LOGIN[Nithe’s part]
ผมเอาข้าวเย็นไปให้เรนนี่กะแกล้งยั่วโมโหคนกำลังหิวจัดจากการไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน แต่ภายในห้องกลับเงียบจนผิดสังเกต พอเข้ามาถึงเห็นว่ามันว่างเปล่า บนที่นอนที่ควรมีหญิงสาวนอนอยู่กลับเหลือเพียงรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่หนึ่ง และกระเป๋าที่ถูกรื้อข้าวของออกมากองเอาไว้ บนพื้นมีร่องรอยการเดินไปมาทั่วห้อง กระทั่งไปหยุดอยู่ที่ตู้หนังสือเก่าๆ ที่เรนนี่ไม่น่าจะอยากแตะต้อง
ด้วยนิสัยของเธอที่ไม่ชอบให้มือตัวเองเปื้อนสิ่งสกปรก อย่าว่าแต่จับมันเลย แค่เข้าใกล้ยังไม่อยากทำด้วยซ้ำ ด้วยความสงสัยผมจึงเดินเข้าไปแล้วลองขยับมันดู แค่คิดเล่นๆ ว่ามันอาจจะมีช่องลับหรืออะไรสักอย่างข้างหลังนั้น
แล้วก็มีจริงๆ
ห้องนั้นเชื่อมมาที่ห้องหนังสือชั้นล่าง ตรงนี้มีเพียงราอุล ลูกชายคนเล็กของบ้านเท่านั้นที่จะเข้ามาทำการบ้านบ้างเล่นของเล่นบ้าง เลยทำให้ไม่มีใครเห็นว่าเธอออกไป นอกจากเขา
“พี่สาวบอกว่าห้ามบอกใครว่าทำภารกิจลับอยู่ ผมเลยบอกไม่ได้ครับว่าพี่สาวหนีออกจากบ้านไปแล้ว” ราอุลพูดด้วยความไร้เดียงสา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ที่พูดนั่นแหละคือการ บอก ในสิ่งที่พี่สาวของเขาห้าม
ว่าแต่ พี่สาว? เรนนี่เนี่ยนะจะยอมให้เด็กคนนี้เรียกเธออย่างนั้น
“แล้วพี่สาวได้บอกไหมว่าไปไหน”
“ไม่ครับ” ราอุลส่ายหัว “แต่ถึงบอกผมก็บอกลุงไม่ได้ พี่สาวบอกว่าห้ามบอกพ่อ แม่ แล้วก็ลุงไนธ์เด็ดขาด เพราะเป็นตัวร้ายขัดขวางภารกิจ”
ผมอายุมากกว่าแม่ของราอุลอยู่หลายปี อันที่จริงเขาเรียกผมว่าลุงก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่กลับรู้สึกว่าหงุดหงิดอยู่หน่อยๆ ที่มีคนมาเปลี่ยนสรรพนามตามใจชอบแบบนี้
ผมจึงนั่งยองๆ ลงตรงข้ามราอุล แล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เรียกพี่สิ พี่ไนธ์”
“ไม่เอาครับ ลุงไนธ์”
ดื้อเหมือนพี่สาวไม่มีผิด ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเมื่อก่อนตอนที่ผมเจอเรนนี่ครั้งแรก เธอก็เหมือนราอุล ถ้าได้เชื่ออะไรก็จะเชื่ออย่างสุดหัวใจ ไม่ว่าใครเอาความจริงข้อไหนมาแย้งก็จะไม่ยอมฟัง
เหมือนผมเคยบอกว่าชี้รุ้งกินน้ำแล้วนิ้วไม่งอ พร้อมทั้งชี้ให้ดูหลายต่อหลายครั้ง เธอก็ยังดื้อจะเถียงอยู่อย่างนั้นจนโต
ทำไมผมจะไม่รู้ว่าในบางครั้งเธอโตพอจะรู้เรื่องพวกนั้นแล้ว แต่แค่อยากเถียงเพราะไม่ต้องการให้ตัวเองหน้าแตก
แต่ตอนนี้ผมไม่ได้มีเวลามาสนใจเรื่องนั้น เรนนี่หนีออกไปแล้ว ผมพลาดเองที่คิดว่าเธอคงไม่หุนหันพลันแล่น ยอมอยู่นิ่งๆ ปรึกษาหาทางออกตามที่ผมคิดเอาไว้ อย่างน้อยก็อยากถือโอกาสนี้เปิดเผยตัวกับเธอ
เพราะจริงๆ แล้วหน้าที่ที่ผมต้องดูแลเรนนี่ ไม่ได้มาจากตำแหน่งบอดี้การ์ดที่ได้รับ แต่เป็นคำสั่งของคุณตาเธอที่เป็นคนเลี้ยงผมในช่วงที่ผมกำลังเคว้งคว้าง
