ห่างจากเมืองหลวงหมิงเวยไม่ไกล เป็นภูเขาสูงชันรายล้อมรอบด้านเพราะลักษณะที่ตั้งของวังหลวงแคว้นต้าถังเป็นเช่นนี้ ทำให้ศัตรูต่างแคว้นไม่อาจรุกรานได้โดยง่ายหุบเขาทั้งหลายสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน ลักษณะคล้ายปราการแกร่งโอบล้อมปกป้องบ้านเรือนเอาไว้ รอบนอกห่างออกไปยังมีเมืองเล็กเมืองน้อย กระจายอำนาจการปกครองโดยเจ้าเมืองต่างๆ มีเพียงหมู่บ้านผิงเหยียนเท่านั้นที่ออกจะทุรกันดารไปสักหน่อย ห่างไกลความเจริญอยู่มากแต่ก็ยังโชคดีที่คนของทางการเป็นพวกรักความยุติธรรม ดูแลชาวบ้านอย่างดี เคร่งครัดเจ้าระเบียบแค่เอ่ยว่าจะฟ้องกองปราบก็ไม่มีใครกล้าทำผิดแล้วส่วนคนที่กล้าทำผิดเช่นซานซาน คนของทางการก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะตามจับได้จางฉวนจึงเป็นบุรุษโชคร้าย ถูกกระทืบจนสืบพันธ์มิได้ แต่กลับไม่ได้รับความยุติธรรมอยู่คนเดียวถ้ำแห่งหนึ่งภายในหุบเขาใกล้เมืองหลวงหมิงเวยซานซานกับลูกน้อยลู่หลิ่งอาศัยถ้ำนี้เป็นที่พำนักชั่วคราว เพื่อบุตรสาวได้ชื่นชมธรรมชาติอันสวยงามอย่างใกล้ชิดและเพื่อตัวนางได้ฝึกยุทธเดินลมปราณโคจรพลังวัตรผสานธาตุทั้งสี่โดยสะดวก ลักษณะถ้ำอยู่ใต้แท่งหินขนาดใหญ่ ปากถ้ำมีน้ำตกคล้ายผ้าม่านขนาดใหญ่ปิดกั้น
เดิมทีซานซานชอบปรุงยาพิษอย่างเดียว ทว่ายามนี้ยังต้องปรุงยาบำรุงผิว จากนิสัยที่ชื่นชอบการหาสมุนไพรอย่างเดียว ยังต้องเพิ่มการเฟ้นหาดินโคลนชนิดพิเศษเพื่อนำมาปรุงเป็นโคลนประทินโฉม ทั้งใช้เองและขายให้พอได้เงินหญิงสาวในชาตินี้มีนิสัยเปลี่ยนไปแตกต่างจากชาติก่อน ที่ไม่เคยใส่ใจต่ออาภรณ์ กระทั่งใบหน้าเกิดริ้วรอยน่าเกลียดก็ยังไม่คิดจะรักษา ทว่าตั้งแต่มีลูก รอยมดกัดก็ห้ามฝากไว้ นับประสาอันใดกับรอยแผลเป็นอ้อ...ต้องประทินโฉมบำรุงผิวพรรณเสียหน่อยซานซานหยิบห่อผ้าที่เก็บสิ่งของเครื่องใช้ ตั๋วเงินและของมีค่าขึ้นมา หลังจากทาโคลนจิ่นฟู[1] จนหอมฟุ้งทั่วตัวก็คำนวณด้วยสายตาครู่หนึ่งพลางครุ่นคิดในใจน้ำมันทาผิวใกล้หมด เงินก็ใกล้หมด คงต้องหาเพิ่มแล้วระหว่างรอลูกตื่นนอน ซานซานจึงเร่งคิดวิธีหาเงินอย่างรวดเร็วใกล้หุบเขาแห่งนี้คือเมืองหลวงอันรุ่งเรืองขนาดใหญ่ ผู้คนล้วนมั่งคั่งร่ำรวย ส่วนใหญ่ยังเป็นขุนนาง เป็นบัณฑิต แน่นอนว่าพวกเขาไม่ไร้สมอง การหลอกลวงย่อมมิใช่เรื่องง่ายใต้หล้านี้มีทั้งผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกตบะ หากเลือกอย่างหลังย่อมต้องละแล้วซึ่งกิเลส ซานซานจึงเลือกฝึกเพียงอย่างแรกเท่านั้น นางไม่เคยคิดว่าตนเอง
