ริมลำธารข้างเรือนไม้ไผ่ในวันนี้อากาศเย็นสบาย ยอดหญ้าพลิ้วไหวโอนเอียงตามลม
จ้าวเหว่ยยังคงนั่งตกปลาอย่างเย็นชา ทำตัวธรรมดาเหมือนเช่นเคย ชุดของเขายังคงเป็นผ้าเนื้อหยาบสีหม่น เส้นเสียงยังคงแหบพร่าน่าเกลียด ใบหน้ายังคงมีริ้วรอยแผลเป็นเช่นเดิม
แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือแผ่นหลังที่เคยงอไหล่งุ้มกลับตั้งตรงงามสง่า พาให้ผู้แอบมองต้องขยี้เบ้าตาอย่างไม่อาจเชื่อ
ชายชุดดำผู้เป็นองครักษ์ลับของรัชทายาทหนุ่มลอบมองแล้วมองอีกอยู่เป็นนาน ก่อนตัดสินใจส่งสัญญาณบางประการจากริมลำธารอีกฝั่ง
เพราะว่าอู๋เจี๋ยยังไม่สามารถข้ามค่ายกลมรณะเข้าไปได้
ถึงแม้ร่างกายก่อนหน้านี้ที่ถูกไม้แหลมของกับดักทิ่มแทงจะรักษาจนหายดีแล้วก็ตาม
จ้าวเหว่ยเห็นธนูดอกเล็กสีแดงสดถูกยิงมาตกที่ปลายเท้า ก็เข้าใจได้ทันที เขาจึงหรี่ตาเพ่งมองไปยังต้นทางของลูกธนู เห็นอู๋เจี๋ยอยู่ไกลๆ ในทิศตรงกันข้าม กำลังยืนโบกมือประหนึ่งเห็นสวรรค์ อ้าปากพะงาบๆ อ่านได้ว่า
‘ช่วยด้วย! กระหม่อมเข้าไปมิได้’
ชายหนุ่มนิ่งคิดชั่วครู่ก็เข้าใจได้ในเวลาต่อมา
เขาปรายสายตามองไปรอบบ้าน เห็นมีลำไผ่ไขว้กันในแนวราบ ท่อนไม้ตั้งชันเรียงราย เถาวัลย์พันเกี่ยวยุ่งเหยิง ยังมีแท่นหินคมกริบ แท่งไม้แหลมคม และอาวุธลับมากมาย
ทั้งที่ซ่อนอยู่และเปิดเผยระโยงระยางไปทั่ว ทุกสิ่งพร้อมทิ่มแทงหากมีใครกล้าเข้ามา
มุมปากใต้เคราพลันยกยิ้มบางเบาโดยไม่รู้ตัว
จ้าวเหว่ยนึกถึงแผนผังบนแผ่นไม้ที่ซานซานเขียนขึ้นมาจากปลายถ่านดำก่อนที่จะถูกเผาไฟเพื่อทำลาย
หลังจากวิเคราะห์โดยละเอียดด้วยตนเอง จ้าวเหว่ยพบว่าอย่าให้อู๋เจี๋ยเข้ามาดีกว่า ควรเป็นเขาที่เป็นฝ่ายออกไป
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงกระโจนตัวลงน้ำแล้วว่ายข้ามไปอีกฝั่ง หลบหลีกอาวุธลับใต้ธาราได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าเขาได้เห็นแผนค่ายกลทั้งหมดแล้วจนกระจ่างชัด
ทันทีที่จ้าวเหว่ยมาถึงตัวชายชุดดำ พลันพากันหายตัวไปทางหลังพุ่มไม้ ได้ยินเสียงกระซิบถามอย่างร้อนรนจากอีกฝ่ายว่า
“องค์ชาย! เกิดสิ่งใดขึ้น? เหตุใดบ้านพระองค์จึงรุกล้ำได้ยากเย็นเช่นนี้”
เขาตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่เผยความจริง
“เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
“...!?”
