Masukแผลที่หูก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย ทำไมฉันต้องไปใส่ใจด้วยว่าเขาจะเจ็บหรือเปล่า คนเราจะมาเป็นบอดี้การ์ดได้มันต้องผ่านการฝึกหนักมาก่อนไม่ใช่เหรอ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลยด้วยซ้ำ
แต่เรื่องที่น่าสนใจกว่าเรื่องหูแตกของคนคนเดียว คือคอนโดที่เขาพาฉันมานี่ต่างหาก ในทีแรกคิดว่ามานอนสักคืนคงไม่เป็นไร เพราะฉันไม่ได้กลับบ้านนานห้องนอนเดิมคงยังไม่ได้รับการทำความสะอาด แต่ไม่คิดว่าที่ที่เขาพามามันจะทุเรศได้ขนาดนี้
“เอาลูกสาวแท้ๆ มาขังไว้กับผู้ชายสองต่อสองไม่กลัวลูกจะถูกข่มขืน เขานี่เกิดมามีแค่ไอ้นั่นไว้สืบพันธุ์จริงๆ ไม่ได้มีความเป็นพ่อคนเลยสักนิด”
ฉันบ่นอุบทันทีที่มาถึง ไหนจะเหนื่อยจากการเดินทาง ไหนจะรองเท้าส้นเข็มสูงกว่า 4 นิ้วที่ใส่มาทั้งวัน มาถึงห้องนี้อีกอย่างที่ฉันทำนอกจากบ่นคือถอดรองเท้าออกเพราะมันเจ็บมาก เจ็บจนฉันแทบจะเดินเท้าเปล่าไม่ไหว ทั่วทั้งฝ่าเท้ามีอาการบวมแดงจนต้องอาศัยการนวดเบาๆ เพื่อให้คลายความเจ็บปวดลง
อ้อ ส่วนเรื่องห้อง เขาให้ฉันอยู่ในคอนโดราคาถูกๆ ที่ไม่ได้เก็บเสียงอะไรเลยสักนิด ตั้งแต่เข้ามาก็ได้ยินเสียงข้างห้องทะเลาะกันอยู่เป็นระยะ แล้วยังต้องอยู่ร่วมชายคากับไอ้บ้านี่อีก
ถึงมันจะเป็นห้องนอนที่แยกกันคนละห้องก็เถอะ แต่ฉันก็ไม่สบายใจที่จะอยู่กับเขาอยู่ดี
“ไปหาห้องใหม่ให้ฉัน ฉันไม่อยากอยู่ห้องนี้” ฉันว่าพลางกอดอกแน่นมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ขอโทษแล้วกันครับที่หาให้ไม่ได้ ท่านประธานสั่งว่าคุณหนูต้องอยู่ที่นี่ เท่านั้น”
“กับนาย สองต่อสองเนี่ยนะ?”
“ผมไม่ถือ”
เขาว่าพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะเดินตรงไปยังบันไดทางขึ้นห้องของตัวเองที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นอย่างนั้นฉันจึงรีบลุกขึ้นวิ่งกะเผลกๆ ไปขวางเอาไว้
“เดี๋ยวๆ นั่นไม่ใช่คำที่นายควรพูดนะ”
“ถอยไป ผมจะไปอาบน้ำ”
“ทั้งที่มีฉันอยู่ในห้องเนี่ยนะ นายจะบ้าหรือเปล่า นายเคยบอกเองว่าชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน แล้วตอนนี้จะมาอยู่ร่วมห้อง ประสาท!”