สองฝั่งข้างทางบริเวณชานเมืองอันรุ่งเรืองมีเพียงต้นไม้และบ้านเรือนประปราย ไม่มีผู้คนพลุ่งพล่านวุ่นวาย เหมาะแก่การวิ่งเล่นไม่อันตรายต่อเด็กเล็กหญิงสาวจึงปล่อยเจ้าตัวนุ่มนิ่มน้อยที่ปากบอกว่าเดินแต่กลับไม่เคยเดิน วิ่งเป็นอย่างเดียว ให้กางแขนร่าเริงไปตามทาง นางเพียงเดินตามหลังอย่างใจเย็นสายตาพลันเหลือบไปเห็นบ้านหลังหนึ่งซึ่งไม่เล็กไม่ใหญ่ ไม่มีรั้ว ตัวเรือนไม่น่าสนใจ เพียงแต่สิ่งของที่วางระเกะระกะอยู่ที่ลานโล่งหน้าบ้านกลับปลุกปั่นความคิดของซานซานให้ตื่นตัวลานนี้มีโรงไม้ฝั่งซ้าย โรงเหล็กฝั่งขวา มีเตาหลอมเก่าคร่ำ ทั้งสองโรงมีขนาดเล็กกะทัดรัด เหมาะสมสำหรับคนเดียวเข้าไปทำงาน รอบด้านมีเหล็กวางอยู่เล็กน้อย คล้ายถูกตีขึ้นรูปเอาไว้ครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็ไม่เคยถูกจับขึ้นมาทำต่อเป็นนานทุกสิ่งที่เห็นบ่งบอกได้ว่าเจ้าของบ้านเคยเป็นช่างตีเหล็ก ขึ้นรูปมีดดาบ แต่กลับมีเหตุให้เลิกล้มกิจการกลางคันช่างน่าสนใจ...ซานซานเรียกลู่หลิ่งให้หยุดวิ่งทันที “หลิ่งเอ๋อร์ มาหาแม่”เด็กน้อยแม้ซุกซนเหลือเกิน แต่ไม่เคยดื้อดึงกับมารดา นางหมุนตัวตีโค้งวิ่งวนกลับมาหา พวงแก้มแดงปลั่ง ยกยิ้มน่ารักซานซานคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบกลั
ซานซานถามเสียงเรียบ “เจ้าเคยเป็นทหารรึ?”โดยไม่รอคำตอบ นางกวาดสายตามองไปทั่วร่างของชายบนเตียงนอน เปิดแขนเสื้อของเขาขึ้น เห็นแขนท่อนบนไร้มัดกล้าม ออกจะเหี่ยวแห้งไปบ้าง ความตึงแน่นก็ไม่เข้ากับอายุไปสักหน่อย จึงเอ่ยต่อ“บอบบางเยี่ยงบัณฑิตแต่เลือกเป็นทหาร แล้วก็ซมซานกลับบ้านสินะ” ประหนึ่งนักพรตผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน ซานซานล้วนคาดเดาได้ถูกต้องทุกสิ่งแท้จริงชายผู้นี้อายุเพียงสิบแปดปี ด้วยความทะนงตนว่าฉลาดเลิศล้ำ จึงเลือกเส้นทางบัณฑิต เดิมทีควรมีชีวิตอันรุ่งโรจน์ แต่สอบไม่ติดขุนนาง จึงเคยฆ่าตัวตาย ทว่าไม่เป็นผล กระทั่งบิดาที่เป็นช่างตีเหล็กอยากให้เป็นทหาร เขาจึงเปลี่ยนไปสมัครทหารตามใจบิดา ออกรบร่วมศึกกับกองทัพอยู่สองปีก็บาดเจ็บสาหัสจนตาบอดหนึ่งข้าง ถูกหามกลับบ้านมาแต่ใครจะคาดคิดว่ายามนั้นเขาที่พาร่างอ่อนแอซมซานกลับมาก็ได้เจอบิดาเสียชีวิตทั้งๆ ที่ยังนั่งตีเหล็กอยู่หน้าเตาไฟ ท่วงท่าคล้ายคนเป็นลม แม้สิ้นใจแล้วแต่ร่างกายของบิดายังคงอบอุ่น มิได้เย็นชืด เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตายไม่นานก่อนเขากลับมาเขาจึงตรอมใจนับแต่นั้น เงินที่มีก็นำมาทำศพบิดาจนสิ้น จากนั้นก็นอนป่วยอย่างเดียวดาย หมดเรี่ยวหมดแรงไปหาหมอ
ซานซานพับเก็บเรื่องของสามีเอาไว้ก่อน นางไม่จำเป็นต้องรีบร้อน จากนั้นยังพำนักอยู่ที่บ้านของเสี่ยเฟิงประหนึ่งเป็นบ้านของตนเองเมื่อพาลู่หลิ่งไปเที่ยวตลาดซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่และอาหารมากมายก็กลับเข้าบ้านหลังนี้แล้วเข้าครัวเพื่อทำอาหารเสี่ยเฟิงนั่งมองซานซานกับลู่หลิ่งเงียบๆ สีหน้าไม่เคยคลายทุกข์โศกเลยสักวัน