อู๋เจี๋ยตะลึงวูบขมวดคิ้วมุ่นเงียบงันไปไม่กล้าถามต่อ หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบหนึ่งก็ระลึกได้ว่า หลายวันก่อนเห็นคนบ้านหานเข้ามาอย่างอุกอาจไร้มารยาท นายเหนือหัวผู้รักสันโดษคงรำคาญจึงเป็นคนสร้างค่ายกลขึ้นมาด้วยตนเอง
เมื่อความสงสัยประการแรกได้รับคำตอบ สายตาพลันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเจ้านาย อู๋เจี๋ยถามอีก
“องค์ชาย เหตุใดแผ่นหลังของท่าน...”
จ้าวเหว่ยหรี่ตา “เรื่องนั้นช่างมันเถิด”
“...!?”
ครานี้องครักษ์คนสนิทยิ่งงงหนักเบิกตาโพลงอ้าปากจะถามต่อ พลันได้ยินจ้าวเหว่ยถามกลับด้วยเสียงเยือกเย็น
“สตรีที่ข้าแต่งงานด้วยไม่ธรรมดา นางใช่บุตรสาวพ่อค้าในหมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญแห่งนี้จริงหรือ?”
อู๋เจี๋ยได้ยินดังนั้นยิ่งฉงนขั้นสุด เขารีบตอบกลับอย่างมั่นใจว่า “ชิงหลินนางนี้คือธิดาของหานอี้ซวนไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่เป็นที่รัก ถูกคู่หมั้นหักหลัง น้องสาวชิงชัง บิดามารดาละเลย แม้งดงามแต่นิสัยใจคออ่อนแอโง่เขลา ทั้งยังหลอกง่าย นางถูกลวงให้แต่งงานกับกงหนิว”
“เหย่หนิว!”
จู่ๆ จ้าวเหว่ยพลันเอ่ยขัด ทำคนสนิทต้องกะพริบตามองอย่างไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ “นางเรียกข้าว่าเหย่หนิว”
ถึงแม้จะยังงุนงง แต่อู๋เจี๋ยก็ตอบกลับไปอย่างเอาใจ
“วัวกระทิงเลยหรือ? …ฟังดูร้อนแรงขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเหว่ยแค่นเสียงหยัน “ดีกว่ากงหนิวที่ชาวบ้านเรียก”
อู๋เจี๋ยยิ้มแห้งๆ พลางพยักหน้าเห็นด้วย แล้วรายงานต่อ
“ชิงหลินนางนี้ น่าเห็นใจมากนัก ถูกใส่ร้ายก็เอาแต่ร้องไห้ ยามที่น้องสาวกลั่นแกล้งก็เพียงก้มหน้า ไม่เอ่ยวาจา เถียงใครก็ไม่เป็น ยามพูดคุยก็ปากคอสั่น ไม่มั่นใจในตนเอง เสียงเบา พูดช้า เป็นสตรีที่ยอมรับชะตากรรมจนน่าเวทนา ท่าทางไม่ประสีประสาต่อโลกหล้า ไร้เสน่ห์ เชื่อคนง่าย...”
อู๋เจี๋ยสาธยายสิ่งที่รู้มาเกี่ยวกับชิงหลินทั้งหมด ทุกคำล้วนจริงใจต่อเจ้านาย ไม่มีความคิดที่จะโกหก เขากล่าวเสียงแผ่วอย่างตรงไปตรงมาอีกว่า “อันที่จริง ชิงหลินผู้นี้ ไม่มีค่าคู่ควรกับองค์ชายเลยแม้แต่น้อย ไม่อาจเทียบสาวใช้อุ่นเตียงได้เลยด้วยซ้ำ นับจากค่ำคืนเข้าหอ นางได้อยู่ร่วมกับพระองค์ นับว่าเกินฝันยิ่ง”
องครักษ์หนุ่มเอ่ยอย่างดูแคลน โดยมิได้สังเกตสายตาของเจ้านายเลยสักนิด ว่ากำลังทอประกายลึกล้ำปานใด