พ่อแม่เพิ่งเสีย คนที่รับเลี้ยงฝึกผมจากมูลนิธิเหมือนทหารคนหนึ่งแล้วส่งเข้าไปเป็นสปายในครอบครัวของเมียตัวเอง อ้างว่าเป็นเพื่อนเล่นลูกสาว แต่ผมกลับต้องรายงานทุกความเคลื่อนไหวให้เขาฟัง ในขณะที่คุณตาของเรนนี่ดีกับผมมาก ดีจนผมเริ่มผูกพันกับท่านและหลานสาวมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยความเป็นเด็ก พอผมได้รับการดูแลที่ต่างกันขนาดนี้ เลยทำให้จิตใจผมเอนเอียง แล้วพอได้แยกออกมาจากเรนนี่และคุณตา ได้รู้ความลับของเจ้านายตัวเอง มันก็ยิ่งทำให้ผมอยากช่วยทางนั้นมากขึ้น
และการดูแลยัยคุณหนูคนนี้ให้ปลอดภัย ทำให้เธอได้ทุกอย่างที่ควรเป็นของเธอคืนมา ก็เป็นหน้าที่ของผม
ผมเดินมาที่หลังบ้านซึ่งเป็นเหมือนหอพักสำหรับเหล่าบอดี้การ์ดของท่านประธาน ช่วงเวลานี้เวรยามทั้งภายในและภายนอกได้ผลัดเปลี่ยนกะกันเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากจำไม่ผิด ไอ้หมอนั่นน่าจะเลิกงานแล้วเช่นกัน
“เจ็ด”
ผมเรียกลูกน้องคนสนิทที่ทำงานด้วยกันมาร่วมสิบปี จารย์เจ็ด หรือ เจ็ดยับคับซอย อดีตเคยเป็นนักเลงที่ถูกรุมกระทืบจนเกือบตาย แต่ได้ผมช่วยเอาไว้และชักชวนเข้ามาทำงานที่นี่ เลยทำให้มันมีอนาคตได้จนทุกวันนี้
พอได้ยินเสียงผมเรียก มันที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่กับบอดี้การ์ดคนอื่นๆ ของบ้านที่เพิ่งลงจากเวรก็ได้ทิ้งจากตรงนั้นวิ่งมาหาผมในทันที
“ครับลูกพี่”
“มึงออกไปกับกูหน่อย”
“หือ? เรื่องของคุณหนูหรือเปล่าครับ”
ไม่มีใครที่นี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองทุกคนรู้กันเป็นอย่างดี แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเรื่องในครอบครัว เราที่อยู่ใต้การบัญชาของเจ้านายจะเข้าไปยุ่งมากก็คงไม่ได้
“ก็ประมาณนั้นแหละ ไปเตรียมรถ แล้วห้ามบอกใครเด็ดขาด”
“ครับลูกพี่”
สั่งงานเสร็จผมก็เดินออกไปรอไอ้เจ็ดที่ด้านหน้าของบ้าน แต่ระหว่างทางกลับเจอกับเจ้านายตัวจริงของตัวเองเข้า
ก็ไม่ใช่อะไรที่ผิดคาดเท่าไหร่
“ไนธ์ เรนิสหลับแล้วเหรอแกถึงลงมาได้”
เขาถามยิ้มๆ ในใจคงจะดีใจไม่น้อยที่เรนนี่กำลังจะแต่งงาน ทำเป็นโวยวายใหญ่โตเรื่องที่ลูกสาวทำให้ต้องเสียหน้าในงานวันเกิดลูกชายคนเล็ก แต่ที่จริงแล้วไม่ว่าเมื่อวานจะเกิดอะไรขึ้น เรนนี่ก็ต้องแต่งงานกับคนที่พ่อเธอคิดไว้อยู่ดี
เพราะคนนั้นคือเจ้าของโรงเรียนอินเตอร์ที่ราอุลเรียนอยู่อย่าง พีท พธร พิบูลไพศานนท์ ผู้ชายที่เปิดโรงเรียนประถมบังหน้าเพื่อฟอกเงินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย และพ่อของเรนนี่เองก็มีส่วนในการฟอกเงินนั้นด้วย
ความลับแบบนี้หากอยู่กับคนนอกก็ย่อมจะระแวงจนนอนไม่หลับ แต่ถ้าเป็นทองแผ่นเดียวกันคงสบายใจขึ้น เรียกง่ายๆ ว่าอยากทำเรื่องพวกนั้นให้กลายเป็นธุรกิจครอบครัว
“ผมกำลังจะออกไปข้างนอกกับไอ้เจ็ดครับ”
“อืม ฉันจะขึ้นไปคุยกับมันเรื่องพรุ่งนี้หน่อย ถ้าแกไม่ว่างก็แล้วไป”
พูดจบเขาทำท่าจะเดินผ่านผมไปเพื่อขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน มุ่งหน้าไปยังห้องของลูกสาวที่ตอนนี้ปิดสนิท ทุกคนคิดว่าได้ขังคุณหนูของบ้านเอาไว้ทั้งที่ไม่มีเธออยู่ในนั้น
ผมจะให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาด อย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัยของเรนนี่เอง
“ท่านครับ” ผมเข้าไปขวางทางเขาเอาไว้ ทำให้คนตรงหน้าหันมาขมวดคิ้วมองท่าทางแปลกๆ ของผม
“มีอะไร?”