ครั้งหนึ่งตอนที่ฉันยังไม่ได้ไปเรียนต่อ ฉันปีนขึ้นต้นไม้สูงลงไม่ได้ ร้องไห้ให้เขาช่วยอยู่ครึ่งวันเขาก็ไม่ช่วย บอกว่าให้หาทางลงมาเองเพราะชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน ตอนนั้นฉันด่าเขาไปเยอะมากๆ จนท้ายที่สุดก็ต้องลงมาจากต้นไม้เองทั้งน้ำตา
เขาทั้งทำให้ฉันเจ็บใจ เจ็บตัว เจ็บคอ แล้วยังอับอายอีกต่างหาก มาตอนนี้จะกลับคำง่ายๆ ได้ไง
“อยู่ร่วมห้องอะไร ผมก็นอนห้องผม คุณก็นอนห้องคุณ”
“แต่มันก็อยู่ชายคาเดียวกันไหม”
“งั้นคุณคงต้องหาบ้านเดี่ยว เพราะบนคอนโดนี้มีประมาณร้อยครอบครัวอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน หรือไม่ก็ย้ายไปอยู่ดาวอังคาร เพราะทุกคนต่างอยู่ใต้โอโซนเดียวกัน”
ความหน้ามึนของเขาเริ่มจะทำให้ฉันปวดหัวตุ้บๆ ฉันทนร่ำเรียนมาหลายปีเพื่อมารับมือกับงานหนักที่รออยู่ข้างหน้า ไม่คิดว่าแค่วันแรกที่กลับบ้านต้องเจอเรื่องน่าปวดหัวมากขนาดนี้
มองใบหน้าที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกฉันของคนตรงหน้า มันทำให้อยากจะกรี๊ดใส่หน้าเขาจริงๆ
“ไม่ได้ ฉันเป็นสาวโสดยังไม่แต่งงาน ไม่สะดวกใจอยู่ร่วมชายคากับนาย เกิดว่านายข่มขืนฉันล่ะ ยังไงฉันที่เป็นผู้หญิงบอบบางก็ต้องสู้ไม่ได้อยู่แล้ว”
พูดจบสิ่งแรกที่ฉันได้รับคือรอยยิ้มเยาะจากชายหนุ่มร่างสูง เขากวาดสายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะพูดเสียงกลั้วหัวเราะ
“ดูจากรูปร่างหน้าตา ผมคิดว่าห้ามใจตัวเองได้แน่”
“นี่นาย!”
“ดูทรงแล้วคนที่อยากได้ผมใจจะขาดคงเป็นคุณมากกว่า แวบแรกก็มองตาเยิ้มขนาดนั้น ทำเป็นด่าแต่ในใจนี่สั่นเป็นแผ่นดินไหวเลยใช่ไหมล่ะ”
“ใครมันจะไปพิศวาสนายกัน หน้าตาก็งั้นๆ หุ่นก็งั้นๆ”
“แน่ใจว่าหุ่นก็งั้นๆ ลองมาลูบดูสักครั้งแล้วจะติดใจ”
ไม่พูดเปล่า เขายังจับมือฉันแล้วเอาไปวางไว้ที่บริเวณกลางอกของตัวเอง ทันใดนั้นกล้ามเนื้อแน่นที่ซ่อนเอาไว้ใต้สูทสีดำอันเป็นยูนิฟอร์มของงานบอดี้การ์ดก็เหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ทุกจังหวะที่เขากดฝ่ามือฉันลงไปลูบไล้ทั่วหน้าท้องที่เต็มไปด้วยคลื่นกล้ามเนื้อ มันทำให้หัวใจกระตุกวูบ
บ้าจริง ทำไมเรื่องน่าอายอย่างนี้ฉันถึงไม่สามารถดึงมือออกมาจากซิกแพ็กของเขาได้เลย ยิ่งลูบก็เหมือนยิ่งถูกดึงดูดให้อยากลูบมากขึ้นกว่าเดิม ขนาดอยู่นอกเสื้อผ้ายังรู้สึกได้ถึงลอนคลื่นที่ชัดเจนขนาดนี้ แล้วถ้าถอดเสื้อจะขนาดไหน...
“เห็นไหม บอกแล้วว่าคุณมีโอกาสจะข่มขืนผมมากกว่าอีก”
น้ำเสียงล้อเลียนของเขาทำให้ฉันได้สติขึ้นมา รีบชักมือกลับแล้วหลบตาตาอย่างเขินๆ
ก็จะไม่ให้เขินได้ยังไง ปากบอกว่าไม่สนไม่เอา แต่กลับลูบไปเต็มมือแบบนั้น น่าอายที่สุด
“ฉันไม่คุยกับนายแล้ว ไอ้ตัวอันตราย!”