ท่ามกลางภาวะตกตะลึงของพวกเขา หยางเฉิงขี่ม้ากลับมาที่กลุ่มคน เขาลงจากหลังม้า จูงมันมาตรงหน้าซานซาน“ข้าให้เจ้ายืมม้าพร้อมคันธนู”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างใจดี ทว่านั่นคือประสงค์ร้ายชัดเจนม้าคู่ใจผู้อื่น ธนูยังเป็นอื่น ใครรับไว้ย่อมฆ่าตัวเองหากมิใช่เจ้าของ ม้าดีย่อมพยศ มิใช่อาวุธประจำกายย่อมถือไม่ถนัดมือ ไม่ต้องถึงขั้นยิงธนูหรอก แค่ขึ้นหลังม้าเกรงว่าคงถูกดีดจนร่วงลงมาแขนขาหักหลายท่อนไหนยังจะเป็นเรื่องของเวลาที่ไม่ทันกะพริบตาอีกเล่าทุกผู้คนล้วนคิดเห็นในใจได้อย่างนั้น ในขณะที่ซานซานยังคงยืนนิ่ง สีหน้าราบเรียบหวังมู่ยิ้มเยาะ “รองแม่ทัพหยางของข้าช่างใจกว้างยิ่งนัก สมกับสตรีจิตใจคับแคบแล้วหรือ?”ทหารหลายนายลอบยกยิ้มเย้ยหยัน สายตามองซานซานว่าไม่เจียมตน เก่งแต่ปากทหารหญิงยิ่งมองอย่างอับอายระคนเห็นใจ พวกนางไม่รู้จะช่วยครูฝึกอย่างไรดี จึงทำได้แค่ส่งกำลังใจทางสายตานายทหารแซ่ซ่งยังคงเอาหน้า เขาเดินเข้าหาซานซานแล้วยื่นแส้ในมือให้“ในเมื่อท่านรองแม่ทัพให้ม้า ข้ามอบแส้ให้แล้วกัน”แม้เป็นคำพูดน่าฟัง ทว่าแววตากลับเยาะเย้ยเต็มที่ เขาเอ่ยอีกทีด้วยสุ้มเสียงเหยียดหยัน “แต่ท่านรองแม่ทัพหยางไม่จำเป็นต้องตีม
แท้จริงซานซานมิได้ต้องการแข่งขันอันใดและไม่คิดปรามาสใคร นางแค่รู้สึกไม่พอใจเรื่องที่อาหนิงถูกทำให้อับอาย กอปรกับได้ลับฝีปากกับอันธพาลแซ่หวังจนอารมณ์เตลิดเลยเถิดไปเท่านั้น ทว่าถูกท้าประลองเช่นนี้ย่อมดีไม่น้อยจะได้ถือโอกาสยืดเส้นยืดสายและสอนสั่งทหารใหม่ไปในตัวท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารทั้งหลายที่ลุ้นระทึกไปกับซานซาน ได้ยินนางรับคำเสียงหนึ่ง“ย่อมได้...เชิญท่านรองแม่ทัพก่อนเถิด”หยางเฉิงพยักหน้าให้ เป็นอันตกลงทุกสายตามองทั้งสองอย่างเงียบงัน ไม่มีใครกล้าออกความคิดเห็นอันใดทั้งนั้นชั่วจังหวะที่สายลมคล้ายหยุดนิ่ง ได้ยินหวังมู่สั่งการอีก“ไปนำม้ามา”หัวหน้าทหารที่ยืนอยู่ใกล้เขารับคำสั่งเสียงหนักก่อนวิ่งตะบึงออกไปทหารใหม่ให้นึกตกใจ มิใช่ยืนยิงเป้าแบบปกติหรือ? ทุกวันที่ฝึกหนัก พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสได้ขี่ม้าเลยสักครั้ง กระทั่งครูฝึกซานก็ไม่เคยได้ม้ามาร่วมฝึกเลยสักหนทุกคนมองซานซานอย่างเป็นกังวล ไม่นาน...หัวหน้าคนเดิมก็กลับมาพร้อมม้าพ่วงพีตัวใหญ่ และทันทีที่เจ้าม้าเดินเหยาะๆ มาแล้วเห็นหยางเฉิงยืนอยู่มันก็ส่งสายตาดีใจมาทางเขาทันที ท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยกับอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก วิ่งปรี่มาทาง