“คือว่า ตอนนี้คุณหนูหลับแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่าครับ”
“เหมือนว่ามึงจะทำเกินหน้าที่ไปแล้วนะ หรือแค่สองวันที่อยู่ใกล้ลูกสาวกูเกิดสปาร์กขึ้นมาเลยอยากทำตัวเป็นบอดี้การ์ดจริงๆ งั้นสิ?”
ผมชินแล้วล่ะกับคำพูดพวกนี้ คนไม่มีเมตตากับลูกน้อง คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ไม่คิดด้วยซ้ำว่าไอ้ที่พูดจะทำให้ลูกสาวเสียหายหรือเปล่า
“คิดจะทำอะไรอยู่ก็เลิกซะ อย่าคิดใฝ่สูงให้มันมาก”
“ผมแค่คิดว่าท่านไปตอนนี้คงไม่เหมาะครับ คุณหนูเพิ่งจะหยุดโวยวายไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ถ้าเธอโวยวายขึ้นมาอีกครั้งถึงขั้นทำร้ายตัวเอง พรุ่งนี้เราคงต้องผิดนัดกับคุณพธร”
คำพูดที่ผมอ้างขึ้นมาทำให้คนตรงหน้าฉุกคิดเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“เหอะ ก็จริง ยัยเด็กน่ารำคาญนั่นมันทำได้ทุกอย่างให้ฉันหน้าแตกได้อยู่แล้ว แกก็ดูแลมันดีๆ แล้วกัน พรุ่งนี้เช้าฉันจะให้ทีมฟิตติ้งเข้าไปลองชุด อย่าให้มีรอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียวล่ะ”
“รับทราบครับท่าน”
เขาเดินจากไปแล้ว ผมสามารถเลี่ยงสถานการณ์อันตรายไปได้หนึ่งเรื่อง ตอนนี้ต้องหาตัวยัยตัวแสบที่ไม่รู้ไปอยู่ไหนให้เจอซะก่อน
────────❅❀❅────────•
[Reinist’s part]
จะเป็นบ้าตายให้ได้เลย แค่เพื่อกดเงินไม่กี่หมื่นทำไมฉันต้องลำบากลำบนมากขนาดนี้ด้วย
หลังจากล้างหน้าล้างตาจัดผมเผ้าดีก็แล้ว ใส่เสื้อผ้ามิดชิดก็แล้ว แต่ยามก็ยังจับตาดูไม่เลิก จนฉันต้องด่ากลับไปรอบหนึ่งให้มีคนมองมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงได้ยอมปล่อยฉันเข้าไปแต่โดยดี
“ไอ้ยามประสาท รอแม่เทคโอเวอร์ห้างแล้วจะไล่ออกให้ดู ฮึ่ย”
ตอนนี้ปัญหาหลักของฉันคือเสื้อผ้าและเงิน รวมทั้งมือถือด้วย พอเข้ามาได้สิ่งแรกที่ฉันทำคือหาเสื้อผ้าชุดใหม่ เน้นเป็นชุดที่ใส่ง่ายๆ ไปไหนคล่องตัวอย่างชุดวอร์มเป็นหลัก ไม่โป๊ ไม่เสี่ยงต่อการถูกฉุด กระเป๋าก็เลือกแบบเรียบๆ เป็นแบบคาดอกหนังสีดำ รองเท้าผ้าใบพร้อมหมวกแก๊ปอีกหนึ่ง มองตัวเองในกระจกสองสามรอบ นี่ถ้าไม่ติดว่าหน้าตาดี คนคงคิดว่าฉันเป็นโจรขโมยของออกมาแน่ๆ
“ชุดเดิมของคุณลูกค้า จะเอากลับด้วยไหมคะ?”