แผลที่หูก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย ทำไมฉันต้องไปใส่ใจด้วยว่าเขาจะเจ็บหรือเปล่า คนเราจะมาเป็นบอดี้การ์ดได้มันต้องผ่านการฝึกหนักมาก่อนไม่ใช่เหรอ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลยด้วยซ้ำแต่เรื่องที่น่าสนใจกว่าเรื่องหูแตกของคนคนเดียว คือคอนโดที่เขาพาฉันมานี่ต่างหาก ในทีแรกคิดว่ามานอนสักคืนคงไม่เป็นไร เพราะฉันไม่ได้กลับบ้านนานห้องนอนเดิมคงยังไม่ได้รับการทำความสะอาด แต่ไม่คิดว่าที่ที่เขาพามามันจะทุเรศได้ขนาดนี้“เอาลูกสาวแท้ๆ มาขังไว้กับผู้ชายสองต่อสองไม่กลัวลูกจะถูกข่มขืน เขานี่เกิดมามีแค่ไอ้นั่นไว้สืบพันธุ์จริงๆ ไม่ได้มีความเป็นพ่อคนเลยสักนิด”ฉันบ่นอุบทันทีที่มาถึง ไหนจะเหนื่อยจากการเดินทาง ไหนจะรองเท้าส้นเข็มสูงกว่า 4 นิ้วที่ใส่มาทั้งวัน มาถึงห้องนี้อีกอย่างที่ฉันทำนอกจากบ่นคือถอดรองเท้าออกเพราะมันเจ็บมาก เจ็บจนฉันแทบจะเดินเท้าเปล่าไม่ไหว ทั่วทั้งฝ่าเท้ามีอาการบวมแดงจนต้องอาศัยการนวดเบาๆ เพื่อให้คลายความเจ็บปวดลงอ้อ ส่วนเรื่องห้อง เขาให้ฉันอยู่ในคอนโดราคาถูกๆ ที่ไม่ได้เก็บเสียงอะไรเลยสักนิด ตั้งแต่เข้ามาก็ได้ยินเสียงข้างห้องทะเลาะกันอยู่เป็นระยะ แล้วยังต้องอยู่ร่วมชายคากับไอ้บ้านี่อีก
คนเจ็บขึ้นมาบนรถโดยไม่พูดอะไรสักคำ แค่ถอดอินเอียร์ที่ชุ่มเลือดออกแล้วสตาร์ทรถเงียบๆ เป็นภาพที่สยดสยองจนแทบไม่อยากมอง“ไปโรงพยาบาลสิ เดี๋ยวก็แก้วหูแตกฉันไม่รู้ด้วยนะ” ฉันต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะบอกให้เขาไปโรงพยาบาลโดยไม่แสดงความเป็นห่วง ฉันแค่กลัวว่าจะมีคนมาเจ็บตัวแทนทั้งที่ไม่ต้องการ ไม่อยากมาเป็นหนี้บุญคุณกันให้ต้องตามติดไปถึงชาติหน้าเพราะผู้ชายอย่างเขา เจอชาติเดียวก็เกินพอแต่เขาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาแล้วสตาร์ทรถออกตัวไปในทันที“แก้วหูแตกไปจริงๆ แล้วมั้ง สมน้ำหน้า” พูดพร้อมเบะปากด้วยความสะใจ“คุณควรจะขอโทษผมสักคำนะ”อ้าว ก็ได้ยินนี่ มีหูแต่ทำเป็นไม่มี แม่ทำให้แตกเพิ่มอีกสักข้างดีไหม น่าหงุดหงิดจริงๆ เลย“ขอโทษเรื่องอะไร? นายเอาตัวเข้ามาขวางเองนี่”“เรียนก็สูง วิชามารยาทเขาไม่สอนเหรอ?”“นายหลอกด่าฉันเหรอ!” ฉันกำหมัดแน่น ใจอยากจะทุบเขาให้ตายคามือ แต่พอเห็นว่าเขาเจ็บเพราะฉันเลยได้แต่เก็บมือลงที่เดิมแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆใจเย็นไว้เรนนี่ เย็นไว้ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง“ไปโรงพยาบาล” ฉันสั่งเสียงเข้ม แล้วยกมือขึ้นกอดอกเพื่อให้เขารู้ว่ากำลังไม่สบอารมณ์มากๆเกิดว่ามีใครมา