จ้าวเหว่ยกับจ้าวหมิงจึงเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันมาก หากแต่ภายนอกกลับไม่มีใครล่วงรู้จ้าวหมิงไม่มีตระกูลฝั่งมารดาคอยสนับสนุนจึงใช้ฐานะสูงส่งของเชื้อพระวงศ์รับสตรีมาเป็นฐานอำนาจจนเต็มวังของตน ในสายตาผู้คนเขาเป็นองค์ชายเจ้าสำราญที่คิดคานอำนาจกับรัชทายาทเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ จึงทำให้ไม่ถูกจับตามองสักเท่าใด ซึ่งแท้ที่จริงสิ่งที่จ้าวหมิงทำไปก็เพื่อคอยเป็นทัพเสริมให้จ้าวเหว่ยในที่ลับ การศึกแต่ละครั้งยังเป็นกุนซือให้อีกด้วยหากกล่าวว่าจ้าวเหว่ยที่ไม่ยอมแต่งงานนั้นเป็นบุรุษไร้ใจ ก็คงเปรียบจ้าวหมิงเป็นบุรุษมากรักเพราะแต่งงานนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อรับสตรีมาอุ่นเตียงมากมายและแน่นอนว่าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะจ้าวเหว่ยมีรักปักใจต่อภรรยาอย่างซานซานจึงไม่ยอมแต่งงานกับใครอีกส่วนจ้าวหมิงคือบุรุษไร้ใจโดยสมบูรณ์ เขาไม่เคยรักสตรีใดเลยสักคน หลังจากหยอกเย้าพี่ชายพอหอมปากหอมคอ จ้าวหมิงจึงนั่งจิบชาต่อเพื่อรอชมฉากสนุก จ้าวเหว่ยหมุนกายมานั่งลงด้วยท่าทางเคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม“เหตุใดเจ้าไม่อยู่ที่วัง มาโผล่ที่นี่ทำไม?”จ้าวหมิงหัวเราะเสียงนุ่ม “ไม่มีที่ใดในวังที่เราจะได้นั่งคุยกันเช่นนี้ พี่ใหญ่ก็รู้” เขาร
ค่ายทหารทุกค่ายจะมีสถานที่รับรองผู้บัญชาการจอมทัพเป็นเรือนพักหลังใหญ่เรือนพักนี้สร้างไว้สำหรับรัชทายาทเข้ามาพำนักยามตรวจตรากองทัพ มีเพียงองครักษ์คนสนิท บ่าวรับใช้ติดตามและแม่ทัพคนสำคัญที่ถูกเรียกตัวมาเป็นการเฉพาะกิจเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ นอกนั้นห้ามผู้ไม่ได้รับอนุญาตเข้าใกล้เด็ดขาดเพราะหลายครั้งที่ชาวบ้านได้ข่าวว่ารัชทายาททรงมาตรวจตราเยี่ยมเยือนค่ายทหาร พวกเขามักจะพากันมารวมตัวตั้งขบวนขอเข้าเฝ้าแถวยาวตั้งแต่ประตูค่ายจนถึงทางเข้าหมู่บ้านนอกจากชาวบ้านยังมีทหารใหม่ที่พากันมาจับจองที่ยืนใกล้เรือนพักส่วนพระองค์ตั้งแต่รุ่งสางยิ่งเป็นทหารหญิงยังแต่งหน้าทาชาดอีกด้าย ทว่าน่าเสียดายที่รัชทายาทมิใคร่ชอบการกระทำเช่นนั้นเท่าใด จึงไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าเฝ้าทั้งสิ้น และยิ่งไม่เคยเปิดเผยการเดินทางให้ค่ายใดทราบล่วงหน้าเรือนสองชั้นห่างออกมาจากลานฝึกเล็กน้อยบุรุษหนุ่มยืนนิ่งเอามือไพล่หลังดังผู้สูงศักดิ์ ทอดสายตาคมสีดำรัตติกาลมองไปยังความวุ่นวายที่ลานฝึกอย่างเงียบงัน จ้าวเหว่ยใช้เวลาเดินทางตรวจตรากองทัพทั้งสี่ทิศรอบเมืองพบเห็นความวุ่นวายระหว่างทหารเก่ากับทหารใหม่จนชินตา ไม่นับว่าตื่นเต้นอันใด เพ
เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ปล่อยให้นางพูดไม่หยุดเสียแล้วเส้นเสียงของซานซานยังคงดังเนิบช้า “ทุกคนในที่นี้ล้วนมีความหวังที่จะร่วมเป็นร่วมตายยามภัยมาเยือน สงครามไม่เคยปรานีผู้ใด พวกเราไยมิใช่ปรานีใส่กันให้มากเข้าไว้ แม้สตรีมิได้มีพละกำลังมากนัก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าหลายครั้งยังต้องอาศัยพวกนางทำศึกหนัก ไม่ว่าจะแผนนารีพิฆาต วสันต์ลวงสังหาร ร่านราคะอำมหิต เสน่หาคร่าชีวิต”แผนสาวงามที่กล่าวมาล้วนมีจริงในหมู่นักฆ่า บรรดาทหารหญิงก็คงมีไม่ต่างกันดวงตาแวววาวของซานซานแข็งกร้าวยามกวาดมองไปทางฝั่งบุรุษ นางชี้นิ้วไปทางสตรีพลางส่งเสียงดังกังวานท้าทาย “จงบอกแก่ข้า ว่าหากพวกท่านที่เป็นบุรุษปลดชุดเกราะถอดหมวกเหล็กแล้วใส่เพียงผ้าเนื้อบางแนบกาย ไม่มีคันธนูแบกอยู่บนแผ่นหลัง ในมือไม่มีหอกหรือดาบทวนกระบี่ทั้งนั้น ร่างกายยังไร้ซึ่งพลังปราณร้ายกาจ เช่นนั้นยังสามารถสังหารศัตรูบนเตียงอย่างเฉียบขาดเยี่ยงพวกนางได้หรือไม่”เงียบกริบ เงียบประดุจสุสาน ได้ยินกระทั่งสายลมแผ่วพัดผ่านใบหูท่ามกลางสายตาตะลึงอึ้งและนิ่งฟังแข็งค้างของผู้คน ซานซานเอ่ยปากอีกหน “คนเหมือนกัน แคว้นเดียวกัน ยิ่งเป็นทหารของกองกำลังเดียวกัน จะเหยียดหยันดูแ
ภายใต้สายตามองประเมินอย่างเย็นชาของซานซาน แม่ทัพหวังแค่นเสียงเฮอะแล้วกล่าวเสียงห้วน“นึกว่าแน่ ที่แท้ก็แค่สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ เป็นคนของสนมวังหลังยังกล้ามาเป็นครูฝึกของที่นี่ช่างไม่เจียมตัว”ช่างเป็นการข่มขวัญกันชัดเจนเป็นไปได้ว่า การเข้ามาอยู่ในฐานะครูฝึกของซานซาน ยังค่ายทหารแห่งนี้ คงทำให้พวกบุรุษตรงหน้าหมั่นไส้มานานแล้วแต่นางต้องกลัวกระนั้นหรือ?คำตอบคือเดินขึ้นหน้าด้วยกิริยาเนิบช้า แผ่นหลังเหยียดตรงสง่า สีหน้าของนางเฉยชา เปล่งเสียงเย็นเยียบว่า“บุรุษเปรียบดั่งท้องฟ้า สตรีไม่ต่างจากพสุธา พวกท่านจึงคิดว่าเหยียบย่ำอย่างไรก็ได้” นางแค่นเสียงหัวเราะคราหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “แต่อย่าลืม ...หากไม่มีแผ่นดินผู้ให้กำเนิด บุรุษอย่างพวกท่านไหนเลยจักมีที่ยืน!”ชายฉกรรจ์ทั้งหลายต่างนิ่งอึ้ง พวกเขาล้วนเข้าใจ ความหมายคือ หากไม่มีสตรี พวกเจ้าทุกคนย่อมมิได้เกิดมา!ทว่าแม่ทัพหวังแค่นเสียงฮึอย่างไม่สะทกสะท้านหรือไม่เข้าใจความนัยก็สุดรู้ แววตาของเขาพราวระยับแต่ปากกลับเอ่ยคำหยามหยัน“พวกผู้หญิงก็เท่านี้ ดีแต่ปากกันทั้งนั้น โดยเฉพาะยามอยู่ใต้ร่างผู้ชายย่อมเหมือนกันหมด ครางกระเส่าปา