันหัวจรดเท้า เธอเบะปากให้ชุดเดรสสีแดงเรียบๆ ที่ฉันเลือกมาด้วยความตั้งอกตั้งใจยัยไข่มุกรับหน้าที่เป็นสไตลิสชั่วคราวให้ฉัน เพราะช่วงนี้ฉันยังไม่อยากพบเจอผู้คน
‘แม่คะ อันนี้ดอกอะไรคะแม่ สวยมากเลย’‘ไซคลาเมนลูก ความหมายของมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก บางคนก็เชื่อว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของการจากลา แต่สำหรับแม่ หมายถึงความรักของแม่ จะยังคงอยู่ตลอดไป แม้ว่าจะตายจากกัน’‘แม่อย่าพูดถึงเรื่องตายแบบนั้นสิคะ เรนไม่ชอบเลย’‘เรนนี่ลูก วันหนึ่งคนเราก็ต้องจากกัน แค่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่หนูไม่ต้องห่วงนะ ถ้าแม่ไปก่อน แม่จะไปรอลูกอยู่ที่นั่นนะจ๊ะ’ภาพของแม่ที่ฉันไม่เคยฝันถึงเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันมองรูปของแม่ทุกวัน หวังว่าจะได้เจอแม่ในฝันสักครั้ง แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นความว่างเปล่า มีเพียงคราบน้ำตาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในทุกคืนแต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ฉันถึงได้ฝันถึงแม่ แม่ที่ตายจากไปแล้วหลายปี ฉันถามแม่ว่าคุณตาอยู่ไหน แต่ท่านก็ไม่ตอบแล้วเดินไกลออกไป‘แม่คะ...อย่าทิ้งหนูไป’ เสียงของฉันในความฝันเรียกชื่อแม่ สองขาพยายามวิ่งตามท่าน แต่เหมือนว่ายิ่งวิ่งมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆแม่...อย่าทิ้งหนูไป“แม่คะ...แม่อย่าทิ้งหนู”“เรนนี่” เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาในความฝัน ฉันหันหลังไปแล้วก็เจอกับใบหน้าของชายหนุ่มที่เหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเ
“เรื่องการเข้ารับตำแหน่งที่บริษัท ฉัตรจะจัดการให้เองนะคะคุณหนูไม่ต้องห่วง ตอนนี้พักผ่อนไปก่อน เอาสุขภาพตัวเองเป็นหลักนะคะ”คงเป็นความโชคดีของฉันอย่างหนึ่ง คือตอนที่ฉันรู้สึกแย่ฉันไม่เคยต้องอยู่คนเดียว ตอนที่เพื่อนไม่ว่างและฉันต้องการกำลังใจ ก็มีคุณฉัตรที่คอยเป็นธุระให้แทบทุกอย่าง แล้วยังอาสามาอยู่เป็นเพื่อนในบางวันเธอช่วยฉันตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ จนไม่รู้แล้วว่าต้องเริ่มขอบคุณเธอจากตรงไหนดี“ขอบคุณนะคะคุณฉัตร แค่นี้ก็ลำบากคุณมากพออยู่แล้ว” ฉันกล่าวขอบคุณออกไปอย่างจริงใจ นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในตอนนี้“ไม่รบกวนหรอกค่ะ ยังไงฉันก็ต้องทำงานให้คุณในฐานะทนายในการแต่งตั้งประธานบริษัทอยู่แล้ว ตอนนี้เราต้องเตรียมตัวเพื่อจะไปแสดงตัวว่าเป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉัตรเตรียมเอกสารไว้ให้แล้ว คุณเรนค่อยดูตอนที่รู้สึกดีขึ้นนะคะ”“ขอบคุณค่ะ”“งั้นวันนี้ฉัตรจะรอเมย์บีมาก่อนค่อยไป คุณเรนอยากดื่มอะไรสักหน่อยไหมคะ ฉัตรไปชงให้”“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ”เฮ้อ...ฉันต้องอยู่คนเดียวให้ได้ ต้องไม่จิตตก ต้องไม่คิดถึงเขาสิรู้ไหมว่าอะไรยากที่สุดของการอยู่คนเดียว คือเมื่อเราได้มีใครสักคนเข้ามาในชี







![บำเรอรักบอดี้การ์ดของคุณพ่อ [ Love Slave ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)