ยิ่งได้เห็นสองแม่ลูกอยู่ด้วยกันก็ยิ่งคิดถึงบิดาตัวเขายามเป็นเด็กก็อยู่กับบิดาเช่นนี้ อยู่กันแบบสองคนพ่อลูกตลอดมาหากเขาไม่เอาแต่เสียใจเรื่องผลการสอบขุนนาง บิดาก็คงไม่คิดหาทางแก้ไขโดยส่งเสริมเขาไปเป็นทหาร และยิ่งไม่ต้องแยกจากกันกระทั่งปล่อยบิดาให้ตายไปเช่นนั้น“เจ้าไม่ควรยึดติดกับอดีตที่ผิดพลาด แค่จำไว้เป็นบทเรียน แล้วพากเพียรลุกขึ้นมา”ซานซานเอ่ยกับเสี่ยเฟิงยามป้อนข้าวให้ลู่หลิ่ง ทว่าต่อมาเด็กน้อยก็อาศัยจังหวะยามมารดาเผลอคุยติดพัน ลอบเอื้อมมือเล็กๆ หยิบอาหารกินเอง เขี่ยผักให้เสี่ยเฟิงแล้วกินแต่เนื้อเป็ดย่าง เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยจนแก้มป่องเสี่ยเฟิงมองผักในถ้วยข้าวตนเองพลางถอนหายใจ ดวงตาข้างที่ใช้การได้เหลือบขึ้นมองเนื้อเป็ดย่างชิ้นสุดท้ายอย่างอาลัยอาวรณ์ ลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย แล้วเอ่ย
เสี่ยเฟิงเป็นบัณฑิตที่มีสติปัญญาเป็นเลิศอย่างหาตัวจับได้ยากทั้งยังได้รับความสามารถด้านการตีเหล็กจากบิดาผู้ล่วงลับ ซานซานให้รู้สึกเสมือนค้นพบแร่ทองคำอย่างไรอย่างนั้น เพราะเสี่ยเฟิงมีสมองอันปราดเปรื่องกว่าที่นางคิดเอาไว้มากนัก เขาสามารถหลอมเหล็กแล้วตีจนขึ้นรูปทรงตรงตามภาพของนางทุกประการ ยังไม่ลืมแยกแยะจนแตกฉานและใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ กระทั่งได้อาวุธอันสมบูรณ์แบบหน้าตาประหลาดหลากหลายมากมาย วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะไม้กลางลานบ้าน แยกออกเป็นสองฝั่ง คือเอาไว้ขายกับใช้เองอาวุธแต่ละแบบ ทั้งบางเฉียบ ทั้งคมกริบ ทว่าบางอันกลับกลมเกลี้ยงงดงาม บางอันยังแหลมเล็กคล้ายไร้พิษสง สรุปแล้วทั้งหมดไม่มีชนิดใดใหญ่โตพกพาลำบากเลย ทั้งยังติดกายได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ ไม่ต้องเสี่ยงว่าเวลาเดินทางจักถูกคนของทางการเรียกตรวจค้นนอกจากเหล็กยังมีวัตถุดิบที่เป็นเครื่องเงิน เสี่ยเฟิงใช้ความรู้ความสามารถที่มี ดัดแปลงหล่อหลอมพวกมันอย่างลงตัว ซานซานล้วนออกค่าใช้จ่ายซื้อหาให้ก่อน เมื่อขายได้กำไรค่อยจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ยเสี่ยเฟิงที่ไม่คิดจะกู้หนี้ยืมสินใคร ยามนี้จึงมีหนี้สินติดตัวมากมาย และเจ้าหนี้ยั
เนื่องจากอาวุธมิได้จัดเป็นสินค้าที่ผู้คนทั่วไปให้ความสนใจ โดยเฉพาะสตรีเพศ กระทั่งบุรุษยังมิใคร่จะไยดี หากมิใช่พวกทหาร มือปราบ นักฆ่าหรือผู้ฝึกยุทธ์ เกรงว่าสักชิ้นก็คงจะขายได้ยากยิ่ง ซึ่งอันที่จริงแล้ว จำพวกบุรุษที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่ไม่จำเป็นต้องมาเดินซื้อหาอาวุธในตลาดด้วยซ้ำเพราะพวกทหารและมือปราบย่อมได้รับสวัสดิการจากกรมในสังกัด นักฆ่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง คนประเภทนี้ไม่ซื้อหาอาวุธโจ่งแจ้งอยู่แล้ว ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ให้ความสำคัญกับอาวุธประจำกาย พวกเขาชอบทำขึ้นเองเสียส่วนใหญ่เมื่อเป็นเช่นนั้น กลุ่มเป้าหมายย่อมเป็นชาวบ้านธรรมดาซานซานจึงแปลงโฉมให้เสี่ยเฟิงเป็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาสง่างามน่าคบค้า และอาวุธล้วนสะดุดตาน่าซื้อหาเมื่อเสี่ยเฟิงจัดร้านเสร็จ ซานซานก็พาลู่หลิ่งไปวางเอาไว้ที่ตั่งด้านหลัง สั่งเสียงนุ่ม “หลิ่งเอ๋อร์ นั่งรอนิ่งๆ ตรงนี้ ห้ามลงมา เมื่อได้เงินแล้ว แม่จะพาเจ้าไปเที่ยว ซื้อเสื้อผ้า ซื้อของเล่น”แม่นางน้อยย่อมเชื่อฟัง เพราะมือข้างหนึ่งมีพุทราเชื่อม มืออีกข้างยังมีน้ำตาลปั้นรูปสัตว์ต่างๆ หลายอัน กินจนแก้มป่อง ยุ่งจนมือเป็นระวิง นางไม่ว่างไปซนที่ใดจริงๆซานซานวันนี้สวมชุดสีแดงโด
ยามนี้เสี่ยเฟิงและซานซานประหนึ่งกำลังเล่นงิ้วฉากใหญ่ พวกเขาวิ่งไล่วิ่งหนีอยู่ในวงล้อมของผู้คนเสี่ยเฟิงไล่ต้อนซานซานอย่างหื่นกระหาย อีกฝ่ายทำท่าหนีตายระส่ำระส่ายเนื้อตัวสั่นเทา น่าสงสารเหลือเกินเมื่อสบจังหวะ หญิงสาวผู้ถูกรุกรานก็ดึงปิ่นออกมาจากมวยผม ปิ่นเงินอันเล็กเมื่อถูกดึงกระชากพลันยาวยื่นสะท้อนแสงวูบวาบ พร้อมจ้วงแทงให้ทะลุเนื้อหนัง ยังมีกำไลที่ข้อแขนเมื่อดึงสลักยังกลายเป็นมีดสั้นเหมาะมือยิ่งสร้อยคอเมื่อถูกกระชากยังกลายร่างเป็นเชือกมีหนาม ทั้งเหนียวทั้งแข็ง สะบัดส่งไปไม่ต่างจากแส้พิฆาตฟาดกระหน่ำสายรัดเอวเมื่อถูกกระตุกจนหลุดออก ยังกลายเป็นดาบอ่อนซ่อนความคมกริบ ทั้งพลิ้วทั้งสะดวกใช้งานกระพรวนตรงข้อเท้าเมื่อซานซานเตะส่งออกไป พลันมีลูกกระพรวนอันเล็กๆ นับสิบหลุดจากกระพรวนอันใหญ่พุ่งทะลักสาดกระจายใส่เบ้าตาในถุงหอมยังมีสมุนไพรเม็ดละเอียด เมื่อเปิดปากถุงผ้าแล้วสะบัดออกให้สัมผัสกับอากาศภายนอกก็พลันเกิดระเบิดไฟเสี่ยเฟิงหลบหลีกทุกอาวุธลับด้วยกระบวนท่าที่ได้ฝึกฝน แต่กระนั้นเพื่อความสมจริงยังต้องยอมให้เกิดบาดแผลมีเลือดไหลรินออกมาบ้าง แล้วค่อยกลับไปรักษาทายาที่บ้านยามนี้รอบด้านของซานซานแล
ซานซานยืดตัวหลังตรงยกมือกอดอก ม่านตาดำยิ่งนานยิ่งหรี่แคบ นางกล่าวต่อด้วยสุ้มเสียงเย็นเยียบไปทางอู๋เจี๋ย“วันนี้ที่มา ข้ามิได้มาเยี่ยมเจ้าเฉยๆ หรอกนะ แต่ข้ามาเพื่อบอกกล่าวข่าวดีแก่เจ้า”บุรุษทั้งสองตั้งใจฟังยิ่ง คนหนึ่งยืนอีกมุม คนหนึ่งยืนกลางห้องขัง ตัวเกร็งไปหมดซานซานกวาดตามองเยือกเย็น จับสังเกตทุกกิริยาร่างระหงสืบเท้าเนิบนาบดุจวิญญาณร้ายเข้ามาเดินเล่นวนเวียนรอบกายเหม็นสาบเพราะมิได้อาบน้ำของอู๋เจี๋ย“ข้ามีสามีใหม่แล้ว”“หา!”น้ำเสียงแว่วหวานดังเรียบเรื่อยเท่านั้น ทว่ากลับคล้ายมีฟ้าถล่มผาทลายลงตรงหน้า อู๋เจี๋ยอุทานดังลั่น ดวงตายิ่งเบิกโตจนแทบถลนออกมานอกเบ้า“เจ้าว่าอะไรนะ?”