พนักงานเดินกลับมาพร้อมชุดที่ฉันใส่มาในมือ สภาพเดรสราคาครึ่งหมื่นที่ฉันเคยใส่เพื่อไปเย้ยคนที่ฉันเกลียด ตอนนี้มอมจนจำหน้าตาเดิมของมันไม่ได้
“เอาทิ้งเลยก็ได้ค่ะ มันคงใส่ไม่ได้แล้วล่ะ”
“ได้เลยค่ะ”
พนักงานเก็บเศษป้ายที่ตัดออกจากชุดที่ฉันสวมแล้วเตรียมจะเดินออกจากห้องลองชุดนี้ไป ส่วนฉันที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วกำลังเก็บทุกอย่างลงกระเป๋า จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับเสื้อคลุมตัวนั้นที่ได้มาจากป้าแม่บ้าน และพี่พนักงานกำลังจะเอามันไปทิ้งด้วย
“เดี๋ยวค่ะ”
มันเป็นเสื้อที่ฉันได้มาจากผู้มีพระคุณ แม้ว่าจะเป็นแค่เสื้อตัวเดียวไม่ได้มีราคาอะไรมากมาย แต่รับรองว่าฉันจะไม่มีวันผิดคำพูดที่บอกว่าจะตอบแทนท่านแน่
“เสื้อตัวนี้เอาถุงที่จะใส่เสื้อพวกนี้ใส่ให้หน่อยนะคะ”
“ได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ”
เสื้อผ้าเรียบร้อย เงินเรียบร้อย มือถือเรียบร้อย ที่เหลือก็แค่...หนีสินะ
ถึงจะบอกว่าฉันจะหนีจากพ่อก็เถอะ ตอนนี้สมองฉันว่างเปล่า ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องไปไหนดี หลังจากกินข้าวแล้วก็เดินออกมาจากห้างในสภาพเหม่อลอย มือถือใหม่ที่ได้มาก็ไม่รู้ว่าจะโทรหาใครดี
ถ้าจะไปพักโรงแรมใกล้ๆ แถวนี้ก็ธุรกิจในเครือของพ่อทั้งนั้น ขืนไปคงโดนจับได้ในไม่กี่นาทีแน่ๆ เพื่อนก็จำเบอร์ไม่ได้เลยสักคน ไอ้ที่จำได้ก็อยู่ไกลถึงญี่ปุ่น
เอาไงดีนะ...
“กรี๊ด!!! อย่าเข้ามานะ ช่วยหนูด้วย!!”
ระหว่างที่ฉันกำลังเดินเตร็ดเตร่บนฟุตบาทอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเด็กหญิงกรีดร้องดังมาจากอีกฟากของถนน
สายตาของฉันมองไปยังจุดนั้นด้วยความรวดเร็ว พบว่าเป็นเด็กหญิงคนเดียวกับที่หลอกต้มฉันไปก่อนหน้านี้ กำลังถูกผู้ชายวัยกลางคนสองคนฉุดกระชากลากถูไปทางเข้าซอยที่แทบไม่มีไฟส่องให้เห็นทาง
แบบนี้เขาเรียกว่าเวรกรรมตามทันได้ไหมนะ มาหลอกคนอื่นแล้วก็โดนหลอกกลับ ถ้าเกิดว่าฉันไม่ทำอะไร ปล่อยให้เธอโดนฉุดไปจะโดนหาว่าใจมารหรือเปล่า
ตัวฉันเองก็ไม่ได้มีความสามารถในการปกป้องตัวเองอะไรมากมายหรอก แต่พอต่อสายหาตำรวจก็ต้องรอสายจนท้อ เลยตัดสินใจเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้ววิ่งไปช่วยด้วยตัวเอง
เอาวะ อย่างน้อยๆ ศิลปะการต่อสู้ที่ไนธ์เคยสอนตอนที่ยังเด็กมันคงทำให้ฉันเอาตัวรอดจากพวกมันได้ ยังไงก็มีแค่สองคนเองนี่นา
“เห้ย! พวกแกน่ะ ปล่อยเด็กเดี๋ยวนี้นะ”
ฉันทำใจกล้าตะโกนออกไปเสียงดังลั่น ทำให้ไอ้เลวพวกนั้นรวมทั้งเด็กนั่นหันมามองฉันเป็นตาเดียว
“พี่? ทำไมเป็นพี่อีกแล้ว”
เธอขมวดคิ้วมองฉันด้วยสีหน้างุนงง แต่แล้วก็ต้องร้องออกมาเสียงดังเมื่อไอ้บ้านั่นมันบีบแขนเธออย่างแรง
“โอ๊ย!!”
