สามีภรรยาย่อมช่วยเหลือกันโดยไร้เงื่อนไข มอบให้โดยไม่คำนึงถึงถูกผิด ยิ่งไม่หวังผลตอบแทนกลับมา
ประโยคนี้ไม่ผิดแต่ประการใด ซานซานจึงดูแลป้อนยาให้สามีเป็นอย่างดี ทั้งดัดกระดูก ยืดเส้นเอ็น กดจุดชีพจร และเช็ดทำความสะอาดร่างกาย ทำเอาจ้าวเหว่ยต้องอับอายใบหูแดงก่ำ เพราะซานซานเน้นทำความสะอาดบริเวณนั้นมากเป็นพิเศษ จนมันร้อนผะผ่าวแข็งขึงตั้งผงาดมิอาจควบคุมเอาไว้ได้
และที่สำคัญ นางยังนั่งจ้องมองเขม็งประหนึ่งเจอสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในใต้หล้า
เป็นครั้งที่เท่าไหร่มิอาจทราบ ที่รัชทายาทหนุ่มต้องร่ำร้องหาสวรรค์อยู่ในใจ นึกอับอายที่สุดนับแต่เกิดมา
นอกจากดูแลอย่างใกล้ชิดสนิทสนมโดยไม่สนใจอาการไม่สมยอมของชายหนุ่ม หญิงสาวยังเดินทางขึ้นลงหุบเขาเพื่อออกหาสมุนไพรมาต้มยาติดต่อกันนานถึงเจ็ดวัน นางทำซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอเช่นนั้น โดยไม่ถามไถ่ความสมัครใจของสามี
แน่นอนว่าจ้าวเหว่ยไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะทั้งตัวแทบแหลกเหลวด้วยน้ำมือนาง จึงทำได้เพียงนอนนิ่งไร้หนทางขยับ
คืนนี้คือยาหม้อสุดท้ายสำหรับด่านแรกในการรักษา ซานซานจึงค่อยๆ บรรจงป้อนจ้าวเหว่ยอย่างใจเย็นทีละถ้วย
ชายหนุ่มกินยารสขมจนแสบคอไปหมด ทรมานสิ้นดี เพราะว่าหญิงผู้นี้ป้อนเขาทีละถ้วย ไม่ใช่ทีละช้อน…
“ช้าก่อน!”
จ้าวเหว่ยเอ่ยปากในที่สุดหลังกลืนยาอึกสุดท้าย
“อันใดรึ?”
ซานซานมองหน้าสามีอย่างงุนงง ฝ่ามือเล็กที่กำลังลูบไล้บางสิ่งพลันชะงัก
ชายหนุ่มกระแอมเสียงหนักแล้วกดเสียงต่ำถามว่า
“เหตุใดต้องเปลื้องผ้าข้า”
หญิงสาวตอบเสียงเรียบเรื่อย “เพราะว่าท่านไม่สามารถขยับเองได้ และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการรักษาสมานกระดูก ย่อมต้องเป็นข้าที่เปลื้องผ้าท่าน”
“นั่นมิใช่ประเด็น และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องแก้ผ้าของข้า”
“ได้อย่างไร? หากท่านไม่แก้ผ้า แล้วข้าจะมองเห็นให้ทั่วเรือนร่างของท่านได้รึ มันสำคัญมากนะ กระดูกตรงไหนควรเป็นเช่นใด ยังมีเส้นเอ็นแล้วก็กล้ามเนื้อ ทุกส่วนล้วนสัมพันธ์กัน ไม่ควรมีเสื้อผ้ากางกั้นทั้งนั้น เข้าใจไหม?”