ซานซานขยับยิ้มกว้าง “สามีใหม่ของข้า เขาทั้งหล่อเหลาและมีเสน่ห์ยิ่งนัก บทรักของเขาก็ร้อนแรงเหลือเกิน แล้วยัง...”“หยุด!”อู๋เจี๋ยคำรามก้องจนสะท้อนห้องขัง แต่ทหารยามไม่มีใครได้ยินสักคน องครักษ์หนุ่มสืบเท้าเข้าหาซานซานทันที“เจ้า...”หญิงสาวเลิกคิ้วสูง แววตาท้าทาย ได้ยินชายหนุ่มตะคอกใส่หน้าอย่างขาดสติว่า“เจ้ากล้ามีสามีใหม่รึ ได้อย่างไร บังอาจยิ่ง ผิดมหันต์นัก ข้า...ข้าจะทูลรัชทายาทให้จัดการเจ้า”ซานซานแค่นเสียงเฮอะ
ฉับพลันในห้วงภวังค์ของซานซานก็มีอู๋เจี๋ยแทรกเข้ามา องครักษ์หนุ่มผู้เป็นสามีของนางขณะเดียวกันก็มีใบหน้าของซูเหยา สตรีอ่อนแอที่คุกเข่าทั้งน้ำตาต่อหน้า ไหล่บอบบางสั่นไหวเพราะร่ำไห้เสียใจสุดแสน ปากยังขอร้องแทนบุรุษไม่หยุด เล่ห์เหลี่ยมยิ่งไม่มีให้เห็นวันที่ประจันหน้ากับอู๋เจี๋ย สายตาของเขายามมองนางกับมองซูเหยาต่างกันในแววตาที่มองนางมีเพียงความหวาดกลัวและรู้สึกผิด แต่แววตาที่มองซูเหยากลับมีความรู้สึกผิดและความรักท่วมท้นพวกเขารักกันมาก่อน ทั้งยังรักกันปานนั้นหากนางไม่ตัดใจ ย่อมมิใช่คนแล้ว...หญิงสาวยิ่งครุ่นคิดหนักหน่วง นางพยายามนึกถึงอู๋เจี๋ยทว่ายิ่งเพ่งพินิจนึกถึงภาพอู๋เจี๋ย ซานซานยิ่งสัมผัสได้ถึงความเหินห่าง ลักษณะท่าทางยังคล้ายคนแปลกหน้า ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด หากแต่เหตุการณ์เมื่อคืนกับรัชทายาทจ้าวเหว่ยกลับคุ้นเคยอย่างประหลาด ทั้งยังมีประโยคเด่นชัดในห้วงฝันนั่นอีก!คิดไปคิดมาก็พลันนึกถึงฉากรักกับจ้าวเหว่ยคิดถึงลีลากอดเกี่ยวโอบกระหวัด ท่วงท่าต่างๆ ยามรึงรัด รสสัมผัสเคล้นคลึงจากฝ่ามือหนา วงแขนแข็งแรงที่กกกอด ยามประทับจุมพิต ทิศทางการไล้แผ่วปลายนิ้วไปตามส่วนโค้งเว้าใบหน้าหล่อเหลาป
หลี่กุ้ยเฟยถอนหายใจหนักอก แล้วเอ่ยตามตรง“อาซาน ฐานะทางสังคมของเจ้าต่ำต้อยด้อยศักดิ์เกินไป ทั้งนิสัยใจคอของเจ้ายังร้ายกาจเกินไป ข้าไม่อาจให้เจ้าพลาดพลั้งถลำใจไปกับเสน่หาอันลึกล้ำของรัชทายาทได้ หากเจ้าชอบเขามากๆ แล้วพระชายาในภายภาคหน้าของเขาจะเป็นเช่นไร มิเหลือแต่ซากรึ?”“...!?”ประโยคที่ได้ยินทำผู้ฟังแปลกใจจนเลิกคิ้วสูง นึกฉงนไม่น้อย ได้ยินพระนางกล่าวอีกว่า“ข้ามั่นใจว่า สตรีที่จะได้เป็นพระชายาของเขา ย่อมต้องเป็นสตรีหนึ่งเดียวในดวงใจแน่ เจ้าไม่ควรเป็นศัตรูหัวใจกับนาง”“...!?”“เอาล่ะๆ เมื่อคืนเจ้าทำดีแล้วแต่อารมณ์กำหนัดของบุรุษข้าเองก็ไม่ควรเพิกเฉย หากปล่อยปละละเลยอาจป่วยไข้เอาได้ จำไว้ว่าต่อให้เจ้าได้ปรนนิบัติบุตรชายข้า ก็อย่าได้คิดเกินเลยกว่าฐานะสาวใช้อุ่นเตียง และอย่าเข้าใกล้หากไม่จำเป็น เขารูปงามปานนั้น สูงส่งน่าหลงใหล เจ้าทนทานมิให้บังเกิดรักปักใจต่อเขามิได้หรอก หากเป็นเช่นนั้น ว่าที่ลูกสะใภ้ของข้าต้องลำบากแน่ๆ”“...!?”ซานซานรับฟังด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง หมดคำใดจะเอื้อนเอ่ย ได้ยินหลี่กุ้ยเฟยเอ่ยย้ำอีกครั้ง“ไปคัดกฎระเบียบราชวังหนึ่งร้อยจบ อย่าให้ใครครหาเอาได้ว่าเจ้าใช้ความโปรดปรานข