“อย่าทำอะไรเด็กนะ ฉันโทรแจ้งตำรวจแล้ว พวกแกถูกจับแน่”
ฉันขู่ไปอย่างนั้นเอง ที่จริงรอสายอยู่นานสองนานยังไม่ติด ได้แต่หวังว่าพวกมันจะเชื่อ
“ตำรวจ? เหอะ อย่ามาหลอกให้ยาก แถวนี้แจ้งให้ตายตำรวจก็ไม่มาหรอก เขาปล้นกันแทบจะทุกวัน”
“แกนั่นแหละอย่ามาหลอกให้ยาก ตำรวจจะไม่ทำหน้าที่ตัวเองได้ยังไง”
ทำเป็นเก่งไปอย่างนั้นเอง ที่จริงในใจโคตรจะสั่น ฉันจะช่วยเด็กนั่นออกมายังไงดีนะ ลำพังตัวฉันเองยังเอาไม่รอดเลย
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันมีเงิน มีมือถือ อยากได้เท่าไหร่พวกแกเอาไปเลย แต่ปล่อยเด็กไปเถอะนะ”
เงินแค่ไม่กี่บาทที่ฉันไปกดมาพวกนี้ ต่อให้เสียไปฉันก็หาเอาใหม่ได้ ยังไงก็ไม่เสียดายอยู่แล้ว ฉันจึงได้ล้วงกระเป๋าแล้วยื่นให้พวกมัน หนึ่งในสองคนนั้นจึงได้ปล่อยมือจากเด็กหญิงแล้วตรงเข้ามารับไป
“เงินจริงว่ะลูกพี่”
“กี่บาทวะ?”
“ประมาณสองหมื่น เหยื่อชิ้นโตเลยนะเนี่ย”
คนที่รับเงินไปยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ฉันที่เห็นถึงความไม่ปลอดภัยพยายามมองหาความช่วยเหลือ แต่ก็เพิ่งรู้ว่าแถวนี้โคตรจะเปลี่ยว
ซวยซ้ำ ซวยซ้อน ซวยแล้วซวยอยู่ซวยต่อจริงๆ เลยนังเรนนี่เอ๊ย
“ดะ...ได้เงินแล้วก็ปล่อยเด็กมาสิ ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยพวกแกไปแน่”
“หึ คิดว่าชีวิตมันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไงคนสวย” คนที่จับเด็กอยู่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาบ้าง ก่อนจะส่งสัญญาณให้อีกคน “จับมันไว้”
“อะไรนะ กรี๊ด!! หยุดนะ”
จู่ๆ มันก็พุ่งเข้ามาจับตัวฉันเอาไว้ เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นฉันเลยไม่ทันได้ป้องกันตัว ทำให้ถูกจับรวบแขนไปไพล่หลังอย่างง่ายดาย
“พวกแกก็ได้เงินไปแล้วนี่ ปล่อยฉันกับเด็กไปสิ!”