ทุกคำคือเหตุผลที่แท้จริง ไม่อาจปฏิเสธได้เพียงนิด
ทว่าจ้าวเหว่ยกลับถอนหายใจลึกยาว กล่าวเสียงเย็นว่า
“แต่เจ้าไม่ควรรักษาบริเวณท้องน้อยนานเกินไป”
ซานซานกะพริบตา ก้มหน้ากระซิบใส่ใบหูจ้าวเหว่ยว่า
“ถึงแม้ว่าส่วนนี้ไม่มีกระดูก แต่มันมีเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่สำคัญมากๆ”
นางลากเสียงยาวชวนหวาดเสียว เมื่อกล่าวจบก็ยกยิ้มแบบมีนัยลึกล้ำ ขยับปลายนิ้วหยอกเย้าอย่างต่อเนื่อง
สามีของนางมีร่างกายที่สมบูรณ์ทรงเสน่ห์เป็นอย่างมาก แม้ว่าใบหน้าจะมีรอยแผลเป็นและหนวดเครารุงรังน่าเกลียด หากแต่ผิวพรรณตึงแน่นภายใต้เสื้อผ้ากลับเนียนละเอียดลออ
บางสิ่งยังยิ่งใหญ่แปลกประหลาด ยิ่งขยำยิ่งพองโตแลดูทรงพลังอย่างมาก
เมื่อลูบไล้จนพอใจ ซานซานก็ล้มตัวลงนอนเคียงข้างสามี ศีรษะนางหนุนแขนแข็งแรง ลำตัวพาดบนกล้ามเนื้อหนั่นแน่น เบียดเสียดเรือนร่างซุกซบอกอุ่น แล้วหลับไปอย่างสบายอารมณ์ที่สุดในใต้หล้า
เป็นครั้งที่เท่าไหร่มิอาจนับที่จ้าวเหว่ยต้องขบกรามแน่น
การรักษาของซานซานยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาด
จนในที่สุดชายหนุ่มก็มีโครงร่างเป็นปกติ ตัวโตสูงใหญ่ยืดหลังได้ตั้งตรงสง่างามยิ่งนัก
เหลือเพียงเส้นเสียงที่ยังแหบพร่าฟังดูน่าเกลียดอยู่มาก เพราะลำคอยังต้องค่อยๆ รักษาไปเรื่อยๆ
ส่วนใบหน้าที่มีแผลเป็นกับหนวดเครารุงรังยังคงปล่อยไปเช่นนั้น เพราะจ้าวเหว่ยไม่ประสงค์ให้แตะต้อง
ซานซานจึงปล่อยผ่าน หาได้ใส่ใจให้ความสำคัญไม่ นางคิดว่าสามีอัปลักษณ์ก็ดี จะได้ไม่มีสตรีที่ใดมาแย่ง!
ทหารอีกคนเดินขึ้นหน้ามาเมื่อได้ยินวาจาเช่นนั้น สีหน้าของเขาฉายแววเข้มงวด หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่เชื่อคำเท่าใด“ท่านอ๋องมีรับสั่งให้หัวหน้าทหารไปเรียกใช้คณิกาหรือ?”“เจ้าค่ะ” ลี่เซียนตอบตามสัตย์ “มีหัวหน้าทหารคนหนึ่งไปแจ้งกับท่านแม่ตั้งแต่ยามอิ่วสี่เค่อ และข้าคือผู้ถูกเลือก”นางกล่าวพร้อมแย้มยิ้มเฉิดฉายวาดไปถึงดวงตา ทั้งพิลาสล้ำและกระจ่างใสดุจดวงดารารัตติกาลเหมันต์ แลดูพราวระยับจับจิตจับใจ งดงามอย่างมากแม่นางน้อยไม่รู้ตัวเลยว่า ตนเองเป็นสาวงามเหนือใคร สามารถละลายหัวใจผู้คนที่พบเห็นได้ปานใด ทหารนายนั้นที่ไม่เชื่อถือกันในคราแรกพลันสติเหม่อลอย สองตาเริ่มเหม่อมอง พลางปลดความระแวดระวังลงหลายส่วน ด้วยเข้าใจว่าคณิกาที่สะคราญโฉมถึงเพียงนี้ ท่านอ๋องคงต้องการปลดปล่อยจริงๆ เป็นแน่บุรุษด้วยกันย่อมเข้าใจทว่าเขายังไม่ทันเอ่ยปากอนุญาตให้สาวงามเดินเข้าไปจังหวะนั้น ...