ชาติก่อนซานซานคือนางมารจอมชั่วร้ายผู้หนึ่ง ชาตินี้นับว่าเป็นคนดีมากนัก เหลือไม่ดีอีกเล็กน้อยเท่านั้นยกตัวอย่างเช่นเรื่องนี้แอบมีสัมพันธ์สวาทกับบุตรชายสุดที่รักของเจ้านาย ทำตัวคล้ายบ่าวหญิงแพศยาในเรือนขุนนางนอกวังไม่ผิดเพี้ยน เรื่องแบบนี้มิใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นในวังหลวง หญิงรับใช้ใกล้ชิดของพระสนมยังแอบปีนเตียงฮ่องเต้เพื่อยกฐานะตน เพียงแต่ซานซานมิได้ต้องการฐานะอันใดให้ยุ่งยากซับซ้อน ขอแค่เงินทองเยอะๆยี่ซินตีหน้าขรึมเอ่ยเสียงเข้ม “อย่ามาโกหกเลย อาซาน เจ้ากล้าปฏิเสธรัชทายาทเชียวรึ?”“โอว...” ซานซานมีสีหน้ายุ่งยากใจ “ไม่ปฏิเสธได้รึ?”ยี่ซินถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ไหวอีกต่อไป “เจ้านี่นะ”หลี่กุ้ยเฟยนั่งจิบชานิ่งฟังบทสนทนาด้วยสีหน้าเยือกเย็น รู้สึกพึงพอใจกับการกระทำของซานซานไม่เบา ได้ยินเสียงสนทนากระซิบกระซาบของคนสนิททั้งสองเกิดขึ้นต่อเนื่องว่า“พี่ซินๆ”“หืม?”“รัชทายาทมีนางกำนัลอุ่นเตียงเยอะหรือไม่?”“เจ้าถามทำไม?”“พระองค์ยังมิได้แต่งงาน แสดงว่ามีคนอุ่นเตียงเยอะแล้ว เช่นนั้นข้าจึงเห็นสมควรว่าไม่ควรเข้าไปเพิ่มจำนวนให้วุ่นวาย”“เหลวไหล!” ยี่ซินเริ่มเสียงดัง “รัชทายาทของพวกเราเป็นบุรุษที่หวงเ
แสงตะวันยามเช้าแผดกล้าร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆบ่งบอกได้ว่าถึงเวลาที่ควรไปดูแลบุตรสาวตัวน้อย อันสำคัญเหนืออื่นใดซานซานจึงส่ายศีรษะไล่ความง่วงงุนให้สิ้นไปแล้วลุกขึ้น ยังไม่ลืมทำลายหลักฐานบนเตียงนอน ที่บัดนี้โชยคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายวสันต์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะหลังร่วมรักส่วนยาห้ามครรภ์ แน่นอนว่าซานซานปรุงขึ้นได้ไม่ยาก และไม่มีใครรู้ด้วยนางจะทำเป็นยาลูกกลอนเม็ดกลมเล็กๆ จะได้พกพาสะดวกหลังจากล้างเนื้อตัวจนสะอาดหอมกรุ่น ยังไม่ลืมลบเลือนริ้วรอยฝากรักก่อนสวมใส่ชุดนางกำนัลเช่นเดิม ออกจากห้องมาหาบุตรสาว กินข้าวเช้าด้วยกัน คุยเล่นหยอกเย้า ชี้แนะทุกเรื่องราว พาไปส่งสำนักศึกษาประจำราชวัง ได้ร่ำเรียนร่วมกับบุตรหลานเชื้อพระวงศ์เด็กๆ ในชั้นเดียวกันยังอายุน้อย ปัญหาปากเสียงกระทบกระเทียบระหว่างชนชั้นจึงไม่มี ลู่หลิ่งเข้ากับทุกคนได้ดียิ่งโดยเฉพาะองค์ชายห้า นามว่า ถังจ้าวสุนถังจ้าวสุนคือโอรสหนึ่งเดียวของฮองเฮาแห่งต้าถัง หลายครั้งที่ซานซานได้เห็น เด็กชายอ้วนท้วนอายุเพียงเจ็ดปีผู้นี้จูงมือหลิงเอ๋อร์ในวัยสี่ปีวิ่งเล่นไปทั่วอุทยาน หากรอดพ้นสายตานางกำนัลได้ ก็มักจะสลับกันผัดหน้าทาชาดสนุกสนาน บางวันยังมีน้ำมันหอ