“เงินน่ะมันก็แค่ลาภลอย” มือที่จับต้นแขนของเด็กหญิงได้ปล่อยออก ก่อนที่รอยยิ้มพวกนั้นจะทำให้ฉันงุนงงยิ่งกว่าเดิม “เพราะจุดประสงค์หลักคือตัวเธอต่างหาก”
“หมายความว่าไง นี่เธอ...” ฉันส่งสายตาคาดคั้นให้เด็กคนนั้น ตอนนี้เธอเอาแต่ก้มหน้าหลบตาราวกับคนกำลังทำความผิด
และที่สำคัญ ท่าทางของเธอไม่ได้เหมือนคนถูกจับเลยแม้แต่นิดเดียว
“อีนี่ก็แค่เด็กที่พวกกูเลี้ยงไว้ล่อเหยื่อโง่ๆ อย่างพวกมึงนี่ไง หรือจะพูดให้ถูก คือพวกเดียวกัน”
เหลือเชื่อเลย ฉันนี่มันโง่ซ้ำโง่ซ้อนจริงๆ โดนเด็กคนเดิมหลอกซ้ำๆ ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง คอยดูเถอะถ้าฉันหลุดไปได้ฉันไม่เอาเธอไว้แน่นังเด็กบ้า
“เอามันไปที่กระท่อม วันนี้ได้เงินพอแล้ว แถมยังได้เมียสวยขนาดนี้ กูคงนอนเอามันได้ทั้งวันแน่ๆ”
“หยุดนะ จะทำบ้าอะไร กรี๊ด!!!”
“มาเป็นเมียพี่เถอะนะคนสวย”
“ไม่!!!”
[Nithe’s part]งานแต่งตั้งประธานเป็นอะไรที่วุ่นวายไม่น้อย ผมเดินตามเรนนี่ตลอดเวลาทำหน้าที่บอดี้การ์ดของตัวเองที่ห่างหายไปหลายเดือน ยอมรับว่าเป็นความรู้สึกที่แปลกอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นใบหน้าที่ยิ้มกว้างของเรนนี่อย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน ผมเองก็อดยิ้มตามเธอไม่ได้เธอดูมีความสุขมากจริงๆ มากกว่าเมื่อก่อนมาก ผมดีใจที่พอผมกลับเข้ามาในชีวิตสิ่งแรกที่เห็นคือรอยยิ้มของเธอ และหวังว่าจะได้เห็นมันไปนานๆ ตลอดไปเลยยิ่งดี“คลั่งรักเมียนะมึงอะ มองไม่พัก มองขนาดนี้แล้ววันนั้นหมาตัวไหนครับบอกว่าถ้าได้เอาคนนี้เอาหมาดีกว่า”เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาที่ข้างตัว ผมเกือบลืมไปว่าวันนี้เชิญเพื่อนสุดที่รักมาด้วย หันไปเจอไอ้ ชาวี เพื่อนรักตัวแสบยืนทำหน้าแป้นน่าถีบอยู่ข้างๆ เห็นแล้วอยากจะหันไปแจกหมัดให้สักทีสองที“คนพูดนั่นไม่ใช่กูครับเพื่อน” ผมตอบยิ้มๆ สายตาก็มองกลับเข้าไปในงาน เรนนี่กำลังทักทายแขกเหรื่อในงานโดยมีไอ้เจ็ดเดินตามไม่ห่าง ผมเลยถือโอกาสหันมาคุยกับเพื่อนบ้างวันนี้มากัดหมดทั้ง นาวี ชาวี รวมทั้งไอ้นักรบ แล้วไหนจะสาวๆ เมียพวกมันอีกครบทีม ผมคิดว่างานสำคัญอย่างนี้พาพวกเธอมาเจอกันหน่อยก็ดี ซ้ำคุณหนูเอวา[1] เอ
ฉันมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก หญิงสาวในเดรสสีแดงสดแต่งหน้าจัดเต็มทาปากสีนู้ด ผมยาวสลวยถูกย้อมเป็นสีดำขลับแล้วรีดตรงทำให้เธอดูสง่าและภูมิฐานกว่าเมื่อก่อนเป็นไหนๆ สไตลิสของฉันวนรอบตัวแล้วปรบมือแล้วปรบมืออีกด้วยความภาคภูมิใจ ที่หล่อนสามารถเปลี่ยนลุคของฉันจากสก๊อยเป็นท่านประธานสาวได้สำเร็จ“สวย เริ่ด ปัง”“พอเถอะ เธออวยจนฉันเริ่มจะอึดอัดแล้ว”“ฉันอวยตัวเองเถอะ เมื่อก่อนเธอแต่งตัวไม่มีคลาสเอาซะเลย ตอนนี้เหรอ เหอะ อย่าว่าแต่มองเหลียวหลัง ผู้ชายที่ไหนเห็นก็ต้องวิ่งเข้ามากราบขอเป็นผัวค่ะ”“ขนาดนั้นเชียว?”เราสองคนเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม คงเพราะอายุไม่ห่างกันมาก แล้วก็ทะเลาะกันมาตลอดเลยทำให้สนิทกันง่าย ทุกวันนี้การมีไข่มุกอยู่เป็นเพื่อนก็ไม่แย่เท่าไหร่“เธอไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวไปพร้อมกัน” ฉันว่าพลางกลับมานั่งเล่นมือถือที่โซฟา ไม่ลืมที่จะถอดส้นสูงออกเพราะรู้ว่าไปงานยังไงก็คงไม่ได้ถอดไปอีกหลายชั่วโมง“ไม่เอาล่ะ เธอไปเถอะ ฉันเป็นแค่สไตลิสจะไปทำไม”“เธอเป็นเมียพ่อฉัน เป็นแม่เลี้ยงฉันนี่”“เธอ...ไม่ใช่ลูกของคุณเดชไม่ใช่เหรอ?”“อือ แล้วไงล่ะ ฉันก็เรียก
[Nithe’s part]ขอโทษ...คำนี้มันคงจะสายเกินไปที่จะพูดแล้วในตอนนี้ แหวนที่เธอคืนให้มา มันคือการตัดความสัมพันธ์อย่างชัดเจนแต่ผมกลับไม่สามารถมูฟออนไปได้เลย“ผมเข้าใจนะว่าลูกพี่กำลังอกหัก แต่ดื่มเยอะๆ อย่างนี้มันไม่ดีนะพี่ คุณหนูเขามีความสุขแล้ว ผมเองก็ดูแลให้อย่างดี”คงมีแต่ไอ้เจ็ดที่เข้าใจว่าผมรู้สึกยังไง เรื่องที่เราเลิกกันไม่ได้ประกาศออกไป เลยมีแค่คนที่ผมสนิทที่สุดเท่านั้นที่รู้ แม้แต่นาวี ชาวี หรือแม้แต่ไอ้นักรบก็ไม่รู้เรื่องนี้ หลายครั้งที่เจอกันพวกมันยังแซวเรื่องของผมกับเรนนี่อยู่เลย ผมเองก็ไม่อยากบอกใครว่าจริงๆ ความสัมพันธ์นั้นมันได้จบลงแล้ว“กูไม่ได้อกหัก” ผมปฏิเสธคำพูดของไอ้เจ็ด ด้วยไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเลิกกับเธอแล้วจริงๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกระดกเหล้าเพียวๆ เข้าปากอีกอึกไม่รู้ว่าตัวเองดื่มจนเมาปลิ้นอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าทุกวันหากคิดถึงเธอ รสขมปร่าของเหล้าเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยผมได้ดื่มแล้วก็เมา เมาแล้วก็นอน นอนแล้วก็ตื่นมาดื่มใหม่ ชีวิตผมเป็นอย่างนี้มาสามเดือนแล้ว โคตรขี้แพ้เลยเนอะไอ้เจ็ดก็เลิกงานเมื่อไหร่เป็นต้องมาดื่มเป็นเพื่อนผม บางวันมันก็บ่นว่าดื่มไม่ไหวแล้วขอก
ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองเสียไปหมดทุกอย่าง จนกระทั่งตัวเองมาเจอเรื่องนี้เมื่อก่อนฉันเสียแม่ เสียตา แต่ยังมีเป้าหมายในการทวงทุกอย่างคืนมาจากพ่อพอให้ได้มีแรงสู้ต่อ แต่วันนี้ฉันได้ทุกอย่างคืนมาแล้ว แม้แต่ตาก็อยู่กับฉัน แต่กลับไม่มีความสุขเลย“ตรงนี้อ่านว่า กอ อา กา แค่นี้ก็ไม่รู้เนอะ”“ก็เราไม่เคยเรียนหนังสือนี่”“ไม่เอาน่าหลานๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ”อีกอย่างที่ฉันได้มา นั่นก็คือครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ฉันว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่เกินกว่าจะอยู่คนเดียว เลยให้ยัยไข่มุกย้ายกลับเข้ามา ด้วยเหตุผลแรกคือ ฉันอยากให้ราอุลได้เรียนที่ดีๆ มีสังคมดีๆ ไม่ต้องลำบาก สองคืออยากให้หลินหลินได้มีเพื่อนอ้อ ฉันรับหลินหลินเป็นลูกบุญธรรมเรียบร้อยแล้ว ถึงจริงๆ เธอจะเรียกฉันว่าพี่สาวก็เถอะตอนนี้ในบ้านฉันเลยเต็มไปด้วยเสียงของเด็กสองคนทะเลาะกันแทบทุกวัน ตามด้วยเสียงคุณตาที่บอกว่าอย่าทะเลาะกันส่วนฉันก็มีงานใหญ่ต้องทำ“ชุดเห่ย”ยัยแม่เลี้ยงปากเสียว่าพลางมองฉันหัวจรดเท้า เธอเบะปากให้ชุดเดรสสีแดงเรียบๆ ที่ฉันเลือกมาด้วยความตั้งอกตั้งใจยัยไข่มุกรับหน้าที่เป็นสไตลิสชั่วคราวให้ฉัน เพราะช่วงนี้ฉันยังไม่อยากพบเจอผู้คน