ทหารคนแรกที่บังเกิดรักแรกพบเพราะรอยยิ้มดุจฟ้าประทานของลี่เซียน เริ่มแปรเปลี่ยนสายตาข่มขวัญเป็นสายตากรุ่มกริ่ม เขาเบี่ยงหอกออกจากด้านหน้าของสาวงามมาถือแนบที่ลำตัว เดินประชิดเข้ามา หรี่ตาเล็กน้อย ยกยิ้มยียวนอึดใจชายผู้นี้พลันยื่นปลาย
เรือนพักส่วนพระองค์ของรุ่ยอ๋องตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศเหนือของค่ายทหารแม่นางน้อยลี่เซียนถูกผู้ดูแลพาเรือนร่างอรชรในอาภรณ์บางพลิ้วสีชมพูอ่อนหวานมายืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าประตูเรือนของท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ โดยมีเย่เสียตามห่วงใยไม่ห่าง ก่อนจะถูกผู้ดูแลฉุดกระชากลากตัวออกไปอีกทางก่อนจากกันเย่เสียยังพินิจลี่เซียนโดยละเอียดหัวจรดเท้า ดวงตาทอประกายวาววับแล้วเอ่ยคำด้วยสีหน้าจริงจังอีกว่า“เจ้างดงามถึงเพียงนี้ ท่านอ๋องต้องพึงใจมากเป็นแน่ หากเป็นไปได้จงทำให้พระองค์ลุ่มหลง ต่อไปย่อมมีชีวิตสงบสุข สมปรารถนาทุกประการ”กล่าวจบก็ยื่นน้ำมันหอมชนิดหนึ่งใส่มือให้ลี่เซียนทั้งยังกระซิบคำเสียงเครียดว่ามันคือยาวิเศษใช้เพื่อการณ์นี้หวังว่าจะใช้ได้ผลกับอ๋องปีศาจเช่นเขาผู้นั้นลี่เซียนเพ่งพิศน้ำมันหอมในมืออย่างละเอียด นางเอียงหน้าน้อยๆ ทำความเข้าใจถึงจุดประสงค์ของเย่เสียดวงเนตรกลมโตดำขลับทอประกายพร่างพราวทันใด เมื่อเข้าใจได้กระจ่างแท้จริงมันคือสิ่งที่ใช้สะกดจิตวิญญาณของชายผู้นั้นให้โปรดปรานนางนั่นเอง หากนางทำให้เขาโปรดปรานได้สำเร็จ อาจมีหนทางกลับหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ดั่งใจปรารถนาเมื่อใคร่ครวญเสร็จสรรพ มือขาวอ่อนน
หลังจากผู้คุมหอได้ครุ่นคิดลึกซึ้งนางรีบเอ่ยไปทางลี่เซียน“เจ้านั่นล่ะไป”กล่าวจบไม่รอช้า รีบชี้นิ้วสั่งให้ผู้ดูแลคนหนึ่งพาลี่เซียนไปแต่งหน้าเติมชาดเพิ่มอีกสักหน่อย เปลี่ยนชุดด้วยจึงจะดีในใจนางคิดว่าอ๋องทมิฬที่ใคร ๆ ต่างหวาดกลัวหวั่นเกรงอาจพึงใจเด็กน้อยนุ่มนิ่มไม่ประสาก็เป็นได้ซวงอี๋มองลี่เซียนด้วยสายตาฉายรอยผิดหวังรุนแรง