ผู้ฝึกยุทธ์มักเปี่ยมกำลังวังชา การศึกครานี้จึงใช้เวลายาวนานนัก การทรมานอันสุขสมคล้ายนิรันดร์การเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างซานซานและจ้าวเหว่ย ยังคงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสมอ นับตั้งแต่ห้าปีก่อนที่เรือนริมธาร กระทั่งยามนี้ที่ตำหนักใน ความสัมพันธ์ทางกายสนิทสนมเยี่ยงนี้คล้ายโซ่ตรวนชนิดหนึ่ง ซึ่งผูกพันทั้งสองเอาไว้จนยากจะคลายตัวลมราตรียังคงเย็นเยียบโชยผ่านเรือนพัก แต่ใครจะรู้ว่าเตียงในห้องๆ หนึ่งจักอุ่นร้อนเพียงใด จ้าวเหว่ยไม่เคยมีความคิดที่จะปล่อยซานซานเอาไว้ให้นอนคนเดียว กำลังวังชามากมายของเขาล้วนใช้ไปกับกิจกรรมระหว่างสามีภรรยาทำเอาซานซานถึงกับอ่อนระโหยโรยแรงหน้ามืดตาลายไปหมด หญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่า องค์รัชทายาทผู้สูงส่งเลิศล้ำจักเป็นบุรุษเช่นนี้ ทำนางมึนงงสิ้นดี พอเสียทีได้ไหม?“หยุด...หยุดก่อน...” เส้นเสียงแหบแห้งเพราะผ่านการครวญครางนับครั้งไม่ถ้วนเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “ไม่ไหวแล้ว...”ขณะที่หยาดเหงื่อกำลังผุดพราย รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์พลันปรากฏบนใบหน้าบุรุษ จ้าวเหว่ยก้มหน้าลงใช้ปลายจมูกโด่งสันหอมแก้มนางไปอีกหนึ่งครั้ง ก่อนมอบอิสระให้แก่ร่างอุ่นนุ่มโดยการปล่อยนางออกจากวงแขนร้อนผ่าวชื้นเหงื่อ แล
รัชทายาทหนุ่มไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดีซานซานยังคงคิดถึงชายอัปลักษณ์แม้ว่ากำลังร่วมรักกับชายงามสูงศักดิ์จ้าวเหว่ยรู้ดี ว่านางใต้ร่างมิได้รักเขาที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ทว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองอู๋เจี๋ยที่คิดว่าเป็นเหย่หนิวก็ไม่มีความรักหลงเหลืออยู่เช่นกันก่อนหน้านี้ยามที่ประจันหน้า ทั้งแววตาทั้งท่าทาง เผยชัดแจ้งถึงความแค้นเคืองชิงชัง ไม่มีความหลังให้จดจำหวนคืนนางชัดเจนปานนั้น แต่กลับ…ชั่วขณะหนึ่งที่เห็นเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลายามก้มลงต่ำพร้อมลมหายใจหนักหน่วงรินรดข้างแก้ม ซานซานก็เริ่มจับกระแสความคิดของจ้าวเหว่ยได้เพราะใบหน้าใกล้กันถึงเพียงนี้ สายตาดำจัดของเขาร้อนแรงปานนั้น ราวกับมีเปลวเพลิงเต้นระริกไม่หยุด ทั้งตื่นเต้นทั้งสับสนระคนแปลกใจเรียวคิ้วงามขมวดวูบ “ท่านได้ยินนี่”เสียงหัวเราะทุ้มนุ่มพลันบังเกิด “ข้ามิได้หูหนวก”ซานซานยิ่งรู้สึกผิด “หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ”จ้าวเหว่ยหยุดขยับกาย แต่ยังรักษาความรู้สึกรัญจวนใจเอาไว้ด้วยการฝังนิ่งตรึงนาง ก้มหน้าหอมแก้มนวลแรงๆ หนึ่งที เอ่ยเสียงสั่นพร่าอย่างใจดีว่า “เจ้าแก้ตัวด้วยการเรียกนามข้าได้”หญิงสาวเบือนหน้าหนี “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ”ชายหนุ่มไม