‘แม่คะ อันนี้ดอกอะไรคะแม่ สวยมากเลย’‘ไซคลาเมนลูก ความหมายของมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก บางคนก็เชื่อว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของการจากลา แต่สำหรับแม่ หมายถึงความรักของแม่ จะยังคงอยู่ตลอดไป แม้ว่าจะตายจากกัน’‘แม่อย่าพูดถึงเรื่องตายแบบนั้นสิคะ เรนไม่ชอบเลย’‘เรนนี่ลูก วันหนึ่งคนเราก็ต้องจากกัน แค่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่หนูไม่ต้องห่วงนะ ถ้าแม่ไปก่อน แม่จะไปรอลูกอยู่ที่นั่นนะจ๊ะ’ภาพของแม่ที่ฉันไม่เคยฝันถึงเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันมองรูปของแม่ทุกวัน หวังว่าจะได้เจอแม่ในฝันสักครั้ง แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นความว่างเปล่า มีเพียงคราบน้ำตาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในทุกคืนแต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ฉันถึงได้ฝันถึงแม่ แม่ที่ตายจากไปแล้วหลายปี ฉันถามแม่ว่าคุณตาอยู่ไหน แต่ท่านก็ไม่ตอบแล้วเดินไกลออกไป‘แม่คะ...อย่าทิ้งหนูไป’ เสียงของฉันในความฝันเรียกชื่อแม่ สองขาพยายามวิ่งตามท่าน แต่เหมือนว่ายิ่งวิ่งมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆแม่...อย่าทิ้งหนูไป“แม่คะ...แม่อย่าทิ้งหนู”“เรนนี่” เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาในความฝัน ฉันหันหลังไปแล้วก็เจอกับใบหน้าของชายหนุ่มที่เหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเ
“เรื่องการเข้ารับตำแหน่งที่บริษัท ฉัตรจะจัดการให้เองนะคะคุณหนูไม่ต้องห่วง ตอนนี้พักผ่อนไปก่อน เอาสุขภาพตัวเองเป็นหลักนะคะ”คงเป็นความโชคดีของฉันอย่างหนึ่ง คือตอนที่ฉันรู้สึกแย่ฉันไม่เคยต้องอยู่คนเดียว ตอนที่เพื่อนไม่ว่างและฉันต้องการกำลังใจ ก็มีคุณฉัตรที่คอยเป็นธุระให้แทบทุกอย่าง แล้วยังอาสามาอยู่เป็นเพื่อนในบางวันเธอช่วยฉันตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ จนไม่รู้แล้วว่าต้องเริ่มขอบคุณเธอจากตรงไหนดี“ขอบคุณนะคะคุณฉัตร แค่นี้ก็ลำบากคุณมากพออยู่แล้ว” ฉันกล่าวขอบคุณออกไปอย่างจริงใจ นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในตอนนี้“ไม่รบกวนหรอกค่ะ ยังไงฉันก็ต้องทำงานให้คุณในฐานะทนายในการแต่งตั้งประธานบริษัทอยู่แล้ว ตอนนี้เราต้องเตรียมตัวเพื่อจะไปแสดงตัวว่าเป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉัตรเตรียมเอกสารไว้ให้แล้ว คุณเรนค่อยดูตอนที่รู้สึกดีขึ้นนะคะ”“ขอบคุณค่ะ”“งั้นวันนี้ฉัตรจะรอเมย์บีมาก่อนค่อยไป คุณเรนอยากดื่มอะไรสักหน่อยไหมคะ ฉัตรไปชงให้”“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ”เฮ้อ...ฉันต้องอยู่คนเดียวให้ได้ ต้องไม่จิตตก ต้องไม่คิดถึงเขาสิรู้ไหมว่าอะไรยากที่สุดของการอยู่คนเดียว คือเมื่อเราได้มีใครสักคนเข้ามาในชี