พริบตาก็รีบเก็บอาการได้แนบเนียน นางนิ่งเงียบ ไม่ต่อความอีกเย่เสียเห็นลี่เซียนเสนอตัวเช่นนั้นก็รีบเดินตามแผ่นหลังบอบบางของแม่นางน้อยเข้าไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เอ่ยกระซิบว่า“จะดีหรือลี่เซียน ที่ข้าช่วยเหลือเจ้า ให้ข้าวให้น้ำ มิใช่ว่าจะทวงบุญคุณโดยการให้เจ้าไปเสี่ยงตายแทนข้าหรอกนะ”เด็กสาวนิ่งฟังเสียงทัดทานพลางมองตนเองในคันฉ่อง ปล่อยให้ผู้ดูแลที่เป็นหญิงวัยกลางคนจัดแต่งทรงผมและแต่งหน้าเติมชาดอย่างตั้งใจนางเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองชอบแต่งกายงดงามเช่นนี้เหลือเกิน ไม่ต้องใส่แค่เสื้อคลุมตัวยาวสีขาวไร้สีสัน ม้วนผมทรงมวยก้วน[3] ปราศจากเครื่องประดับเหมือนเมื่อก่อนตอนอยู่ผิงอันระหว่างคิดในใจเช่นนั้นยังมองสบตากับเย่เสียในคันฉ่อง พลางคลี่ยิ้มเฉิดฉันที่แสนจะจริงใจส่งให้เย่เสียคือผ
กิริยาเปิดเผยไร้ความสุขุมเช่นนั้นพาบรรยากาศคุกรุ่นเมื่อครู่ให้ชื่นมื่นอย่างแปลกประหลาด ทว่าน่าสนใจอย่างมากในความรู้สึกของลี่เซียนนางมองทุกสิ่งรอบกายอย่างสงสัย ไม่เข้าใจอันใดภาพตรงหน้ายามนี้ช่างแตกต่างจากสิ่งที่นางเคยพบพานในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณนับแต่จำความได้เด็กน้อยผู้หนึ่ง ลืมตาดูโลกได้แค่แปดปี ทั้งยังมีเพียงนักพรตหญิงดูแลสอนสั่ง ตำรายังพร้อมพรั่งแค่เพียงบทบัญญัติแค่โลกแห่งธรรม รอบด้านล้อมไปด้วยโลกทัศน์แค่สันเขากางกั้นยามนั้นนางท่องคัมภีร์ทั้งหอพระธรรม จดจำได้แม่นยำ ทั้งยังฝึกพลังวัตรไม่ว่างเว้น กระทั่งอายุได้แปดขวบแล้ววิญญาณหลุดออกจากร่างฝังแน่นอยู่ในกำไลหลายร้อยปียังถือโอกาสบำเพ็ญตบะจนสามารถแปรเปลี่ยนดวงจิตเป็นกายหยาบยามที่กำไลถูกทำลายจนแตกหัก แล้วหลุดออกมาได้สำเร็จเนื่องจากผ่านกาลเวลามาหลายร้อยปี เนิ่นนานเหลือเกิน กายหยาบของลี่เซียนยามนี้จึงเติบโตสมส่วนสมบูรณ์แบบ มีรูปร่างระเหิดระหงอรชร บั้นท้ายงามงอน เนินอกอวบตึง ใบหน้าเรียวเล็กน่ารัก ดวงตากลมโตดำขลับซ่อนแววซุกซนเอาไว้กลายเป็นหญิงสาวเต็มวัยสะคราญโฉมผู้หนึ่งลี่เซียนยามนี้มีอายุหลายร้อยปี มีรูปร่างเต