บนเตียงนุ่มที่เริ่มอุ่นร้อนขึ้นเรื่อยๆ ร่างสองร่างเปล่าเปลือยกอดกระหวัดรัดรึงด้วยความทุลักทุเลเพราะฝ่ายสตรีไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มานานมาก ทั้งยังรู้สึกแปลกหน้ายิ่ง จึงตอบสนองเงอะงะพอควรจ้าวเหว่ยถอนใบหน้าออกจากซอกคอขาว ในใจนึกเอ็นดูระคนสงสาร แต่ท่าทางตื่นเต้นของซานซานทำเขานึกอยากแกล้งอย่างที่สุด ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความคิดที่จะคลายวงแขนปลายจมูกโด่งสันไล่หอมแก้มนวลไม่หยุดยั้ง ริมฝีปากยังไล่จุมพิตไปทั่วใบหน้า ลำคอ เนินอก ทิ้งร่องรอยลึกซึ้งไม่มีเกรงใจ จนซานซานต้องถอยร่นจนชิดผนังห้องข้างเตียงอย่างหมดท่าบุรุษยิ่งนานยิ่งรุกล้ำ จนใบหน้าขาวผ่องเนียนนุ่มยิ่งนานยิ่งเห่อแดงร้อนแรงกว่าถ่านไฟ กิริยาท่าทางดุจดรุณีวัยแรกแย้ม มิใช่จอมยุทธ์หญิงอีกต่อไป ซึ่งซานซานเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงได้กลายร่างเป็นขี้ผึ้งลนไฟไปเช่นนี้จ้าวเหว่ยยังคงรุกไล่จุมพิตซานซานไปทั่ว ฝังใบหน้ากับหน้าอกอวบอิ่ม ดูดกลืนยอดถันชูชัน กระทั่งนางเขินอายจนพลิกตัวหันหลังให้เพื่อทำใจ เขาก็ยังไล่จูบนางทางด้านหลังประทับตราตั้งแต่เรือนผม ท้ายทอย หัวไหล่ แผ่นหลังนวลเนียนฝ่ามือร้อนลวกยังจับกระชับเอวคอดกิ่ว ลูบไล้วกวนตรงหน้าท้องแบนราบ จนซ
บรรยากาศตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายทันที จ้าวเหว่ยยิ้มอ่อน วงแขนยิ่งกระชับ “หากบอกว่าใช่”ซานซานให้รู้สึกขนลุกชูชัน “เราตกลงกันแล้วว่าไม่มีเรื่องงมงายไร้สาระ หากยังเอ่ยเช่นนี้ เห็นทีหม่อมฉันคงไม่สะดวกแล้ว”จ้าวเหว่ยหัวเราะในลำคอเอ่ยเสียงนุ่ม “เจ้ากล้า”ซานซานแค่นยิ้ม “จ้องนาน สี่หีบ!”“...”สมเป็นนาง...ไม่ว่าเรื่องใดยิ่งไม่เคยนึกหวั่น นอกจากไม่กลัวหรือเขินอายยังกล้าท้าทาย...แน่นอนว่าจ้าวเหว่ยไม่มีทางปล่อยซานซานไปสามีที่ห่างเหินการร่วมรักกับภรรยาเนิ่นนานปี เมื่อเจอกันอีกทีไม่พุ่งกายเข้าใส่ก็คงมิใช่คนปกติเขายังไม่ลืมย้ำเสียงหนัก“เจ้าปรนนิบัติข้าได้แค่คนเดียว เข้าใจหรือไม่?”“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ รีบๆ ทำเถิด”แม้เอ่ยเช่นนั้น แต่ร่างระหงอ้อนแอ้นกลับนอนนิ่งแข็งทื่อบุรุษยกยิ้มเอ็นดูแวบหนึ่งก่อนก้มหน้าลงจรดริมฝีปากตนกับนางแผ่วเบาคล้ายภมรหยอกเย้ากลีบบุปผาซานซานพลันเบิกตากว้าง รู้สึกได้ว่ากลีบปากอีกฝ่ายร้อนมากๆ จนอาจจะลวกปากนางได้อึดใจก็เปลี่ยนเป็นกะพริบตาถี่ๆ เพราะรู้สึกได้ถึงจุมพิตที่แนบแน่นยิ่งขึ้น ต่อมาก็กลายเป็นรุกล้ำแต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เรียวลิ้นร้อนชื้นตวัดออกมาจากปากชายเหนือร่างเข้า