บ้านเอกเดชาพิพัฒน์สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือโถงห้องรับแขกที่เดิมเคยมีเฟอร์นิเจอร์หรูมูลค่าหลายสิบล้านที่คุณตาหวงแหนตั้งอยู่ ตอนนี้ทุกอย่างถูกเคลียร์โล่งเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับงานปาร์ตี้ ทั้งลูกโป่ง ริบบิ้น กระดาษสีมากมายเกลื่อนพื้นไปหมด แล้วยังมีพลุกระดาษถูกยิงขึ้นไปติดอยู่บนรูปที่แปะไว้ใจกลางของห้องรับแขกนั่นอีกรูปคุณตา คุณยาย แล้วก็แม่ของฉัน สามคนที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้กำลังถูกหยามเกียรติโดยใครก็ไม่รู้ที่มันไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลฉันด้วยซ้ำ แล้วไหนจะแขกในงานวันเกิดที่ร้องเจี๊ยวจ๊าวเหมือนลิงหลุดมาจากสวนสัตว์ ผู้ปกครองที่มางานก็ยังไม่สนใจดูแลลูก ปล่อยให้ไอ้เด็กเวรพวกนี้มันขึ้นไปกระโดดอยู่บนโซฟาของคุณตาอีก“เท็กซัสลูก อย่ากระโดดสิครับ” ฉันคิดว่าคนเป็นแม่คงมีจิตสำนึกอยู่บ้าง หากว่าไม่ได้ยินคำพูดต่อมา “เดี๋ยวตกลงมาแข้งขาหักจะทำยังไง ลงมาลูก”“พอกันที!”ฉันเดินตรงเข้าไปภายในงานแม้ว่าจะมีการรั้งต้นแขนเล็กๆ จากคนที่เดินมาด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันหยุดความตั้งใจที่จะทำลายงานวันเกิดแสนอัปรีย์ในครั้งนี้“เรนิส...” คนที่เรียกชื่อฉันไม่ใช่ใครที่ไหน แม่ของราอุลอย่างยัยไข่มุกนั่นเอง
[Reinist’s part]สนามบินสุวรรณภูมิบริเวณประตูทางออกหมายเลข 10 มีความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อย ผู้คนต่างพากันป้องปากซุบซิบแล้วมองมายังจุดนี้เป็นตาเดียว บ้างก็นินทา บ้างก็ชื่นชม บ้างก็เดาไปต่างๆ นาๆ ว่ายัยคนสวยขายาวสวมเดรสสีแดงสดและรองเท้าส้นเข็มสูงปรี๊ดซ้ำยังมีชายชุดดำเดินตามถึงสองคนคนนี้คือใครฉันเริ่มจะชินซะแล้วล่ะกับสายตาพวกนี้ที่มองมา ในฐานะของคุณหนู รุณนสา เอกเดชาพิพัฒน์ ทายาทรุ่นต่อไปของ AC-Groups ชื่อบริษัทที่ครอบครองธุรกิจหลากหลายประเภทจนคนชินตา การถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนี้เป็นเรื่องปกติมากๆแต่ผู้คนที่นี่อาจไม่ได้มองเพราะชื่อเสียงของฉัน เพราะผู้หญิงชุดแดงหาที่ไหนก็หาได้ แต่คนที่หุ่นดีขาเรียวยาวซ้ำยังรูปร่างเข้ากับการดีไซน์ของชุด แล้วยังมีผิวขาวที่โดดเด่นรับกับชุดสีทับทิมนี่เป็นอย่างดี จะมีสักกี่คนกันแต่ว่านะ...ใต้ความสวยชีวิตฉันก็มีเรื่องน่ายกนิ้วกลางให้อยู่ ทั้งชีวิตของการรับบทคุณหนูมีแต่เรื่องที่ทำให้ฉันต้องหมดความศรัทธาในสถาบันครอบครัวมากขึ้นเรื่อยๆพ่อแต่งงานกับแม่เพื่อใช้นามสกุลของคุณตา ทิ้งแม่ที่ป่วยให้ตายโดยไม่ยอมพยายามรักษาอย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวอย่างฉันไปเ