ลี่เซียนเห็นอีกฝ่ายยืนเท้าสะเอวขยับปากสีแดงจัดพร่ำบ่นอีกว่า“เจ้านี่นะ สมองต้องทึบมากเป็นแน่ ถึงได้ถูกไล่ออกมาจากที่เก่า”นางกล่าวด้วยสีหน้ายับย่นยุ่งยากใจ พลางล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบตำราผสานหยินหยางออกมายื่นส่งให้“เอาไปเลย ข้ายกให้เจ้า”เจ้าของตำรามีนามว่าเย่เสีย สายตาที่มองตำราบ่งบอกว่าเสียดายเหลือเกิน แต่ยังคงตัดใจส่งให้อีกฝ่ายแล้ว“หาซื้อยากมาก ข้ารักที่สุดด้วยนะเล่มนี้ เฮ้อ!”ตำรานี้มีภาพวาดร่วมรักระหว่างชายหญิงและเคล็ดลับเอาใจบุรุษมากมายร้อยกระบวนท่าลี่เซียนรับเอาไว้ หาได้ปฏิเสธอันใดไม่เย่เสียยังคงชี้แนะอย่างเคร่งเครียด “ข้าช่วยได้เท่านี้ล่ะ ท่าทางโง่เขลาเบาปัญหาเช่นเจ้า หากอยากอยู่รอดและมีชีวิตที่ดี จงทำตนเองให้เป็นที่โปรดปรานให้ได้ จำไว้”กล่าวจบก็เดินกรีดกรายจากไป ทิ้งไว้เพียงแม่นางน้อยให้ยืนเบื้อใบ้เช่นเดิมผ่านไปชั่วครู่ ลี่เซียนจึงเปิดตำราทีละหน้า กวาดสายตามองแค่ปราดเดียวก็จำได้จนหมดทั้งเล่ม แจ่มกระจ่างทุกท่วงท่า ก่อนจะเก็บเข้าแขนเสื้ออย่างทะนุถนอมราวกับเป็นสิ่งล้ำค่าเพราะนางสังเกตได้ว่าสตรีนามเย่เสียให้ความสำคัญกับตำราเล่มนี้มาก ย่อมมีค่าควรเมืองแน่นอนยามนี้เด็กสาว
ชายแดนด่านเทียนเหมินรถม้าของสาวงามกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านหน้าค่ายทหารเทียนเหมินตั้งแต่รุ่งสาง เสียงล้อบดถนนดินดำแว่วดังไม่ขาดสายสาวงามนางหนึ่งในรถม้าคันท้ายขบวนสังเกตเห็นสิ่งหนึ่งตรงพุ่มไม้ริมชายป่า จึงสั่งสารถีให้หยุดก่อน เมื่อม้าหยุดฝีเท้า นางจึงพาเรือนร่างอ้อนแอ้นลงมาเพื่อมองสิ่งนั้นใกล้ๆสิ่งที่นางเห็นคือดรุณีน้อยผู้หนึ่งกำลังนอนสลบไสลอยู่หลังพุ่มไม้ อายุราวสิบหกปี ดวงหน้าเรียวเล็กงดงามเป็นเอก รูปร่างสมส่วนดูดี มีผิวพรรณเนียนละเอียดสีขาวราวหยกพิสุทธิ์ประหนึ่งสามารถสะท้อนแสงได้ อาภรณ์ที่สวมใส่เป็นผ้าแบบโบราณสีขาวซีดทั้งตัว รัดรึงแนบเนื้อ ปิดแค่เนินอกอวบตึง เผยหน้าท้องแบนราบ ช่วงเอวกลมกลึง ใส่กระโปรงสั้นคลุมเพียงเข่า เผยเรียวขาเสลาขาวผ่อง ปลายเท้าเปลือยเปล่า“พี่เย่เสีย นั่นคือสิ่งใด?”เสียงแว่วหวานจากสาวงามนางหนึ่งบนรถม้าเอ่ยถามสตรีผู้ลงมาด้านล่างหลังพุ่มไม้เย่เสียขมวดคิ้วหรี่ตาเพ่งพินิจการแต่งกายที่ล่อแหลม ใส่เหมือนมิได้ใส่ของแม่นางน้อยเนิ่นนาน พลางใช้ปลายนิ้วแตะปลายจมูกอีกฝ่ายเพื่อสำรวจลมหายใจ ก่อนตอบกลับด้วยสุ้มเสียงมั่นใจว่า“เป็นสาวงามผู้หนึ่ง ดูจากการแต่งกาย ข้าคิดว่าคงเป็น